หลินเสี่ยวหรานให้ฉู่ชิงเฟิงตามนางไปที่โต๊ะหินใต้ต้นอิงฮวา แล้วเชิญให้เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จากนั้นไม่นานอาโต๋วก็ไปตามลุงชุนมาสมทบ ครั้นทุกคนภายในบ้านอยู่รวมกันครบแล้ว หลินเสี่ยวหรานถึงได้เริ่มบทสนทนา
“ก่อนหน้าเป็นเพราะเจ้าป่วยอยู่ ข้าจึงมิได้พูดคุยอะไรด้วยแบบเป็นเรื่องเป็นราว แต่บัดนี้ร่างกายของเจ้าแข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว ข้าเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่เราจะต้องพูดคุยกันเสียที ถึงแม้เจ้าจะยังจำอะไรไม่ได้ก็ตาม”
“คุณหนูหลินมีเรื่องอันใดก็บอกกล่าวมาได้เลย” ใบหน้าอ้วนกลมของฉู่ชิงเฟิงดูจริงจังขึ้นสามส่วน
“แต่ก่อนที่จะคุยอะไรกัน ข้าคิดว่าเจ้าควรหาชื่อให้ตนเองก่อน จะได้เรียกขานกันได้ถูก”
“นั่นสินะ” ฉู่ชิงเฟิงไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน พอถูกถามก็นึกไม่ทันอยู่บ้าง เพราะในหัวมีคำมงคลมากมายลอยวนอยู่ในนั้น แต่ก็ยังหาชื่อที่ความหมายดี และถูกใจตนเองไม่ได้
ทว่าคนที่รอฟังคำตอบมิได้มีใจอยากคอยเขาประดิษฐ์คำสักเท่าใด
“หากเจ้ายังนึกไม่ออก ข้าก็ยินดีจะตั้งให้” หลินเสี่ยวหรานยิ้มกล่าว ท่าทางเต็มอกเต็มใจ
ฉู่ชิงเฟิงหันไปสบตาของหลินเสี่ยวหรานที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ กอปรกับเขายังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรใช้ชื่อปลอมอย่างไรดี “เช่นนั้นรบกวนคุณหนูหลิน ตั้งชื่อเรียกให้ข้าด้วย”
“ข้าคิดว่า ชื่อ ‘อาเปา’ น่าจะเหมาะสมกับเจ้าที่สุด”
“อาเปา งั้นรึ”
“แก้มของเจ้าทำให้ข้านึกถึงซาลาเปาไส้หมูของร้านลุงฟู่ในตลาด แป้งฟูนุ่ม ไส้หมูที่อยู่ข้างในก็อร่อย” หลินเสี่ยวหรานยิ้มจนตาหยี ไม่คิดปิดบังที่มาของชื่อที่ตนเองคิด เพราะทุกครั้งที่เจอหน้ากลมๆ แก้มยุ้ยๆ ของเขาทีไร นางก็อยากกินซาลาเปาร้านนั้นตลอดเลย
แต่ฉู่ชิงเฟิงกลับยิ้มไม่ออก คุณหนูหลินผู้นี้ก็คงเหมือนน้องสาวของนางที่ตัดสินเขาจากรูปร่างหน้าตากระมัง
“ทำไมเจ้าทำหน้าอย่างนั้นเล่า” หลินเสี่ยวหรานสังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้าอวบอิ่มของเขา “หรือว่าเจ้าไม่ชอบกินซาลาเปา”
“ที่คุณหนูหลินตั้งชื่อนี้ให้ข้า แค่เพราะว่าชอบกินซาลาเปามากเท่านั้นรึ”
หลินเสี่ยวหรานพยักหน้า ตอบกลับโดยแทบไม่ต้องคิด “ถูกต้องแล้ว ข้าชอบกินซาลาเปาร้านนั้นมาก อีกอย่างชื่อนี้ก็ใช้เรียกแค่ชั่วคราว ข้าเลยคิดว่าตั้งให้เรียกง่ายจำง่ายน่าจะดีที่สุด”
ฉู่ชิงเฟิงพยายามหาร่องรอยความเย้ยหยันในดวงตานาง ทว่ามันกลับดูสุกใสไร้สิ่งเคลือบแฝง หรือว่าเขาจะเข้าใจเจตนานางผิดไป
หลินเสี่ยวหรานเห็นเขาทำสีหน้าไม่ดี เลยเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายคงไม่ชอบชื่อนี้ “ความจริงผู้อื่นก็แค่มีใจอยากช่วยตั้งชื่อให้เท่านั้นเอง แต่ถ้าเจ้าไม่ชอบ ข้าก็มิได้บังคับนะ”
ฉู่ชิงเฟิงมองใบหน้างามสะคราญพลางครุ่นคิด หากจะว่ากันตามจริง หลินเสี่ยวหรานอาจเป็นคนเพียงคนเดียวที่พูดความรู้สึกเวลาที่นางมองเขาออกมาตรงๆ อย่างน้อยนางก็ไม่ได้เสแสร้ง และก็ไม่ได้คิดดูถูกเหยียดหยามอะไร แล้วแบบนี้เขายังจะปฏิเสธความหวังดีของนางไปไย
“เอาเป็นว่าตกลง ข้าจะใช้ชื่อที่คุณหนูหลินตั้งให้ก็แล้วกัน”
“ดี เช่นนั้นตกลงตามนี้” หลินเสี่ยวหรานเอียงศีรษะ พลางปรบมือชอบใจด้วยท่าทางน่ารัก “ต่อไปนี้ขอให้ทุกคนเรียกเขาว่าอาเปานะ”
“ขอรับ/เจ้าค่ะคุณหนู” ลุงชุน อาโต๋ว ลี่มามา และหลินอ้ายรับคำเป็นเสียงเดียวกัน
“เอาล่ะๆ ในเมื่อเจ้ามีชื่อแล้ว เช่นนั้นก็มาเข้าเรื่องกันเถอะอาเปา” หลินเสี่ยวหรานเก็บรอยยิ้ม ทำให้ใบหน้างามสะคราญพลันดูจริงจังขึ้นมา
ฉู่ชิงเฟิงเห็นเช่นนั้นก็เหยียดหลังตั้งตรง ท่าทางตั้งใจฟังเต็มที่ “เชิญคุณหนูหลินว่ามาเถิด ไม่ต้องเกรงใจ”
“งั้นข้าขอพูดแบบเปิดประตูเห็นภูเขา[1]เลยแล้วกันนะ เดิมข้าตั้งใจว่าหากเจ้าฟื้นแล้ว ก็จะส่งข่าวให้ครอบครัวของเจ้ามารับกลับไป ทว่าเพราะเจ้าจำอะไรไม่ได้ ข้าจึงจำเป็นต้องดูแลรักษาไปก่อน ถึงแม้จะไม่รู้หัวนอนปลายเท้าของเจ้าเลยก็ตาม” หลินเสี่ยวหรานหยุดมองหน้าฉู่ชิงเฟิงแวบหนึ่ง เห็นเขาดูสงบนิ่งคล้ายพร้อมรับได้ทุกอย่าง นางจึงค่อยพูดต่อ “แต่ในเมื่อเจ้าหายดีแล้ว และข้าเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน หากยังปล่อยให้เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไปเฉยๆ เกรงว่าหากท่านพ่อรู้เรื่องนี้เข้าจะไม่พอใจเอาได้”
“หรือคุณหนูหลินต้องการให้ข้าจากไป” ฉู่ชิงเฟิงเพียงขมวดคิ้ว และมิได้มีท่าทีตกใจเท่าใดนัก หลินเสี่ยวหรานเห็นแล้วก็แปลกใจอยู่บ้างที่ชายอ้วนท่าทางไม่ได้ความสามารถเก็บสีหน้าอาการได้ดีขนาดนี้
“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกซะทีเดียว ในเมื่อเจ้าจำอะไรไม่ได้สักอย่าง อีกทั้งยังไม่มีเงินติดตัว หากข้าให้เจ้าจากไปทั้งแบบนี้ก็คงไม่สบายใจเช่นกัน”
“แล้วข้าต้องทำเช่นไรหรือ หากยังต้องการอาศัยที่นี่ต่อไปก่อน” ฉู่ชิงเฟิงถามเข้าประเด็น ไม่คิดอ้อมค้อม
“ในเมื่อไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าความจำของเจ้าจะกลับมาเมื่อใด ท่านหมอเลยให้เจ้าไปฝังเข็มเพื่อรักษา แต่ค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้ไม่ใช่น้อย หากเจ้ายังอยากอยู่ที่นี่ต่อจริงๆ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ข้าคงต้องให้เจ้าไปทำงานกับอาโต๋ว” หลินเสี่ยวหรานถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดเหมือนหนักใจเต็มประดา “ถ้าไม่อยากทำ ข้าก็ไม่บังคับหรอกนะ แต่ว่าเจ้าจะต้องออกไปจากที่นี่ภายในสามวัน”
ฉู่ชิงเฟิงไม่ได้ตกใจกับข้อเสนอ เพราะดูจากสถานการณ์ เกรงว่าคุณหนูใหญ่สกุลหลินอาจจะไม่ใช่บุตรสาวที่บิดาโปรดปรานสักเท่าใด นางถึงได้ถูกส่งมาอยู่เสียไกลลิบลับในบ้านหลังเล็กๆ กับบ่าวติดตามแค่สี่คนแบบนี้ และการที่เขามาอยู่ที่นี่ ก็คงเป็นการเพิ่มภาระ และความเสี่ยงให้นาง
‘เอาเถอะ บ้านหลังเล็กแค่นี้ จะมีอะไรให้ทำหนักหนากัน’
“ได้ ข้าขอรับข้อเสนอของคุณหนูหลิน”
“ไม่ต้องรีบตอบก็ได้นะอาเปา”
“ข้าตอบรับข้อเสนอ เพราะคิดดีแล้ว ในเมื่อข้าจำอะไรไม่ได้ ทั้งยังไม่มีอะไรตอบแทนคุณหนูหลิน นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ข้าพอจะทำได้ในตอนนี้”
“ถ้าเจ้าเต็มใจ เช่นนั้นก็ไปเริ่มงานกับอาโต๋วตั้งแต่พรุ่งนี้เลยแล้วกันนะ”
“ได้ ตกลงตามนี้” ฉู่ชิงเฟิงรับคำหนักแน่น จนบ่าวทุกคนที่อยู่ที่นั่นรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่แฝงมาในน้ำเสียง แล้วบังเกิดความรู้สึกเชื่อถือคนแปลกหน้าอย่างเขาขึ้นมาพร้อมกันอย่างประหลาด
กระทั่งหลินเสี่ยวหรานยังรู้พอใจ ใบหน้างดงามจึงกลับมามีรอยยิ้มอีกครา “เอาล่ะ หมดเรื่องแล้ว เจ้าก็ไปพักผ่อนให้เต็มที่เถิดอาเปา พรุ่งนี้จะได้มีแรงช่วยอาโต๋วทำงาน”
ฉู่ชิงเฟิงมิได้อิดออด เขากล่าวอำลาหลินเสี่ยวหราน แล้วเดินกลับไปยังห้องพักอย่างสบายใจ โดยไม่มิได้รู้ถึงชะตากรรมของตนเองนับจากนี้
[1] เปิดประตูเห็นภูเขา หมายถึง พูดหรือแสดงออกแบบตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
“ไม่ใช่นะ ผ้าพวกนี้เป็นของคุณหนูทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นจะขายได้ราคาดีขนาดนี้ได้อย่างไร”“เจ้านั่นแหละที่ไม่รู้อะไร” ฉู่ชิงเฟิงส่ายหัว ทั้งสงสารทั้งสมเพชที่หลินอ้ายโดนเถ้าแก่ร้านตัดเย็บแห่งนี้กดราคาสินค้าอย่างหน้าด้านๆ“ของพวกนี้ต้องขายได้สองสามตำลึงเงินจริงๆ หรืออาเปา”“พูดไปแล้วอาจจะทำให้เจ็บใจ แต่หลินอ้าย เจ้าโดนเถ้าแก่ไร้คุณธรรมหลอกเข้าแล้ว”“ขะ...ข้าโดนหลอกงั้นรึ” หลินอ้ายหน้าซีด ทั้งที่คุณหนูมอบหมายให้นางมาขายของด้วยความไว้วางใจแท้ๆ แต่นางกลับพอใจจำนวนเงินที่ไม่สมกับความเหนื่อยยากของเจ้านาย“อย่าโทษตนเองไปเลยหลินอ้าย เจ้าเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็กๆ ในจวนจะไปรู้เรื่องค้าขายได้เยี่ยงไร ถ้าให้ข้าเดา ที่เจ้าพอใจในราคาที่เถ้าแก่เสนอ เพราะเขาให้ราคาเจ้ามากกว่าสินค้าทั่วไปที่ขายอยู่หน้าร้าน ทั้งยังชื่นชมงานของคุณหนูไม่ขาดปาก แล้วสัญญาว่าต่อไปหากมีของมาขายอีก เขาก็จะรับทุกชิ้นในราคาสูงแบบนี้ใช่หรือไม่”“อาเปา เจ้ารู้ได้ยังไง” หลินอ้ายตกใจที่เขาเดาถูกแทบทุกอย่าง“ส่วนคุณหนูเจ้า พอได้รับเงินก็มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ยิ้มแย้มยินดีอะไร”“อาเปา จะ...เจ้าแอบสืบเรื่องของคุณหนูมาตั้งแต่เมื่อไร บอกมาเดี
บ้านสวนสกุลหลินตั้งอยู่ในเขตอำเภอจงมู่ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม สวนของพวกเขาอยู่ห่างจากตัวอำเภอไกลพอสมควร จึงต้องอาศัยรถม้าในการเดินทางพอถึงตัวอำเภออาโต๋วก็บังคับม้าตรงไปยังร้านขายผ้าในตลาด ฉู่ชิงเฟิงที่ส่วนใหญ่อยู่แต่ในเมืองหลวง พอได้ออกมาเปิดหูเปิดตาจึงถือโอกาสสำรวจความเป็นอยู่ของราษฎรเสียเลย เขามองทุกที่ที่รถม้าแล่นผ่านอย่างพิจารณา แล้วพบว่าถึงจงมู่จะเป็นอำเภอเล็กๆ แต่ก็มีแผงลอย ร้านค้าเปิดอยู่หลายร้านเลยทีเดียว ชาวบ้านก็ดูมีความสุขดี แทบจะไม่เจอขอทานตามท้องถนน อ๋องหนุ่มในคราบอาเปาจึงอดยิ้มปลาบปลื้มแทนพระบิดาไม่ได้“มัวยิ้มอยู่นั่น รีบลงจากรถแล้วเอาบันไดมาวางให้คุณหนูเร็วเข้า” อาโต๋วหันไปสั่งอาเปาที่มัวแต่ใจลอยให้ลุกมาช่วยกันทำงาน“อ่า ถึงแล้วเหรอ”“ก็ถึงแล้วน่ะสิ เจ้ามัวแต่นั่งยิ้มใจลอยอยู่นั่น ไหนว่าไม่อยากมาไงเล่า”ฉู่ชิงเฟิงไม่คิดจะโต้เถียงกับอาโต๋ว จึงทำเป็นหัวเราะแหะๆ กลบเกลื่อน แล้วรีบลงจากรถม้าไปหยิบบันไดมาวางให้หลินเสี่ยวหราน ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษที่ถูกอบรมว่าต้องดูแลสุภาพสตรี เขาจึงเผลอยื่นมือออกไปให้หลินเสี่ยวหราน โดยลืมไปว่ายามนี้ตนเองเป็นเพียงคนความจำเสื่
วันคืนของการเป็นอาเปาผ่านพ้นไปอย่างช้าๆ จากวันเป็นเดือน แต่เวลายิ่งผ่านไป งานที่อาโต๋วโยนมา ไม่สิ มอบหมายให้ฉู่ชิงเฟิงก็เริ่มมากมายขึ้นเป็นเงาตามตัว ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาทำงานคล่องแล้ว ก็ควรแบ่งหน้าที่รับผิดชอบให้ชัดเจน ทำให้จากเดิมที่มีอาโต๋วคอยช่วยเวลาที่เขาหมดแรงทำงานไม่ทัน ตอนนี้เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว แต่อ๋องหนุ่มยังไม่มีความคิดจะกลับสู่ฐานะเดิมในเร็ววันนี้แน่นอนว่าพองานหนักขึ้น ท้องไส้ของเขาก็ยิ่งปั่นป่วน เสียงพุงน้อยๆ ร้องขออาหารใส่ท้องนั้นดังพอๆ กับเสียงโอดครวญที่ดังขึ้นอยู่ภายในใจของเขาแต่สตรีใจดำอำมหิตอย่างหลินเสี่ยวหรานกลับให้หลินอ้ายส่งแต่ข้าวแข็งๆ โปะกับข้าวที่มีแต่ผักล้วนๆ ไม่มีเนื้อผสมมาให้ทุกเมื่อเชื่อวันช่างใจจืดใจดำไร้คุณธรรมยิ่ง!ฉู่ชิงเฟิงคิดไปพลางพุ้ยข้าวเข้าปากเคี้ยวแล้วกลืนมันลงไปพลางพร้อมกับความเคียดแค้นที่พองฟูอยู่เต็มท้อง“คอยดูเถอะหลินเสี่ยวหราน หากวันใดได้กลับคืนสู่ฐานะ เปิ่นหวางจะจับเจ้าไปขังเอาไว้แล้วให้กินแต่ผักทุกมื้อเยี่ยงนี้สักปีสองปี”“เจ้าหมูอ้วน เจ้าว่าใครจะจับใครไปขังนะ” หลินอ้ายที่เดินมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้เอ่ยถาม เมื่อครู่นางยังอยู่ไกลจึง
ฉู่ชิงเฟิงมองอาหารของตนเองสลับกับของอาโต๋วอย่างไม่อยากเชื่อ“ให้ตายสิ ทำไมของเจ้ามีเนื้อด้วย แต่ทำไมของข้า...ของข้ามีแค่ผักเล่า” เขาใช้ตะเกียบเขี่ยข้าวฟ่างหุงสุกกับผักในชามไปมา หวังว่าจะพบเนื้อหมูสักชิ้น ทว่าความจริงยังคงโหดร้ายเช่นเดิม“มีให้กินก็ดีแล้ว เจ้าก็อย่าเรื่องมากนักเลย” หลินอ้ายกล่าว“เจ้าโกรธเกลียดอะไรข้านักหรือ ถึงได้ทำเรื่องโหดร้ายเยี่ยงนี้” ฉู่ชิงเฟิงหันไปถามหลินอ้ายด้วยดวงตาแดงก่ำ ท่าทีทุกข์ระทมน่าสงสารอย่างยิ่ง เขาทำงานหนักขนาดนี้ตั้งแต่เช้า นางกลับมอบให้เพียงข้าวฟ่างชามหนึ่งกับผัดผักวิญญาณหมู แล้วแบบนี้เขาจะไปมีแรงทำงานในช่วงบ่ายได้อย่างไร“อย่ามาพูดจาเหมือนข้ากลั่นแกล้งเจ้านะ” หลินอ้ายตะหวาดแหว“ถ้าเจ้าไม่ได้กลั่นแกล้งข้า แล้วทำไมถึงมีแต่อาโต๋วที่ได้กินหมูเล่า”“เรื่องนั้นข้าจะไปรู้เหรอ บางทีอาจมีคนเห็นเจ้าเป็นตัวบัดซบกินล้างผลาญ เลยไม่อยากเจียดเนื้อให้เจ้ากินกระมัง” หลินอ้ายยกมือทั้งสองขึ้นพลางไหวไหล่“ต่อให้เจ้าไม่ชอบหน้าข้าอย่างไร อยากไล่ข้าไปให้พ้นๆ แต่การกลั่นแกล้งคนที่ทำงานหนักมาตลอดเช้าเยี่ยงนี้ เจ้าไม่นึกละอายใจหน่อยเหรอ”“ละอายใจ? คนที่ควรละอายคือเจ้าต่างหา
ปัง ปัง ปัง!ฉู่ชิงเฟิงกระเด้งตัวขึ้นจากที่นอน เพราะตกใจเสียงเคาะประตู ครั้นหันมองไปรอบกาย ก็พบว่าตอนนี้ฟ้ายังไม่สาง แต่อาโต๋วกลับมาเรียกคน ถึงจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างเสียมารยาทยิ่ง แต่เขาก็รีบลุกจากที่นอน เดินแบกพุงพลุ้ยๆ ของตนเองไปเปิดประตูในที่สุด“เจ้ามาเคาะประตูเรียกข้าด้วยเหตุอันใด” ฉู่ชิงเฟิงถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติมากที่สุด“นี่อาการเจ้าหนักมาก กระทั่งเมื่อวานคุยอะไรไว้กับคุณหนูก็ลืมไปหมดแล้ว?” อาโต๋วไม่ได้ตอบ แต่เลือกที่จะถามเขากลับ“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ข้าย่อมจำได้”“ถ้าเจ้าจำได้ทำไมถึงมัวแต่นอนอยู่เล่า ปล่อยให้ข้าเคาะประตูเรียกเสียนาน”ฉู่ชิงเฟิงย่นคิ้ว พลางหันไปมองท้องฟ้าที่มืดอยู่ “ข้ามิได้ตื่นสายเสียหน่อย ฟ้ายังไม่ทันสางเลย”“แล้วเจ้าจะรอให้ตะวันโผล่พ้นยอดไผ่ก่อนหรือไงถึงค่อยทำงาน”“มันก็ควรเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ”อาโต๋วส่ายหัวไปมา เขารู้สึกว่าคุณหนูของตนไม่ได้หาคนมาช่วยงาน แต่จะเพิ่มภาระให้เขามากกว่า “คุณหนูหนอคุณหนู ดูก็รู้ว่าเจ้าคงทำอะไรไม่เป็นยังจะยื่นข้อเสนอแบบนั้นอีก ไล่ๆ ไปเสียก็หมดเรื่องแล้ว”ฉู่ชิงเฟิงได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจขึ้นมา ขืนอาโต๋วไปบอกว่าเขาไม่ยอมทำงาน ตนเ
หลินเสี่ยวหรานให้ฉู่ชิงเฟิงตามนางไปที่โต๊ะหินใต้ต้นอิงฮวา แล้วเชิญให้เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จากนั้นไม่นานอาโต๋วก็ไปตามลุงชุนมาสมทบ ครั้นทุกคนภายในบ้านอยู่รวมกันครบแล้ว หลินเสี่ยวหรานถึงได้เริ่มบทสนทนา“ก่อนหน้าเป็นเพราะเจ้าป่วยอยู่ ข้าจึงมิได้พูดคุยอะไรด้วยแบบเป็นเรื่องเป็นราว แต่บัดนี้ร่างกายของเจ้าแข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว ข้าเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่เราจะต้องพูดคุยกันเสียที ถึงแม้เจ้าจะยังจำอะไรไม่ได้ก็ตาม”“คุณหนูหลินมีเรื่องอันใดก็บอกกล่าวมาได้เลย” ใบหน้าอ้วนกลมของฉู่ชิงเฟิงดูจริงจังขึ้นสามส่วน“แต่ก่อนที่จะคุยอะไรกัน ข้าคิดว่าเจ้าควรหาชื่อให้ตนเองก่อน จะได้เรียกขานกันได้ถูก”“นั่นสินะ” ฉู่ชิงเฟิงไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน พอถูกถามก็นึกไม่ทันอยู่บ้าง เพราะในหัวมีคำมงคลมากมายลอยวนอยู่ในนั้น แต่ก็ยังหาชื่อที่ความหมายดี และถูกใจตนเองไม่ได้ทว่าคนที่รอฟังคำตอบมิได้มีใจอยากคอยเขาประดิษฐ์คำสักเท่าใด“หากเจ้ายังนึกไม่ออก ข้าก็ยินดีจะตั้งให้” หลินเสี่ยวหรานยิ้มกล่าว ท่าทางเต็มอกเต็มใจฉู่ชิงเฟิงหันไปสบตาของหลินเสี่ยวหรานที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ กอปรกับเขายังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรใช้ช