หลิวตงโผเข้ากอดบุตรสาวด้วยความรู้สึกผิด น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลออกมาเป็นสาย หลิวหลิงลี่เองก็ไม่ต่างกัน น้ำใส ๆ ไหลเป็นทางอาบแก้ม สองพ่อลูกกอดกันร่ำไห้ หลิวตงถึงจะเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก แต่ทว่ากลับไม่รู้สึกสบายใจเลยแม้แต่น้อย เขาใช้มือปาดน้ำตาของตนเองก่อนจะผละบุตรสาวออก แล้วเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของบุตรีอย่างเบามือ
“ลี่เอ๋อร์พ่อต้องขอโทษเจ้าด้วย ที่จำต้องส่งเจ้าไปแต่งงานยังเมืองอันหยางกับคนสกุลหลัว หลัวหยางโหว”
“ไยต้องขอโทษลูกด้วย ลูกต้องขอบคุณท่านพ่อด้วยซ้ำที่ให้ลูกได้แต่งกับหลัวหยางโหว ถึงลูกจะอยู่แต่ในจวน แต่ข่าวที่บุรุษผู้นี้ได้กระทำเป็นที่กล่าวขานไปทั่ว จนลูกเองก็เคยได้ยินข่าวของเขามาไม่น้อย”
ตั้งแต่หลิวหลิงลี่ถึงวัยปักปิ่นนางก็เก็บตัวอยู่แต่ในจวนเจ้าเมืองมาตลอด เพราะการออกจากจวนไปให้ผู้คนได้เห็นจนเป็นที่ร่ำลือถึงความงามของนาง ทำให้บิดาต้องปฏิเสธการสู่ขอหลายครั้ง บางคนก็ยอมรับในคำปฏิเสธได้ แต่บางคนก็แสดงออกชัดว่าไม่พอใจ หลายปีนี้นางจึงไม่ย่างเท้าออกจากจวนไปไหนเลย เพื่อจะได้ไม่ทำให้บิดาของนางต้องลำบากใจ
“แต่เจ้าก็รู้ดีว่าแต่ก่อนตระกูลหลิวกับตระกูลหลัวเคยเปิดศึกกันหลายครั้ง ปู่ของเขาฆ่าท่านลุงของเจ้า ต่อมาปู่ของเจ้าก็ได้ฆ่าปู่ของเขาเช่นกัน และศึกครั้งสุดท้ายท่านปู่ของเจ้ายังฆ่าบิดาของเขาอีก มิหนำซ้ำหลังจากฆ่าบิดาของเขาท่านปู่ของเจ้าก็ยังไล่ตามหมายจะฆ่าเขาอีก แต่หลัวหยางผู้นี้ยังโชคดีที่มีแม่ทัพใจกล้า ฝ่าวงล้อมมาช่วยจนหนีเข้าเมืองไปได้ หากท่านปู่ของเจ้าไม่เจ็บหนักจนถึงขั้นต้องรักษาตัวอยู่หลายวัน จนทัพจากเมืองเฉินมาถึงและช่วยหลัวหยางโหวต้านทัพท่านปู่ไว้ได้ ป่านี้หลัวหยางโหวคงตายไปในสงครามครั้งนั้นแล้ว ถึงบัดนี้สงครามนั้นจะผ่านมา7ปีแล้ว แต่ก็หารู้ใจเขาได้ไม่ว่าคิดแค้นสกุลเรามากเพียงใด”
“ท่านพ่ออย่าได้กังวล ในเมื่อวันนี้เขาตอบรับ ก็แสดงให้เห็นว่า เขาปล่อยวางความแค้นได้แล้วระดับหนึ่ง”
“คนที่ตอบรับหาใช่หลัวหยางโหวไม่ แต่เป็นมารดาของเขาหลัวฮูหยินที่ตอบรับกลับมา นั่นเพราะตอนที่ท่านทูตไปถึงเมืองอันหยาง หลัวหยางโหวได้ออกเดินทางไปปราบโจรกบฏแล้ว ทูตที่ส่งไปจึงได้สนทนากับหลัวฮูหยินแทน”
“ถ้าอย่างนั้นท่านพ่อก็ยิ่งไม่ต้องเป็นกังวล ลูกได้ข่าวว่าหลัวฮูหยินจิตใจกว้างขวาง มีเมตตา และรักษาคำพูด ในเมื่อหลัวฮูหยินตอบรับงานมงคลนี้ ก็ย่อมอยากประสานความสัมพันธ์อันดีของเราสองตระกูลเป็นแน่” หลิวหลิงลี่เอ่ยให้บิดาคลายกังวล ถึงจะไม่รู้ว่าความจริงแล้วที่หลัวฮูหยินตอบตกลงมานั้นมีเจตนาอันใดแอบแฝงอยู่ก็ตาม
“แต่บุตรชายของเขา..” ถึงจะได้ยินบุตรีเอ่ยปลอบ แต่หลิวตงก็ไม่อาจวางใจได้
“ท่านพ่ออย่าได้กังวลไป ตราบใดที่หลัวฮูหยินยังอยู่ บุตรชายของเขาย่อมไม่กล้าทำอันใดให้หลัวฮูหยินต้องเสียสัจจะ และข้าเชื่อว่าหลัวฮูหยินจะต้องมีอายุยืนยาว ดังนั้นนี่ก็จะกลายเป็นโอกาสของเรา ท่านพ่อตอนนี้อาลี่ก็โตมากแล้ว และชอบการต่อสู้ หลังจากนี้พวกเราควรปรับปรุงการทหารเสียใหม่ได้แล้ว เผื่อวันหน้าหากลูกไม่สามารถทำให้หลัวหยางโหวรักลูกได้ และยิ่งหากไม่สามารถละลายความแค้นระหว่างสองสกุลลงได้ อย่างน้อยเราก็ยังพอปกป้องตัวเองได้บ้าง”
“แต่เจ้าก็รู้ว่าพ่อ” น้ำเสียงของหลิวตงเจือไปด้วยความละอายใจ เพราะเขานั้นรู้ตัวดีว่าไม่มีความสามารถทางด้านการทหาร
หลิวตงยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยจบ ประตูที่ปิดอยู่ก็เปิดออก หนุ่มน้อยวัย15หนาวเดินเข้ามาในห้อง ถึงร่างกายจะไม่กำยำล่ำสันแต่ก็ไม่ดูอ่อนแอ่ปวกเปียก หน้าตาที่เนียนใสบวกกับรูปหน้าที่ได้รูป ทำให้เขากลายเป็นหนุ่มน้อยรูปงามคนหนึ่งทีเดียว
หลิวตงและหลิวหลิงลี่หันไปมองหนุ่มน้อยที่เปิดประตูเข้ามา คนทั้งสองไม่รู้เลยว่านานเท่าใดแล้ว ที่บุรุษอายุน้อยมาแอบฟังคนทั้งสองคุยกัน
“เจ้ามาได้อย่างไร ข้าให้แม่ทัพลี่หม่าพาเจ้าไปช่วยชาวบ้านที่ลี้ภัยน้ำท่วมที่อำเภอหาวหนานไม่ใช่หรือ?” บุรุษวัยกลางคนเอ่ยถามบุตรชาย
ตั้งแต่ที่พวกขุนนางเหล่านั้นร่วมกันกดดันให้หลิวตงส่งทูตไปเจรจา แม่ทัพที่อยู่ในที่ประชุม5คนก็คัดค้านไม่เห็นด้วยที่จะให้ส่งหลิวหลิงลี่ไปเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ถึงไม่ได้สู้รบกับกองทัพใหญ่มานาน แต่อย่างไรพวกเขาก็เคยร่วมทัพกับอดีตเจ้าเมืองสู้ศึกกับตระกูลหลัวมาหลายครั้ง ไหนเลยแม่ทัพทั้ง5จะยอมใช้สตรีเพื่อหลบหลีกศึกให้เสียเกียรติ
แต่ทว่าแม่ทัพทั้ง5ก็ไม่อาจคัดค้านเสียงขุนนางที่มากกว่าได้ เหล่าแม่ทัพหัวเสียจึงมาดื่มสุราและตั้งวงสนทนากัน หลิวเลี่ยงลี่ที่ชอบไปคลุกคลีกับเหล่าทหารจึงได้ยินเข้า จึงมาเล่าให้หลิวหลิงลี่ฟัง หวังว่าจะให้นางไปพูดกับบิดา เพื่อให้บิดาเปลี่ยนใจ แต่พี่สาวกลับปฏิเสธ หลิวเลี่ยงลี่เลยไปพูดกับบิดาด้วยตนเอง
แต่การพูดคุยด้วยอารมณ์ระหว่างบิดาและบุตรชาย ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น คำบางคำที่เป็นแผลใจของผู้เป็นบิดา เมื่อถูกบุตรชายกล่าวออกมา ย่อมสร้างความเดือดดาลให้กับบิดาเป็นธรรมดา หลิวตงจึงสั่งให้หลิวเลี่ยงลี่ไปช่วยชาวบ้านที่กำลังลี้ภัย
หลิวเลี่ยงลี่ที่โดนบิดาและพี่สาวตามใจมาตั้งแต่เด็ก เมื่อโดนผู้เป็นบิดาตวาดใส่แถมโดนไล่มีหรือจะไม่รู้สึกโกรธ แต่ก็ยอมไปเพราะเป็นคำสั่งของเจ้าเมือง แต่ครั้นได้ไปช่วยชาวบ้านครั้งนี้ ทำให้เขาได้เข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นบิดาและภาระหน้าที่ของผู้เป็นเจ้าเมืองมากยิ่งขึ้น
5วันก่อน ณ อำเภอหาวหนาน
เมื่อหลิวเลี่ยงลี่และเหล่าทหารนำเสบียงสำหรับผู้ลี้ภัยมาถึง หลิวเลี่ยงลี่ก็นั่งเกวียนขนเสบียงนำอาหารไปแจกให้ผู้อพยพที่เดินทางมาไม่ถึงตัวอำเภอ เมื่อเขามองไปเห็นหญิงชรากับเด็กสาวอายุราวเจ็ดแปดหนาวนั่งพักอยู่ท้ายแถวขบวน จึงสั่งให้คนขับเกวียนเข้าไปใกล้ ๆ สตรีทั้งสอง ก่อนที่หลิวเลี่ยงลี่จะลงเดินเข้าไปหาและพาสตรีทั้งสองมานั่งเกวียนด้วยกัน
ครั้นขึ้นเกวียนมาแล้วหลิวเลี่ยงลี่ก็ได้เอ่ยชวนหญิงชราพูดคุยระหว่างทาง
“ท่านย่า ท่านอยู่กับหลานเพียงสองคนอย่างนั้นหรือ?”
ห่าวซวนเพียงแค่เห็นผู้เป็นนายแบกหญิงสาวขึ้นบ่ามุ่งหน้าเดินไปยังเรือนใหญ่ ก็จินตนาการได้ทันทีว่าค่ำคืนนี้สตรีจากเมืองหลิวผิงจะมีชะตากรรมเช่นไร และเขาเองจะต้องทรมานมากเพียงใดที่ต้องมาทนฟังเสียงลามกเหล่านั้นตลอดทางเดินหลิวหลิงลี่ทั้งทุบตีทั้งด่าว่าหลัวหยางโหวมาตลอดทาง ทว่ายามนี้ชายหนุ่มเจ้าของจวนถูกโทสะเข้าครอบงำ เขาจึงไม่สนคำด่าทอจากหญิงสาวเลยสักนิด ในใจของเขามีเพียงอยากสั่งสอนให้นางหลาบจำ ว่าในหัวของหญิงสาวมิควรคิดเรื่องเช่นนี้อีกหลิวหลิงลี่ทุบจนมือของนางระบม ก็ไม่อาจทำให้บุรุษวางนางลงดี ๆ ได้ ถึงนางจะรู้ว่าบทลงโทษในครั้งนี้นั้นก็เพียงกลายเป็นที่ระบายความใคร่ของเขาเท่านั้น แต่ทว่าใจของนางในยามนี้ มิยินยอมที่จะโดนเขาลงโทษเช่นนี้เพียงปิดประตูห้องนอนได้บุรุษหนุ่มก็ไม่รอช้าพาหญิงสาวลงไปวางบนเตียงนอนทันที ก่อนจะปลดเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนเองออก บุรุษหนุ่มฉีกทึ้งเสื้อสีขาวตัวในของตนเองออก เปิดเผยเรือนกายกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสมกับที่ฝึกฝนทักษะการต่อสู้มาตั้งแต่เยาว์วัย“ข้าไม่ต้องการให้ท่านโหวมาสั่งสอน เพราะฉะนั้นคืนนี้ข้าจะกลับไปนอนที่เรือนตะวันตก” หลิวหลิงลี่เอ่ยจบก็ลงจากเตียงทันทีทว่าขา
จวนหลัวโหวครั้นมาถึงที่จวนหลิวหลิงลี่ก็รีบออกมาจากรถม้าโดยที่ไม่คิดรอให้หลัวหยางโหวเดินออกมาก่อน เพียงเท้าทั้งสองข้างถึงพื้นหญิงสาวก็รีบเดินเข้าจวนทันทีแต่มีหรือบุรุษเจ้าของจวนจะยอมปล่อยนางไปง่าย ๆ เพียงเดินผ่านประตูจวนเข้ามาได้ไม่ถึงสิบก้าว บุรุษหนุ่มยื่นมือไปคว้าแขนของหญิงสาวเอาไว้“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย ว่าเจ้าจะให้ข้าส่งจดหมายไปตำหนิบิดาของเจ้า หรือส่งเจ้ากลับไปดี”“ท่านโหวรีบร้อนถึงเพียงนี้เลยหรือเจ้าคะ ข้ารู้ว่าท่านอยากจัดการข้าให้พ้นจากตำแหน่งนายหญิงตระกูลหลัว เพื่อให้คุณหนูไป๋มาแทนที่ แต่ท่านโหวอดทนหน่อยได้หรือไม่ ขอเวลาข้าอีกสักหน่อย ข้าจะไปเอง มิอยู่ให้ท่านโหวต้องรำคาญใจหรอกเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขอบตาแดงก่ำ ยามนี้หญิงสาวแยกไม่ออกว่านางกำลังเสียใจ ทุกข์ใจ คับแค้นใจ น้อยใจ หรือว่ากำลังเมากันแน่ในชั่วขณะที่ได้ยินว่าสักวันหลิวหลิงลี่จะไปจากเขา ผู้ชายร่างสูงอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกใจหาย ความเจ็บปวดแทรกซึมเข้ามาภายในใจ แทนที่เขาจะรู้สึกยินดีที่จะส่งหลานสาวของศัตรูกลับเมืองไปได้ แต่เขากลับหาเศษเสี้ยวแห่งความดีใจที่มีอยู่ในตัวเขาเองไม่ได้เลยเมื่อตั้งสติได้เขาก
“เมืองหลิวผิงของเจ้าอบรมสั่งสอนบุตรีได้ใจกว้างยิ่งนัก เปิดโลกให้ข้าได้ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เรื่องสตรีทำการค้าข้ายังพอเข้าใจได้ ส่วนเรื่องคบหาบุรุษเป็นสหายก็มิใช่ว่าข้าจะใจแคบไม่ยอมรับ ทว่าเรื่องที่เจ้ามาดื่มสุรากับบุรุษอื่นทั้งที่แต่งงานแล้ว มิทราบว่าบิดาของเจ้ามิเคยบอกหรือว่าไม่เหมาะสม หรือว่าบิดาของเจ้ารับเรื่องนี้ได้” หลัวหยางโหวหยุดเอ่ยมองใบหน้าขึ้นสีด้วยความโกรธของหลิวหลิงลี่อย่างพอใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ“แต่ทว่าข้ามิอาจให้ตระกูลหลัวของข้าถูกผู้ใดเอาไปซุบซิบนินทาได้ว่า นายหญิงแห่งจวนหลัวโหวทำตัวไร้ยางอายดื่มสุรากับบุรุษอื่น อีกทั้งยังพูดคุยกันอย่างไม่สนใจระยะห่างชายหญิงเช่นนี้” คนตัวสูงพูดด้วยน้ำเสียงแดกดันคำพูดของหลัวหยางโหวทำเอาคนฟังใบหน้าร้อนวูบ เพราะที่บุรุษตัวสูงเอ่ยหาใช่ด่าเพียงนางไม่ แต่ทว่ากลับด่าไปถึงบิดาของนาง ความโกรธทำเอาหลิวหลิงลี่ถึงกับนึกคำพูดตอกกลับชายหนุ่มปากร้ายไม่ออก นางได้แต่กำมือทั้งสองข้างแน่นพร้อมใช้สายตาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ ในขณะที่สตรีจากเมืองหลิวผิงกำลังคิดหาคำพูดอยู่นั้น นางก็โดนหลัวหยางโหวจิกกัดอีกครา“ดูท่าแล้วข่าวที่ข้าได้มาจะผิดพลาด ข้าได้ยินว่าเ
หลิวหลิงลี่กับสวีจิ้งมู่นั่งดื่มกินกันตามปกติ เสมือนกับไม่รู้ว่าหลัวหยางโหวกำลังจะเดินมาหา ส่วนเสี่ยวหลี่ที่เริ่มมึนเมาได้ที่แล้ว ก็มิได้สนใจว่าคนร่วมโต๊ะกำลังเอ่ยเรื่องอันใดกันอยู่ นางมีความสุขอยู่กับการนั่งฟังเสียงดนตรีที่กำลังบรรเลงมีเพียงจงเอ่าที่นั่งหน้าซีดเหงื่อผุดออกมาราวฝนพรำ แม้หลิวหลิงลี่จะบอกแล้วว่าไม่ต้องกังวล แต่ไหนเลยสตรีที่ผ่านการแต่งงานอย่างนางจะไม่กังวลได้ เพราะอารมณ์หึงหวงผสานกับความรักศักดิ์ศรีของบุรุษนั้น อาจพลั้งมือฆ่าคนตายได้เลยทีเดียว ยิ่งเป็นหลัวหยางโหวที่ขึ้นชื่อเรื่องแค้นฝังใจ และโหดเหี้ยมไร้ปรานีต่อศัตรูอยู่แล้ว ยิ่งทำให้สตรีที่อายุมากที่สุดในโต๊ะกระวนกระวายใจจนไม่สามารถเก็บอาการเอาไว้ได้เพียงหลัวหยางโหวเดินผ่านฉากบังลมเข้ามาก็พบคนทั้งสี่นั่งล้อมโต๊ะกินอาหารดื่มสุรากันอยู่ หลัวหยางโหวถึงกับกัดฟันกรอดจนเส้นเลือดตรงขมับปูดนูน มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น เมื่อเห็นสตรีของตนยิ้มให้บุรุษอื่นต่อหน้าต่อตา หลัวหยางโหวจ้องมองบุรุษแปลกหน้าด้วยสายตาหมายจะเอาชีวิตเมื่อแม่ทัพทั้งสองที่ตามมาเห็นสีหน้าของหลัวหยางโหวในเสี้ยวนาทีที่เจอหลิวหลิงลี่อยู่กับบุรุษอื่น ฟางเซียวกับห่
ผู้ที่ติดตามหลิวหลิงลี่หลังออกมาจากภัตตาคารหมู่ตานได้ ก็รีบตรงไปยังที่ว่าการเมืองทันที ทว่าโชคดีที่เขานั้นได้พบกับแม่ทัพฟางเซียวระหว่างทาง จึงได้รายงานเรื่องนี้ให้แม่ทัพอายุน้อยได้ทราบ“มีเรื่องอันใดกันไยต้องกระซิบ หรือว่าเป็นเรื่องที่ข้าไม่ควรรู้” หลัวหยางเอ่ยถามเมื่อจำได้ว่าบุรุษที่มาเป็นคนติดตามหลิวหลิงลี่ถึงคนที่ติดตามหลิวหลิงลี่จะได้ยินคำถาม และเห็นสายตารอคอยคำตอบจากหลัวหยางโหว ทว่าเขาที่เป็นบุรุษที่มีภรรยาแล้ว ไหนเลยจะไม่รู้ว่าหากเอ่ยเรื่องนี้ออกไป บุรุษหนุ่มเจ้าของจวนหลัวจะเป็นเช่นไร ถึงความสัมพันธ์ของหลัวหยางโหวกับหลิวหลิงลี่ยังไม่แน่ชัดนัก ทว่าผู้ชายทุกคนล้วนไม่มีทางพอใจที่สตรีของตนพูดคุยกับบุรุษอื่นอย่างแน่นอน คนติดตามหลิวหลิงลี่จึงไม่กล้าพอที่จะตอบคำถามนี้“ท่านโหวคิดมากไปแล้ว เขาเพียงมารายงานว่าวันนี้นายหญิงได้ไปชิมอาหารที่ภัตตาคารหมู่ตาน แล้วเจอกับบุรุษที่ดูท่าทางจะรู้จักกันมาก่อน อีกทั้งนายหญิงยังชวนให้เขานั่งพูดคุยดื่มกินที่โต๊ะของนายหญิงอีกด้วย” ฟางเซียวเอ่ยตอบผู้เป็นนายตรงไปตรงมาตามที่คนติดตามเอ่ย เพราะเห็นว่าผู้ที่ติดตามหลิวหลิงลี่ยืนนิ่งไม่กล้าตอบทว่าเพียงบุรุษเจ้
“คุณชายสวีมิต้องทำเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ” จงเอ่าเอ่ยขึ้นเมื่อบุรุษเริ่มรินสุราให้นาง“ไม่เป็นไร ในเมื่อคุณหนูหลิวเห็นพวกเจ้าเป็นคนสำคัญ ข้าในฐานะที่อยากคบหานางเป็นสหาย ก็ย่อมต้องให้เกียรติพวกเจ้าเช่นกัน” สวีจิ้งมู่เอ่ยพลางรินสุราให้สาวรับใช้ทั้งสองเมื่อหลิวหลิงลี่ได้ยินคำพูดของสวีจิ้งมู่ก็ยกยิ้มให้บุรุษตรงหน้า “เหตุใดคุณชายสวีอยากเป็นสหายกับข้าอย่างนั้นหรือ?” หญิงสาวเอ่ยถามพร้อมหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างจับผิดบุรุษที่ถูกถามหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นสายตาที่สตรีตรงหน้ามองมา “คุณหนูหลิวอย่าได้คิดมากไป ข้ามิได้คิดไม่ดีกับท่าน ข้าเพียงเห็นว่าท่านเป็นสตรีที่ไม่เหมือนใคร ใจกว้าง มีเมตตา และที่สำคัญคือไม่ถือตัว ข้าจึงอยากคบหาเป็นสหายก็เท่านั้น”“มิใช่ว่าเจ้าอยากใช้ข้าเป็นเครื่องมือจัดการท่านโหวอย่างนั้นหรือ?” หลิวหลิงลี่มิคิดอ้อมค้อมให้เสียเวลา“ในเมื่อคุณหนูหลิวเปิดใจพูดตรง ๆ ข้าก็ไม่คิดปิดบัง จริงอยู่ที่ข้าคิดอยากให้ท่านช่วยจัดการหลัวหยางโหว เพราะข้าคิดว่าท่านกับข้าล้วนมีศัตรูคนเดียวกัน ทว่าหากท่านไม่คิดร่วมมือข้าก็ไม่คิดบังคับ ส่วนเรื่องที่ข้าอยากเป็นสหายกับท่านนั้นก็เป็นความต้องการของข้าจริง ๆ