LOGIN“ท่านย่า ท่านอยู่กับหลานเพียงสองคนอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว สามีและบุตรชายของข้าตายไปตั้งแต่สงครามที่รบกับเมืองอันหยางครั้งสุดท้าย ส่วนลูกสะใภ้ป่วยตายเพราะต้องทำงานหนักหาเลี้ยงข้ากับหลานสาว นางเพิ่งจากไปเมื่อ2ปีก่อน ตอนนี้จึงเหลือกันอยู่เพียงสองย่าหลานเท่านั้น”
“ยิ่งมาเจอน้ำท่วมครั้งนี้ก็ยิ่งทำให้ท่านย่าลำบากมากขึ้นไปอีกใช่หรือไม่?” เขาส่งยิ้มให้คนทั้งสองพร้อมยื่นขวดน้ำเต้าให้หญิงชรา
สตรีสูงวัยรับขวดน้ำเต้าพร้อมยิ้มตอบบุรุษหนุ่มตรงหน้า แต่หญิงชรากลับไม่ดื่ม นางยื่นขวดน้ำเต้านั้นให้หลานสาวดื่มก่อนจะหันมาพูดกับหลิวเลี่ยงลี่
“ลำบากที่ไหนกัน แค่นี้ไม่ลำบากเลยหากเทียบภัยพิบัตินี้กับสงครามครั้งก่อน อย่างน้อยเมื่อน้ำลงก็ยังมีที่ให้ข้ากับหลานสาวกลับไปได้ คนในครอบครัวก็ยังอยู่พร้อมหน้า ตอนนอนก็ไม่ต้องผวาตื่นเพราะกลัวข้าศึกบุกเข้ามา ทั้งยังต้องคอยพะวงกลัวบุตรหลานที่ออกไปรบจะมีอันตรายถึงชีวิต ทุกเช้าค่ำมิมีเสี้ยวเวลาใดที่ไม่รู้สึกเป็นกังวล ดังนั้นแค่นี้ไม่ถือว่าลำบากเลย” หญิงชรามองหน้าหลิวเลี่ยงลี่แล้วคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้ก่อนเอ่ยต่อ
“เจ้ายังเยาว์วัยเห็นเรื่องเช่นนี้ย่อมคิดว่าลำบาก หากเจ้าโตกว่านี้ ได้พบเจอเรื่องราวมากกว่านี้ เจ้าจะรู้ว่าเรื่องลำบากกว่านี้ย่อมมีอีกมาก ยิ่งในยุคที่มีสงครามเกิดขึ้นได้เสมอแบบนี้ด้วยแล้ว เรื่องลำบากย่อมพบเจอได้ไม่ยาก” หญิงชรามองหน้าหนุ่มน้อยที่สวมชุดทหารตรงหน้า คิ้วของทหารผู้นี้ขมวดติดกันราวกับมีเรื่องให้ครุ่นคิด
“ท่านย่า แล้วถ้ามีคนมารุกรานเรา ท่านจะให้พวกเรายอมจำนนอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของบุรุษหนุ่มเต็มไปด้วยความข้องใจ หญิงชรามองหน้าเขาด้วยแววตาเปื้อนยิ้ม
“ยายแก่คนนี้ก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่หวังใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ และหวังเพียงว่าเมืองหลิวผิงจะไม่ต้องทำศึกไปอีกยาวนาน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่รักภูมิลำเนาของตน แต่หากมีทางออกอื่นย่อมดีกว่า เพราะการทำศึกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ ย่อมต้องมีครอบครัวที่ต้องสูญเสียอยู่ดี แต่หากเจรจาด้วยสันติไม่ได้ ชายชาติทหารอย่างเจ้าก็สมควรแล้วที่จะจับดาบยกโล่ เพื่อปกป้องคนข้างหลังและแผ่นดินที่เจ้าอาศัย เพื่อมิให้ผู้ใดมาข่มเหงคนที่อยู่ด้านหลังของเจ้าและแย่งแผ่นดินเกิดของเจ้าไป”
หญิงชรารู้ดีว่าหนุ่มน้อยตรงหน้าของนางหาใช่ทหารผู้ต่ำต้อย เพราะด้วยอายุเพียงเท่านี้ก็สามารถสั่งการทหารคนอื่นได้ ดังนั้นสตรีสูงวัยจึงไม่อยากให้เขาใจร้อนวู่วาม จึงเอ่ยเตือนสติอ้อม ๆ
คำของหญิงชราตรงหน้าทำให้หลิวเลี่ยงลี่เข้าใจแล้วว่าใยบิดาจึงส่งพี่สาวไปแต่งงาน แต่กลับไม่ยอมเปิดศึกกับหลัวหยางโหว หนุ่มน้อยเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในใจที่ใส่อารมณ์กับบิดา จึงขอแม่ทัพลี่หม่าเดินทางกลับมาเมืองหลิวผิงทันที
ณ ที่ว่าการเมืองหลิวผิง
หลิวเลี่ยงลี่กลับมาถึงตัวเมืองหลิวผิงก็ได้ยินข่าวตอบรับงานมงคลของพี่สาว ถึงจะรู้สึกขัดใจแต่เขาก็ต้องยอมรับอย่างจำใจ ครั้นหนุ่มน้อยมาถึงจวนผู้ว่าการเมืองหลิวผิง ก็ถามหาบิดากับผู้ดูแลจวนทันที จึงรู้ว่าบิดาอยู่ที่เรือนนอนของหลิวหลิงลี่
เมื่อหลิวเลี่ยงลี่มาถึงหน้าห้องนอนของหลิวหลิงลี่ เขาก็ยกมือขึ้นหมายจะเคาะประตูเพื่อขออนุญาตคนที่อยู่ข้างใน แต่บังเอิญได้ยินคำพูดของพี่สาวที่คุยกับบิดา เขาจึงยั้งมือเอาไว้แล้วยืนฟังอยู่เงียบ ๆ แม้กระทั่งขณะที่คนทั้งสองร้องไห้กอดกัน เขาก็ได้แต่ยืนขอบตาแดงอยู่ลำพังด้านนอก
ขณะที่ฟังคนด้านในห้องทั้งสองสนทนากัน หลิวเลี่ยงลี่ก็คิดขึ้นมาได้ ‘ในเมื่อท่านพ่อทำหน้าที่เจ้าเมือง ส่วนพี่หญิงก็ทำหน้าที่บุตรีของลูกเจ้าเมือง ข้าซึ่งอนาคตย่อมต้องรับตำแหน่งเจ้าเมืองต่อจากท่านพ่อ ก็สมควรต้องทำหน้าที่ของตนเองได้แล้ว’
ครั้นหลิวเลี่ยงลี่ได้ยินหลิวหลิงลี่พูดถึงตนเอง เขาจึงได้เปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไปหาคนทั้งสองอย่างรวดเร็ว
“เจ้ามาได้อย่างไร ข้าให้แม่ทัพลี่หม่าพาเจ้าไปช่วยชาวบ้านที่ลี้ภัยน้ำท่วมที่อำเภอหาวหนานไม่ใช่หรือ?”
หลิวเลี่ยงลี่เดินเข้าไปยืนต่อหน้าบิดา ก่อนจะคุกเข่าและโขลกศีรษะลงกับพื้น
“ท่านพ่อลูกอกตัญญูพูดจาไม่ไตร่ตรองทำให้ท่านพ่อโมโห ตอนนี้ลูกคิดได้แล้วจึงมาขอขมากับท่าน ขอท่านพ่อโปรดลงโทษลูกด้วย” น้ำเสียงของหนุ่มน้อยหนักแน่น แต่ทว่าบางช่วงกลับสั่นเพราะความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ
หลิวตงถึงจะตกใจต่อการกระทำของบุตรชาย แต่เขารู้สึกภูมิใจที่บัดนี้บุตรชายของเขาโตขึ้นแล้ว เขาลุกจากเก้าอี้ไปจับไหล่ของบุรุษอายุน้อยกว่า พร้อมยกยิ้มให้
“ลุกขึ้นเถิด ลุกขึ้น คิดได้ก็ดี คิดได้ก็ดีแล้ว”
“ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าจะฝึกฝนให้มาก จะเอาอย่างท่านปู่ปกป้องเมืองหลิวผิงและท่านพ่อกับพี่หญิงเอง”
“แต่...” หลิวตงพูดได้คำเดียวก็โดนหลิวหลิงลี่เอ่ยแทรกขึ้นมา
“ท่านพ่อตอนนี้อาลี่16หนาวไม่ถือว่าเด็กแล้ว หลัวหยางโหวตามท่านผู้เฒ่าหลัวโหวออกศึกตั้งแต่14หนาว อายุน้อยกว่าอาลี่เสียอีก ดังนั้นท่านพ่อควรหาท่านแม่ทัพสักคน มาสอนกลยุทธ์การต่อสู้และการศึกให้อาลี่แบบจริงจังเสียที”
“นั่นสิท่านพ่อ ลูกร่างกายแข็งแรงท่านพ่ออย่างได้ห่วงลูกเลย ที่ผ่านมาลูกได้แต่แอบฝึกมาตลอด เพราะไม่มีคำสั่งของท่านพ่อ แม่ทัพเหล่านั้นก็เลยไม่กล้าสอนลูกอย่างจริงจัง เพราะกลัวทำลูกบาดเจ็บแล้วจะถูกท่านพ่อตำหนิ” หลิวเลี่ยงลี่รีบกล่าวเสริมจากพี่สาว
หลิวตงได้แต่ระบายลมหายใจยาวก่อนจะยิ้มให้บุตรทั้งสอง “โตแล้ว บุตรของข้าทั้งสองโตแล้วจริง ๆ ”
หลิวตงใช้มือลูบหัวของบุตรทั้งสองอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ราวกับคนจะร้องไห้
“ถึงเวลาแล้วสินะ ที่พ่อจะต้องปล่อยให้พวกเจ้าได้ใช้ชีวิตของพวกเจ้า ต้องโทษพ่อที่ไร้ความสามารถไม่อาจปูทางเดินนี้ให้พวกเจ้าเดินได้อย่างสบาย”
“ท่านพ่ออย่าได้โทษตัวเองเลย หลังจากท่านปู่เสียไป ท่านก็ได้ปกป้องชาวเมืองและข้าสองพี่น้องมาอย่างดี ทั้งที่ท่านไม่รู้การศึกอีกทั้งร่างกายยังอ่อนแอ แต่ยังเป็นเจ้าเมืองที่ดีมาได้ถึง7ปี ท่านพ่อเก่งมากแล้วเจ้าค่ะ ลูกภูมิใจในตัวท่านพ่อมากจริง ๆ และไม่เสียใจเลยที่เกิดเป็นบุตรีของท่าน” หลิวหลิงลี่กล่าวชมบิดา
“ท่านพ่อ ต่อจากนี้ลูกจะปกป้องท่านบ้าง ยังไงอนาคตลูกก็คือเจ้าเมืองคนต่อไป ไหนเลยจะยอมแพ้ท่านพ่อและท่านปู่ได้” หลิวเลี่ยงลี่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่...”ซูเย่กำลังจะอ้าปากคัดค้านคำพูดของเผยสิงเวย ทว่ากลับถูกเผยไจ่เหวินยกมือขึ้นห้าม เพราะอย่างไรไป๋ฉินหลันก็เป็นญาติผู้น้องของเขา ด้วยความผิดที่สตรีตระกูลไป๋ทำต่อเขา เผยไจ่เหวินยอมให้คนอื่นส่งนางไปสู่ประตูปรโลกได้ แต่หากนางยังพอจะมีทางรอดชีวิต เขาก็ไม่คิดจะเป็นคนตอกฝาโลงของนางถึงซูเย่จะรู้สึกขัดใจที่เจ้านายของเขาใจอ่อนให้กับคนที่คิดร้ายกับตนเองอีกแล้ว แต่ในเมื่อเผยไจ่เหวินไม่ยอมให้เขาพูด ซูเย่ก็ทำได้แต่ปิดปากเงียบเอาไว้หลิวหลิงลี่ได้ยินคำพูดของเผยสิงเวยและได้เห็นท่าทีของเผยไจ่เหวิน ก็รู้ได้ทันทีว่าสองพี่น้องตระกูลเผยอยากช่วยชีวิตไป๋ฉินหลันมากเพียงใด ต่างจากหลัวหยางโหวที่แสดงท่าทีจริงจังขึงขังที่จะเอาชีวิตสตรีตระกูลไป๋ ทำให้หลิวหลิงลี่สับสนและสงสัยว่าเจ้าของจวนหลัวทำเช่นนี้ไปเพื่อสิ่งใด ทว่าเพียงไม่กี่ลมหายใจหญิงสาวก็คิดเหตุผลที่หลัวหยางโหวทำเช่นนี้ขึ้นมาได้‘ที่แท้ท่านโหวก็แค่แสดงให้ท่านแม่เห็นสินะ ว่าท่านอยากลงโทษคุณหนูไป๋มากเพียงใด แล้วให้ข้าออกหน้าช่วยคุณหนูไป๋เพื่อไม่ให้ท่านแม่สงสัย และต่อว่าท่านได้ในภายหลัง ท่านนี่ช่างวางแผนการได้แยบยลเสียจริง’ ในเมื่อหลิวหลิงลี่ได้บอกหลัวห
‘ท่านโหวนะท่านโหว ท่านช่างกล้าทำร้ายญาติผู้พี่ของสตรีอันเป็นที่รักถึงขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ ถึงเขาจะลงมือกับแม่ทัพของท่าน แต่ท่านโหวก็น่าจะปรานีมอบความตายให้เขาไปเสีย มิใช่ทรมานเขาถึงขั้นนี้’ หลิวหลิงลี่รู้ว่ากฎข้อนี้ของหลัวหยางโหวไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่นางคิดไม่ถึงว่าหลัวหยางโหวจะทรมานเผยสิงเวยหนักถึงเพียงนี้เมื่อมองดูสภาพของคุณชายใหญ่เผยเสร็จ หลิวหลิงลี่ก็หันไปมองใบหน้าและอาภรณ์ของหญิงสาวสกุลไป๋ที่นั่งอยู่ไม่ห่างเผยสิงเวยมากนัก ก่อนจะหันมามองหลัวหยางโหว‘ช่างแสดงได้สมจริงยิ่งนัก นางกับท่านเหมาะสมกันที่สุดแล้ว รอให้ถึงเวลาอันสมควร ข้าจะไม่อยู่ขวางวาสนาดอกท้อของพวกท่านอย่างแน่นอน’ หลิวหลิงลี่ได้แต่คิดอยู่ในใจหลัวหยางโหวที่นั่งอยู่ข้างหญิงสาว รับรู้ได้ถึงรังสีบางอย่างที่ผิดปกติไปของสตรีที่นั่งอยู่ด้านข้าง จึงหันมามองหญิงสาว และเป็นไปอย่างที่เขาคิดเอาไว้ เพราะสีหน้าของนางเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ราวคนละคน‘ประเดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นว่า ข้าไม่ได้มีส่วนร่วมวางแผนทำร้ายเจ้า และยิ่งไม่คิดจะแต่งนางเข้าจวน’ หลัวหยางโหวไม่คิดเอ่ยอธิบายให้หลิวหลิงลี่ฟัง เพราะเขาจะทำให้นางเห็นกับตา“ยามนี้ทุ
“หากเจ้าอยากให้ข้าทำตามที่รับปากเอาไว้ ก็กลับมาเรียกข้าท่านพี่อย่างเดิม มิเช่นนั้น...” เมื่อหลิวหลิงลี่พูดถึงข้อตกลง หลัวหยางโหวจึงคิดนำเรื่องนี้มาเป็นข้อต่อรองให้หญิงสาวหายโกรธ ทว่าสตรีจากเมืองหลิวผิงมิคิดให้บุรุษหนุ่มใช้เรื่องนี้มาต่อรอง นางจึงเอ่ยแทรกขึ้นมา“ตั้งแต่ข้ามาที่เมืองอันหยางก็ทำการค้ามาตลอด จึงทำให้ข้ารู้ว่า หากท่านอยากซื้อขายกับข้า ท่านต้องยอมจ่ายตามราคาที่ข้าต้องการ หรือไม่ท่านก็ต้องนำสิ่งที่ข้าต้องการมาแลกเปลี่ยนอย่างเหมาะสม ดังนั้นหากข้ายังไม่ได้สิ่งที่ข้าปรารถนา ไหนเลยข้าจะทำตามคำขอของท่าน และอีกอย่างท่านโหวคงเคยชินกับการข่มขู่ผู้อื่น จนลืมไปแล้วกระมังว่า ตอนนี้ข้าต่างหากคือคนที่มีไพ่ในมือเหนือกว่า เช่นนั้นข้าคือคนที่มีสิทธิ์สั่ง ไม่ใช่ท่าน” หลิวหลิงลี่เอ่ยเน้นเสียงในประโยคท้ายหลัวหยางโหวถึงกับดวงตาเบิกโต เมื่อถูกหลิวหลิงลี่เอ่ยขู่ แต่ทว่าเขากลับมิรู้สึกโกรธนางแม้แต่น้อย เพียงไม่กี่ลมหายใจเขาก็หัวเราะออกมาดังลั่นเสียงหัวเราะของหลัวหยางโหวมิได้ทำให้บรรยากาศในลานกลางเรือนดีขึ้นแม้แต่น้อย ทว่ามันกลับตรงกันข้าม คนที่อยู่ในเหตุการณ์ที่ได้ยินเจ้าของจวนทั้งสองสนทนากันนั้
“ข้าได้ข่าวว่าเมื่อวานนี้ คุณชายใหญ่ตระกูลเผยคิดลงมือสังหารพวกท่าน พวกท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” หลิวเลี่ยงลี่เอ่ยถามหลังจากที่เผยไจ่เหวินนั่งเรียบร้อยแล้ว“ขอบคุณคุณหนูหลิวที่เป็นห่วง โชคดีที่ได้แม่ทัพฟางเซียวช่วยเอาไว้ พวกข้าจึงไม่เป็นไรแม้แต่น้อย”เมื่อได้รับคำตอบจากบุรุษตระกูลเผย หลิวหลิงลี่ก็ยิ้มกว้างให้บุรุษทั้งสาม โดยที่นางไม่ทันสังเกตว่าบุรุษที่นั่งอยู่ตรงกลางมีสีหน้าไม่พอใจเท่าใดนักหลิวหลิงลี่เอ่ยถามต่อ เมื่อเห็นว่าบริเวณภายในลานเงียบเกินไป อาจทำให้บุรุษทั้งสามที่เพิ่งมาถึงอึดอัดได้ “คนของจวนหลัวดูแลต้อนรับพวกท่านดีหรือไม่”ถึงหลัวหยางโหวจะนั่งนิ่งไม่ได้หันหน้ามามองหลิวหลิงลี่ แต่สีหน้าที่บุรุษหนุ่มเจ้าของจวนแสดงออกมานั้น ทำให้ซูเย่ที่ยืนอยู่ด้านหลังเผยไจ่เหวินรับรู้ได้ว่า ไหน้ำส้มของหลัวหยางโหวได้แตกแล้ว เพราะสีหน้าของหลัวหยางโหวในยามนี้ไม่ต่างกับตอนที่เขาเจอที่โรงเตี๊ยมเลย‘หรือว่าเพราะข่าวลือที่แพร่อยู่ในเมือง ทำให้ท่านโหวไม่พอใจยามที่เห็นคุณหนูหลิวกับคุณชายสนทนากัน’ ซูเย่คิดในใจเมื่อเห็นสีหน้าของหลัวหยางโหวเมื่อซูเย่เห็นผู้เป็นนายของตนจะเอ่ยตอบนายหญิงของจวน เขาก็ไม่รอช้าท
หลิวเลี่ยงลี่เดินมาหยุดที่หน้าหลัวหยางโหว ที่ยืนอยู่ข้างพี่สาวของเขาแล้วประสานมือคอบกายให้บุรุษหนุ่มเจ้าของจวนอย่างนอบน้อม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเศร้า ๆ“เช่นนั้นพี่เขยต้องลำบากแล้ว ข้ากลับไปเมืองหลิวผิงครานี้จะบอกให้ท่านพ่อส่งจดหมายมาตักเตือนพี่หญิง หวังว่าพี่เขยจะใจเย็นให้มากหน่อย อย่าถือสาการกระทำของพี่หญิงเลยนะขอรับ”เมื่อหลิวเลี่ยงลี่กล่าวจบหลัวหยางโหวก็ได้สติ เดิมทีเขาไม่คิดว่าบุรุษจากเมืองหลิวผิงจะทำเช่นนี้ ทำให้เขานั้นมิได้ตั้งตัว แต่ครั้นคิดได้เขาก็รีบตอบกลับหลิวเลี่ยงลี่ทันที“เจ้าอย่าได้เอ่ยเรื่องนี้กับท่านพ่อตาเลย ข้าไม่อยากให้ท่านพ่อตาต้องเป็นกังวล และอีกอย่างเดิมทีเรื่องที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น ข้ากับตระกูลไป๋ห่างเหินกันมานานแล้ว เรื่องสัญญาหมั้นหมายก็เป็นเพียงคำพูดปากเปล่าของท่านปู่ และอีกอย่างยามนี้ข้าก็มีพี่หญิงของเจ้าแล้ว ข้าหลัวหยางโหวมิใช่บุรุษมักมาก ดังนั้นข้าไม่เคยคิดรับอนุเข้ามาอยู่แล้ว เช่นนั้นเรื่องที่พี่สาวของเจ้าเป็นสตรีขี้หึงนั้น ไม่ทำให้ข้าลำบากใจแน่นอน เจ้าอย่าได้เป็นกังวลเลย” กล่าวจบหลัวหยางโหวก็หันหน้าไปมองหญิ
ในขณะที่หลิวหลิงลี่กำลังคิดหาหนทางอยู่นั้น นายทหารผู้หนึ่งก็เดินเข้ามากระซิบกับฟางเซียว หลิวหลิงลี่รู้ว่าอีกสักครู่แม่ทัพอายุน้อยจะต้องเดินไปรายงานหลัวหยางโหวอย่างแน่นอน นางจึงก้าวเดินไปยืนข้าง ๆ ผู้เป็นสามี เผื่อว่าเรื่องที่ทหารผู้น้อยคนนั้นมารายงาน จะทำให้นางหาข้ออ้างให้หลัวหยางโหวเลื่อนการสอบสวนไป๋ฉินหลันกับเผยสิงเวยออกไปได้เพียงทหารผู้นั้นเดินจากไป ฟางเซียวก็เดินเข้ามาหาหลัวหยางโหวอย่างที่หลิวหลิงลี่คาดการณ์เอาไว้ ทว่าฟางเซียวกลับเอ่ยรายงานหลัวหยางโหวออกมาเสียงดัง ไม่ได้กระซิบอย่างที่หลิวหลิงลี่คิดเอาไว้ก่อนหน้า“ท่านโหวขอรับ ทหารที่จะไปต้อนรับผู้ติดตามคุณชายหลิวพร้อมแล้วขอรับ ส่วนเรือนรับรองที่ใช้ต้อนรับ เหล่าคนรับใช้กำลังทำความสะอาดอยู่ขอรับ แต่อย่างไรก็เสร็จก่อนที่ผู้ติดตามจะมาถึงแน่นอนขอรับ” ฟางเซียวรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นความลับอันใด เขาจึงไม่จำเป็นต้องกระซิบกับหลัวหยางโหว เพราะตอนที่เจ้าของจวนสั่งให้เขาไปเตรียมคน ก็พูดเสียงดังเปิดเผยต่อหน้าคนมากมาย“เช่นนั้นเจ้าเป็นคนไปเชิญพวกเขาเข้าเมืองมาแล้วกัน เพราะจากท่าทางของห่าวซวนกับเตียนอี๋คงไม่เหมาะนัก ส่วนเรื่องเรือนรับรอง ขอเพ







