“ท่านอ๋องเชิญกล่าวมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ตู้เหิงลุกขึ้นจุดเทียนตงฟางหลีพลันประสานมือขึ้นมา “วันนี้เจ้าได้เข้าเฝ้าพระชายาหรือไม่?”ตู้เหิงที่ใช้มือป้องเปลวไฟที่เพิ่งจุดขึ้นนั้น พลันพยักหน้าลง “เข้าเฝ้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“นางได้เอ่ยอันใดกับเจ้าหรือไม่?” ตงฟางหลีหรี่ตามอง “เช่น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้า”ตู้เ
ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันขดตัวอยู่ในมุมมุมหนึ่ง ก่อนจะโบกไม้โบกมือไปมา พร้อมด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยอ่อนว่า “ให้หม่อมฉันได้อยู่เงียบ ๆ คนเดียวเถิดเพคะ”“ยัยหนู...”“ออกไป!” เสียงของฉินเหยี่ยนเย่ว์แตกสลายเล็กน้อยเพราะนางเศร้าเกินไป“เจ้าอย่าเพิ่งโกรธ” เมื่อตงฟางหลีเห็นรอบดวงตาที่แดงก่ำของนางนั้น เขารู้สึกว่า
ตงฟางหลีพลันถอนหายใจออกมาไม่มีหยุด ก่อนจะวางมือของตนเองลงบนไหล่ของฉินเหยี่ยนเย่ว์ปฏิกิริยาของฉินเหยี่ยนเย่ว์ กลับดึงมือหนัก ๆ ของตงฟางหลีออกไปในทันที พลางตวาดออกมาเสียงดังว่า “อย่าแตะต้องหม่อมฉัน”ตงฟางหลีตกใจกับน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความดุดันของนาง มือยังคงลอยอยู่กลางอากาศ “ยัยหนู เจ้าเป็นอะไรไป?
นอกจากจะตกใจแล้ว ทั้งยังรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก“ยัยหนู ข้ารู้สึกสับสนยิ่งนัก ข้าไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี? หากข้าปฏิเสธต่อหน้าทุกคนไป ข้าจักต้องเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน” น้ำเสียงของตงฟางหลีพลันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “หากว่าข้าไม่ปฏิเสธมันไปละก็ ข้ากลับไม่รู้ว่าตนเองควรจักต้องทำเช่นไร ข้ามิเคยรู้สึกหน
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของตงฟางหลีนั้น หัวใจของฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันตกลงไปอยู่บนตาตุ่มในทันทีท่าทีที่เขาตกอกตกใจ ทั้งยังตื่นตระหนกเช่นนี้ นั่นหมายความว่าเรื่ององค์หญิงชิงอินเอ่ยออกมานั้นเป็นเรื่องจริงมิแปลกใจเลยที่เขากลับมาช้าหลังจากรีบร้อนเข้าในวังหลวงเช่นนี้ เรื่องการแต่งงานขององค์หญิงองค์ชายทั้งสองแคว
นางเปิดหน้าต่างออกตอนที่มีแสงแดดสาดส่องเข้ามานั้น อากาศอบอุ่นมากทว่านางกลับรู้สึกหนาวยะเยือก ร่างกายสั่นสะท้านน้อย ๆ“เหมียว” เฮยตั้นร้องเรียกสองสามคำนิ้วของฉินเหยี่ยนเย่ว์วางบนกระดิ่งที่แขวนอยู่นอกหน้าต่าง เหม่อมองออกไปข้างนอกด้วยท่าทางสับสนเวลาผ่านไปทีละนิดนางยืนอยู่ข้างหน้าต่างมองไปที่ประตู