“ท่านย่า ท่านอยู่กับหลานเพียงสองคนอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว สามีและบุตรชายของข้าตายไปตั้งแต่สงครามที่รบกับเมืองอันหยางครั้งสุดท้าย ส่วนลูกสะใภ้ป่วยตายเพราะต้องทำงานหนักหาเลี้ยงข้ากับหลานสาว นางเพิ่งจากไปเมื่อ2ปีก่อน ตอนนี้จึงเหลือกันอยู่เพียงสองย่าหลานเท่านั้น”
“ยิ่งมาเจอน้ำท่วมครั้งนี้ก็ยิ่งทำให้ท่านย่าลำบากมากขึ้นไปอีกใช่หรือไม่?” เขาส่งยิ้มให้คนทั้งสองพร้อมยื่นขวดน้ำเต้าให้หญิงชรา
สตรีสูงวัยรับขวดน้ำเต้าพร้อมยิ้มตอบบุรุษหนุ่มตรงหน้า แต่หญิงชรากลับไม่ดื่ม นางยื่นขวดน้ำเต้านั้นให้หลานสาวดื่มก่อนจะหันมาพูดกับหลิวเลี่ยงลี่
“ลำบากที่ไหนกัน แค่นี้ไม่ลำบากเลยหากเทียบภัยพิบัตินี้กับสงครามครั้งก่อน อย่างน้อยเมื่อน้ำลงก็ยังมีที่ให้ข้ากับหลานสาวกลับไปได้ คนในครอบครัวก็ยังอยู่พร้อมหน้า ตอนนอนก็ไม่ต้องผวาตื่นเพราะกลัวข้าศึกบุกเข้ามา ทั้งยังต้องคอยพะวงกลัวบุตรหลานที่ออกไปรบจะมีอันตรายถึงชีวิต ทุกเช้าค่ำมิมีเสี้ยวเวลาใดที่ไม่รู้สึกเป็นกังวล ดังนั้นแค่นี้ไม่ถือว่าลำบากเลย” หญิงชรามองหน้าหลิวเลี่ยงลี่แล้วคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้ก่อนเอ่ยต่อ
“เจ้ายังเยาว์วัยเห็นเรื่องเช่นนี้ย่อมคิดว่าลำบาก หากเจ้าโตกว่านี้ ได้พบเจอเรื่องราวมากกว่านี้ เจ้าจะรู้ว่าเรื่องลำบากกว่านี้ย่อมมีอีกมาก ยิ่งในยุคที่มีสงครามเกิดขึ้นได้เสมอแบบนี้ด้วยแล้ว เรื่องลำบากย่อมพบเจอได้ไม่ยาก” หญิงชรามองหน้าหนุ่มน้อยที่สวมชุดทหารตรงหน้า คิ้วของทหารผู้นี้ขมวดติดกันราวกับมีเรื่องให้ครุ่นคิด
“ท่านย่า แล้วถ้ามีคนมารุกรานเรา ท่านจะให้พวกเรายอมจำนนอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของบุรุษหนุ่มเต็มไปด้วยความข้องใจ หญิงชรามองหน้าเขาด้วยแววตาเปื้อนยิ้ม
“ยายแก่คนนี้ก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่หวังใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ และหวังเพียงว่าเมืองหลิวผิงจะไม่ต้องทำศึกไปอีกยาวนาน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่รักภูมิลำเนาของตน แต่หากมีทางออกอื่นย่อมดีกว่า เพราะการทำศึกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ ย่อมต้องมีครอบครัวที่ต้องสูญเสียอยู่ดี แต่หากเจรจาด้วยสันติไม่ได้ ชายชาติทหารอย่างเจ้าก็สมควรแล้วที่จะจับดาบยกโล่ เพื่อปกป้องคนข้างหลังและแผ่นดินที่เจ้าอาศัย เพื่อมิให้ผู้ใดมาข่มเหงคนที่อยู่ด้านหลังของเจ้าและแย่งแผ่นดินเกิดของเจ้าไป”
หญิงชรารู้ดีว่าหนุ่มน้อยตรงหน้าของนางหาใช่ทหารผู้ต่ำต้อย เพราะด้วยอายุเพียงเท่านี้ก็สามารถสั่งการทหารคนอื่นได้ ดังนั้นสตรีสูงวัยจึงไม่อยากให้เขาใจร้อนวู่วาม จึงเอ่ยเตือนสติอ้อม ๆ
คำของหญิงชราตรงหน้าทำให้หลิวเลี่ยงลี่เข้าใจแล้วว่าใยบิดาจึงส่งพี่สาวไปแต่งงาน แต่กลับไม่ยอมเปิดศึกกับหลัวหยางโหว หนุ่มน้อยเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในใจที่ใส่อารมณ์กับบิดา จึงขอแม่ทัพลี่หม่าเดินทางกลับมาเมืองหลิวผิงทันที
ณ ที่ว่าการเมืองหลิวผิง
หลิวเลี่ยงลี่กลับมาถึงตัวเมืองหลิวผิงก็ได้ยินข่าวตอบรับงานมงคลของพี่สาว ถึงจะรู้สึกขัดใจแต่เขาก็ต้องยอมรับอย่างจำใจ ครั้นหนุ่มน้อยมาถึงจวนผู้ว่าการเมืองหลิวผิง ก็ถามหาบิดากับผู้ดูแลจวนทันที จึงรู้ว่าบิดาอยู่ที่เรือนนอนของหลิวหลิงลี่
เมื่อหลิวเลี่ยงลี่มาถึงหน้าห้องนอนของหลิวหลิงลี่ เขาก็ยกมือขึ้นหมายจะเคาะประตูเพื่อขออนุญาตคนที่อยู่ข้างใน แต่บังเอิญได้ยินคำพูดของพี่สาวที่คุยกับบิดา เขาจึงยั้งมือเอาไว้แล้วยืนฟังอยู่เงียบ ๆ แม้กระทั่งขณะที่คนทั้งสองร้องไห้กอดกัน เขาก็ได้แต่ยืนขอบตาแดงอยู่ลำพังด้านนอก
ขณะที่ฟังคนด้านในห้องทั้งสองสนทนากัน หลิวเลี่ยงลี่ก็คิดขึ้นมาได้ ‘ในเมื่อท่านพ่อทำหน้าที่เจ้าเมือง ส่วนพี่หญิงก็ทำหน้าที่บุตรีของลูกเจ้าเมือง ข้าซึ่งอนาคตย่อมต้องรับตำแหน่งเจ้าเมืองต่อจากท่านพ่อ ก็สมควรต้องทำหน้าที่ของตนเองได้แล้ว’
ครั้นหลิวเลี่ยงลี่ได้ยินหลิวหลิงลี่พูดถึงตนเอง เขาจึงได้เปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไปหาคนทั้งสองอย่างรวดเร็ว
“เจ้ามาได้อย่างไร ข้าให้แม่ทัพลี่หม่าพาเจ้าไปช่วยชาวบ้านที่ลี้ภัยน้ำท่วมที่อำเภอหาวหนานไม่ใช่หรือ?”
หลิวเลี่ยงลี่เดินเข้าไปยืนต่อหน้าบิดา ก่อนจะคุกเข่าและโขลกศีรษะลงกับพื้น
“ท่านพ่อลูกอกตัญญูพูดจาไม่ไตร่ตรองทำให้ท่านพ่อโมโห ตอนนี้ลูกคิดได้แล้วจึงมาขอขมากับท่าน ขอท่านพ่อโปรดลงโทษลูกด้วย” น้ำเสียงของหนุ่มน้อยหนักแน่น แต่ทว่าบางช่วงกลับสั่นเพราะความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ
หลิวตงถึงจะตกใจต่อการกระทำของบุตรชาย แต่เขารู้สึกภูมิใจที่บัดนี้บุตรชายของเขาโตขึ้นแล้ว เขาลุกจากเก้าอี้ไปจับไหล่ของบุรุษอายุน้อยกว่า พร้อมยกยิ้มให้
“ลุกขึ้นเถิด ลุกขึ้น คิดได้ก็ดี คิดได้ก็ดีแล้ว”
“ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าจะฝึกฝนให้มาก จะเอาอย่างท่านปู่ปกป้องเมืองหลิวผิงและท่านพ่อกับพี่หญิงเอง”
“แต่...” หลิวตงพูดได้คำเดียวก็โดนหลิวหลิงลี่เอ่ยแทรกขึ้นมา
“ท่านพ่อตอนนี้อาลี่16หนาวไม่ถือว่าเด็กแล้ว หลัวหยางโหวตามท่านผู้เฒ่าหลัวโหวออกศึกตั้งแต่14หนาว อายุน้อยกว่าอาลี่เสียอีก ดังนั้นท่านพ่อควรหาท่านแม่ทัพสักคน มาสอนกลยุทธ์การต่อสู้และการศึกให้อาลี่แบบจริงจังเสียที”
“นั่นสิท่านพ่อ ลูกร่างกายแข็งแรงท่านพ่ออย่างได้ห่วงลูกเลย ที่ผ่านมาลูกได้แต่แอบฝึกมาตลอด เพราะไม่มีคำสั่งของท่านพ่อ แม่ทัพเหล่านั้นก็เลยไม่กล้าสอนลูกอย่างจริงจัง เพราะกลัวทำลูกบาดเจ็บแล้วจะถูกท่านพ่อตำหนิ” หลิวเลี่ยงลี่รีบกล่าวเสริมจากพี่สาว
หลิวตงได้แต่ระบายลมหายใจยาวก่อนจะยิ้มให้บุตรทั้งสอง “โตแล้ว บุตรของข้าทั้งสองโตแล้วจริง ๆ ”
หลิวตงใช้มือลูบหัวของบุตรทั้งสองอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ราวกับคนจะร้องไห้
“ถึงเวลาแล้วสินะ ที่พ่อจะต้องปล่อยให้พวกเจ้าได้ใช้ชีวิตของพวกเจ้า ต้องโทษพ่อที่ไร้ความสามารถไม่อาจปูทางเดินนี้ให้พวกเจ้าเดินได้อย่างสบาย”
“ท่านพ่ออย่าได้โทษตัวเองเลย หลังจากท่านปู่เสียไป ท่านก็ได้ปกป้องชาวเมืองและข้าสองพี่น้องมาอย่างดี ทั้งที่ท่านไม่รู้การศึกอีกทั้งร่างกายยังอ่อนแอ แต่ยังเป็นเจ้าเมืองที่ดีมาได้ถึง7ปี ท่านพ่อเก่งมากแล้วเจ้าค่ะ ลูกภูมิใจในตัวท่านพ่อมากจริง ๆ และไม่เสียใจเลยที่เกิดเป็นบุตรีของท่าน” หลิวหลิงลี่กล่าวชมบิดา
“ท่านพ่อ ต่อจากนี้ลูกจะปกป้องท่านบ้าง ยังไงอนาคตลูกก็คือเจ้าเมืองคนต่อไป ไหนเลยจะยอมแพ้ท่านพ่อและท่านปู่ได้” หลิวเลี่ยงลี่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
และแล้วเพียงไม่กี่ลมหายใจหลังจากที่หลงอินกับเผยไจ่เหวินควบม้านำหน้าฟางเซียวไป เสียงอาวุธที่ลอยแหวกอากาศมาก็ดังขึ้นจากด้านหลังของแม่ทัพหนุ่ม ลูกธนูที่เสียดสีกับอากาศพุ่งมาด้วยความเร็วแตกแขนงเป็นสี่สาย ทว่ากลับโดนดาบของฟางเซียวฟาดกระเด็นไปยังทิศทางต่าง ๆ ไม่ถูกเป้าหมายแม้แต่เพียงดอกเดียวเพียงเสียงดาบปะทะกับลูกธนูดังขึ้น เผยไจ่เหวินกับหลงอินก็กระตุกบังเหียนให้ม้าชะลอความเร็วลง จนในที่สุดม้าของทั้งสองคนก็หยุดวิ่งเผยไจ่เหวินหันมามองฟางเซียวด้วยความกังวลว่าบุรุษอายุน้อยกว่าอาจจะได้รับบาดเจ็บ หรืออาจถึงขั้นพ่ายแพ้จนเสียชีวิต เพราะคนที่ติดตามพี่ชายต่างมารดาของเขามานั้น เป็นคนที่ถูกฝึกมาพร้อมกับทหารที่คอยคุ้มกันเจ้าเมืองอันป๋อ ดังนั้นคนที่ติดตามเผยสิงเวยมาจึงมีความสามารถไม่น้อยเลยทีเดียวเมื่อซูเย่หันมาเห็นเผยไจ่เหวินกับหลงอินไม่ควบม้าตามเขามา ชายหนุ่มจึงตะโกนดังสุดเสียง “คุณชายไม่ต้องเป็นห่วงแม่ทัพฟางเซียวหรอก พวกเราไปรอท่านแม่ทัพที่โรงเตี๊ยมด้านหน้ากันเถอะ อย่าอยู่เป็นภาระของท่านแม่ทัพเลย”“แต่ว่า แม่ทัพฟางเซียวคนเดียวจะต้านพี่ใหญ่ได้เช่นไร” เผยไจ่เหวินตอบกลับลูกน้องของตนเองทันควันฟางเซีย
ฟางเซียวรอให้อีกฝ่ายโต้ตอบ ทว่ากลับไร้วี่แวว เขาจึงได้กล่าวต่อ “ในเมื่อเผยฮูหยินส่งคุณชายใหญ่มาดูแลคุณชายรอง เช่นนั้นพวกเราก็เดินทางกลับเมืองอันหยางพร้อมกันเถอะ” เพียงกล่าวจบแม่ทัพอายุน้อยก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ พร้อมเดินตรงไปยังประตูห้อง โดยไม่รอคำตอบจากพี่น้องตระกูลเผยสีหน้าที่เคร่งขรึมของฟางเซียว ทำให้ทุกคนรู้ว่าคำพูดนี้มิใช่ประโยคเชื้อเชิญ ที่จะให้ทุกคนเดินทางไปยังเมืองอันหยางพร้อมกันกับเขา ทว่ามันคือคำสั่งที่ทุกคนต้องทำตามชายฉกรรจ์ที่ยืนขวางประตูห้องอยู่ พอได้เห็นแววตาของฟางเซียว ก็รีบเบี่ยงตัวหนีพร้อมเปิดประตูให้แม่ทัพอายุน้อยเดินออกไปทันทีครั้นแม่ทัพหนุ่มย่างก้าวเท้าเดินพ้นประตูไปยืนอยู่ที่หน้าห้องแล้ว แต่ว่าเขากลับยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้ใดเดินตามออกมา จึงเกรงว่าเผยไจ่เหวินกับพวกพ้อง จะถูกเผยสิงเวยข่มขู่ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าห้องจึงหันหน้ากลับมามองคนที่อยู่ภายในห้อง“พวกท่านพี่น้องจะรอให้ท่านโหวมาเชิญไปเมืองอันหยางอย่างนั้นหรือ? หรือว่าจะให้คนของข้ามาช่วยพาพวกท่านไปกันเล่า”เพียงฟางเซียวกล่าวจบซูเย่ก็รีบสะกิดหลงอินกับเผยไจ่เหวินทันที เพราะเขาเชื่อว่าที่แม่ทัพของหลัวหยางโห
“อย่างนี้นี่เอง แต่ข้าว่าหากเผยฮูหยินกับคุณชายใหญ่เผย เป็นห่วงคุณชายรองเผยจริง ๆ ก็ควรจะอบรมและเข้มงวดกับคุณชายรองเผยให้มากกว่านี้ และหากยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนนิสัยของคุณชายรองได้ ก็ควรจะกักตัวเขาไว้ให้เขาได้สำนึกผิดแล้วค่อยปล่อยเขาออกมาจากจวน มิใช่ให้เงินให้ทองคุณชายรองเผยมาสำเริงสำราญเช่นนี้มิใช่หรือ?” ฟางเซียวใช้น้ำเสียงเชิงตำหนิแม่ทัพหนุ่มรู้อยู่แก่ใจว่าเผยสิงเวยตั้งใจเอ่ยให้เขาคิดว่าเผยไจ่เหวินเป็นคนเจ้าสำราญ เพื่อให้ตนเองได้รับบทพี่ชายที่แสนดี และเผยฮูหยินก็จะได้รับบทเป็นสตรีที่ใจกว้างรักใคร่บุตรของอนุราวกับบุตรของตนเอง เขาจึงตั้งใจพูดออกไปเช่นนี้ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าเขาหาได้เป็นลาโง่ที่จะหลอกได้ง่าย ๆแม่ทัพอายุน้อยพูดจบก็หรี่ตามองหน้าอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าเผยสิงเวยดูท่าจะยังไม่ยอมรับว่าตนกับมารดานั้นหาได้รักใคร่หวังดีกับเผยไจ่เหวินไม่ และยังทำท่าราวกับกำลังหาคำแก้ต่างให้ตนเองดูดี โดยหาได้คิดไม่ว่าผู้อื่นจะรู้ทัน‘คุณชายใหญ่เผยนะ คุณชายใหญ่เผย ท่านกำลังคิดว่าท่านฉลาด หรือท่านกำลังคิดว่าข้าโง่มากกันแน่’ ฟางเซียวเอ่ยในใจ เพราะยังไม่อยากเอ่ยให้อีกฝ่ายได้รู้ตัวมากนัก ว่ายามนี้แ
เมื่อมาถึงประตูหน้าห้องที่เผยไจ่เหวินพักอยู่ คุณชายใหญ่ตระกูลเผยก็ยืนปรับสีหน้าของตนเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะมองไปยังคนที่ตามตนมา แล้วใช้สายตาพร้อมสะบัดหน้าเล็กน้อยสั่งให้ผู้ติดตามเคาะประตูตรงหน้าครั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น คนที่นั่งอยู่ภายในห้องก็หันไปยังประตูห้องเป็นสายตาเดียวกัน“เจ้าเป็นใคร มีเรื่องอันใดถึงมารบกวนพวกข้า” หลงอินเป็นผู้เอ่ยถาม“น้องรอง ข้าเอง” เผยสิงเวยเอ่ยเสียงราบเรียบนิ่งสงบ เหมือนปกติที่เคยพูดกับน้องชายต่างมารดาเพียงคนด้านในได้ยินเสียงก็รู้ทันทีว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นผู้ใด สีหน้าของเผยไจ่เหวิน ซูเย่ หลงอินแทบไม่ต่างกัน พวกเขาทั้งตกใจทั้งกังวลที่อยู่ดี ๆ เผยสิงเวยก็หาพวกเขาเจอครั้นฟางเซียวที่ก่อนหน้านี้นั่งสนทนาอยู่กับเผยไจ่เหวิน ได้เห็นสีหน้าของคนทั้งสาม บวกกับคำแทนตนเองของคนข้างนอก ก็พอจะทำให้ฟางเซียวเดาได้ว่า บุรุษที่มาเยือนนั้นเป็นใคร และเหตุใดคนทั้งสามจึงมีสีหน้าเช่นนี้‘ช่างมาได้จังหวะเสียจริง’ แม่ทัพหนุ่มยกยิ้มขณะที่คิดในใจจากที่ฟางเซียวได้พูดคุยกับซูเย่ก่อนที่จะมาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ ทำให้เขารู้ว่าการมาของเผยสิงเวยในครั้งนี้ คงไม่ได้มาดีเป็นแน่ และด้วย
หลัวหยางโหวจัดการเช็ดตัวให้หลิวหลิงลี่เสร็จแล้ว ก็จัดแจงตนเองก่อนจะเดินออกมาจากห้อง แล้วปล่อยให้หญิงสาวได้พักผ่อนสักพักก่อนจะออกเดินทางกลับเมืองอันหยางเพียงหลัวหยางโหวเดินออกมานอกห้องได้เพียงครู่เดียว ชายหนุ่มที่นอนอยู่ในห้องถัดจากห้องเดิมของชายขับเกวียนก็เดินออกมาจากห้อง เพราะเขาได้ยินเสียงเปิดประตูจากห้องของผู้เป็นนายจึงได้เดินออกมาดูหลัวหยางโหวหันใบหน้าไปยังประตูห้องที่เปิดออกมาเล็กน้อย พร้อมกับใช้หางตามองคนที่เดินออกมาจากห้อง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด ชายหนุ่มก็หันหน้ากลับมาที่เดิมพร้อมมองลงไปยังชั้นล่างของโรงเตี๊ยม ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่ตนเองได้สั่งแม่ทัพอายุน้อยไว้ก่อนหน้านี้แม่ทัพฟางเซียวเล่าเรื่องทุกอย่างที่ได้ยินมาจากปากของชายเจ้าของรถม้าทั้งสองให้หลัวหยางโหวฟังอย่างละเอียด ครั้นบุรุษหนุ่มเจ้าเมืองอันหยางรู้ว่าเป็นคนที่จางอ้ายเหลียนสาวรับใช้ข้างกายของมารดาส่งมาก็ประหลาดใจไม่น้อย แต่เพียงไม่กี่ลมหายใจความแปลกใจนั้นก็หายไป เมื่อชายหนุ่มคิดขึ้นมาได้ว่า มารดาของเขาหาใช่สตรีทั่วไปไม่ ไม่เช่นนั้นก็คงคุมขุนนาง และดูแลเมืองอันหยางในช่วงที่บ้านเมืองกำลังระส่ำระสาย ให้กลับมาอยู่ในสภาพปก
หลัวหยางโหวดึงนิ้วมือของตนเองที่มีน้ำใส ๆ เคลือบอยู่ออกจากช่องทางรัก ก่อนจะแทรกแท่งเอ็นร้อนเข้าไปแทนที่ แก่นกลางกายของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวรู้สึกอึดอัด“อืม….”หลิวหลิงลี่ครางออกมาเบา ๆ ก่อนจะใช้มือยันหน้าท้องแข็งเป็นลอนของเขาเอาไว้ ทว่านางหาได้จะขัดขืนไม่ นางเพียงรู้สึกเจ็บปนจุกจึงอยากให้เขาค่อย ๆ ดันของสงวนอันใหญ่โตเข้ามาอย่างช้า ๆบุรุษหนุ่มกัดฟันแน่นเพื่อข่มความปรารถนาเอาไว้ แล้วค่อย ๆ ขยับสะโพกส่งแท่งเอ็นของเขาเข้าไปในโพรงรักของหญิงสาว เพื่อไม่ให้นางรู้สึกเจ็บจุกมากจนเกินไปนักปากบางเม้นเข้าหากันแน่นจนกลายเป็นสีซีดด้วยขนาดที่ใหญ่โตของเขา หลัวหยางโหวไม่คิดเร่งรีบจนทำให้หญิงสาวใต้ร่างต้องรู้สึกเจ็บ เขาอดทนรอกระทั่งหญิงสาวเริ่มปรับตัวได้ แล้วจึงค่อย ๆ ขยับเข้าออกช่องทางรักไปมาอย่างช้า ๆ ไม่นานจังหวะการขับเคลื่อนก็เพิ่มความเร็วขึ้น สะโพกของชายหนุ่มกระแทกเข้าหาคนใต้ร่างจนนางหลุดเสียงร้องครวญครางออกมาหลิวหลิงลี่เปล่งเสียงครางออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงครางหวานของนางเพิ่มแรงฮึกเหิมให้กับชายหนุ่มมากกว่าเดิม เขาดึงความใหญ่โตออกมาจนเกือบจะหลุดจากความคับแน่น จากนั้นจึงกระแทกตอกย้ำเข้าไปจนสุ