ครั้นตงฟางหลีกล่าวเช่นนี้ออกมา เหล่าพระโอรสที่นั่งอยู่ต่างนั่งไม่ติดเก้าอี้ตงฟางอิงคล้ายนั่งอยู่บนพรมที่ถักทอด้วยเข็มแหลมคม รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัวเขาวิ่งไปหาตงฟางหลีก่อนจะคุกเข่าลง โขกศีรษะลงอย่างแรง “ลูกก็เต็มใจที่จะใช้ชีวิตแลกพระชนมชีพของเสด็จพ่อเช่นกัน”องค์ชายแปดเห็นว่าเจ้าสิบออกหน้าแล้ว เขาเอ
ไม่ว่าจะผ่านความทุกข์ยากมามากเพียงใดแม้ว่าตนเองจักเคยตกอยู่ในความมืดมนและบอบช้ำมากเท่าใดเด็กคนนี้ยังคงเหมือนกับฟ้าหลังฝนก็ไม่ปาน ทั้งสว่างไสวใสกระจ่าง สะอาดราวกับอัญมณีล้ำค่า“เสียวจิ่ว” ฮ่องเต้จึงเข้ามาโอบกอดเขาเอาไว้ ริมฝีปากที่กระตุกขึ้นมาหลายครั้ง พร้อมด้วยอาการคัดจมูกในปีนั้น เขาทำผิดพลาดไปม
เหล่าผู้คนต่างก็อยู่ในสภาพตกใจราวกับถูกฟ้าผ่าลงมาจู่ ๆ ฮ่องเต้ก็เอ่ยถึงการสละราชบัลลังก์ ทำเอาผู้คนถึงกับตั้งตัวไม่ทันแต่แล้วเมื่อลู่จิ้นปรากฎตัวขึ้น บรรยากาศพลันแปรเปลี่ยนไปในทันทีบรรยากาศที่ตกอยู่ในความเคร่งขรึมเมื่อครู่นั้น กลับกลายเป็นฉากตลกขบขันของชายชราเคราขาวอายุร้อยกว่าปีกำลังสั่งสอนหลาย
เมื่อฮ่องเต้ตรัสถึงตรงนี้ พระสุรเสียงก็ค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ฮ่องเต้จ้องมองผู้คนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง“เราจึงขอประกาศว่า นับแต่วันนี้เป็นต้นไป บุตรชายคนที่เก้าของเราซึ่งมีนามว่าตงฟางจิ่ว จะกลับคืนสู่ตระกูลตงฟางอย่างเป็นทางการ และจะได้รับบรรดาศักดิ์เป็น ‘ไหว’ หรืออ
เมื่อการถวายของขวัญจบลงแล้วนั้นลู่จิ้นก็ยังมิปรากฏตัวออกมาเหล่าผู้คนมากมายกำลังรอคอยสัญญาณเริ่มงานเลี้ยงทว่า ฝ่าบาทเพียงแค่นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมฝ่าบาทหาได้เอ่ยอันใดออกมาไม่ ทุกคนเองก็มิกล้าที่จะเคลื่อนไหวอันใดเช่นกันพร้อมทั้งบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียดขึ้นมาเวลาผ่านไปเนิ่นนาน
หากไม่กินตอนนี้ เกรงว่ากว่าจะได้กินอีกทีคงต้องรอถึงกลางดึกเป็นแน่ไม่สู้แบ่งเค้กเสียก่อน หากว่าอยากกินอีกเมื่อใด ก็ค่อยจับเจ้าเจ็ดเป็นตัวประกันเอาไว้ เพื่อบังคับแม่หนูเหยี่ยนเย่ว์ทำเค้กรสชาติใหม่ขึ้นมาก็ย่อมได้“ได้” ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วยฉินเหยี่ยนเย่ว์จึงตัดเค้กท