หนิงซินกงจู่ เชลยแค้นแสนรัก

หนิงซินกงจู่ เชลยแค้นแสนรัก

last updateآخر تحديث : 2025-09-25
بواسطة:  Karawek Houseمستمر
لغة: Thai
goodnovel18goodnovel
لا يكفي التصنيفات
115فصول
459وجهات النظر
قراءة
أضف إلى المكتبة

مشاركة:  

تقرير
ملخص
كتالوج
امسح الكود للقراءة على التطبيق

จากองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่ง ตกเป็นนางบำเรอของแม่ทัพที่โหดเหี้ยมต่ำช้า หนิงซิน องค์หญิงองค์รองของแคว้นป๋าย ต้องทุกข์ระทม หลั่งน้ำตาดุจธาราในหน้าฝน ในแต่ละวันถูกกระทำย่ำยีเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน แม้สิ้นสติไปแล้ว บุรุษต่ำช้าที่ใต้หล้าครั่นคร้าม ก็ยังไม่ยอมรามือ ข่มเหงรังแกนางอย่างไม่ปรานีปราศรัย ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความสงสารเห็นใจสักนิด จากสูงส่งเสียดฟ้า กลายเป็นดอกหญ้าให้คนย่ำเล่น หนิงซินที่ตกเป็น 'เชลย' ในมือศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด จะเอาตัวรอดอย่างไรไหว...

عرض المزيد

الفصل الأول

บทนำ

ยามจื่อ[1]วันนี้ ท้องฟ้าหม่นครึ้มถูกย้อมจนแดงฉานด้วยเปลวเพลิง รอบข้างแว่วเสียงร่ำไห้ผสานเสียงไฟผลาญไม้ลั่นเปรี๊ยะๆ เสียดแก้วหู ต่อให้ปิดตาฟังก็ยังรู้ว่าเป็นคืนแสนวิปริต

เลี่ยงจินอู่...หนึ่งในเมืองป้อมปราการสำคัญก่อนเข้าสู่เขตเมืองหลวงแคว้นป๋าย ครั้งหนึ่งเคยงดงามด้วยอาคารบ้านช่องจากอิฐ ดิน และไม้เนื้อขาว ดูสะอาดสะอ้าน ตามรายทางพื้นถนนหินตัดและสะพานขาวพิสุทธิ์เคยเปล่งประกายด้วยโคมไฟสีขาวและธงปักไหมทองวิจิตรบรรจง เปี่ยมกลิ่นอายมงคล ยามนี้มองไปทางทิศใดกลับเห็นเพียงซากปรักหักพังเปรอะคราบเขม่าควัน เพราะน้ำมือกองทัพชุดเกราะเกล็ด[2]ดำทมิฬเรือนแสนจากเฮยเซ่อเย่ว์

ท่ามกลางเปลวไฟและควัน หนิงซิน ธิดาองค์เล็กผู้โด่งดังและเป็นที่โปรดปรานของป๋ายอ๋อง ผู้ครองแคว้นป๋าย ก้าวขาลงจากรถม้าอย่างมั่นคงและงามสง่า เดินผ่านเหล่าข้ารับใช้ที่ทำหน้าราวกับคนตกน้ำใกล้ขาดใจ มุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวเกรง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเบื้องหน้ามีสิ่งใดรออยู่

“ผู้ใดรนหาที่ตาย...” เสียงแหบแห้งเหี้ยมเกรียมที่ดังขึ้นต้อนรับ อาจทำให้นางกำนัลและทหารองครักษ์จำนวนเท่าหยิบมือของนางสั่นกลัว แต่นางไม่

“ท่านก็คือแม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ที่ ‘รบพันลี้ไม่มีล้า’ ผู้นั้นกระมัง...ข้ามาแล้ว ชีวิตของข้าใช่หรือไม่ ที่พวกท่านเฮยเซ่อเย่ว์ต้องการ” นางถาม ดวงตาฉ่ำน้ำฉายแววแกร่งกร้าว ไม่กลัวตาย “ในเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ก็อย่าได้ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ต่อไปอีกเลย สั่งให้คนของท่านหยุดมือเสีย การทำให้เมืองอันงดงามเมืองหนึ่งต้องกลายเป็นซากปรักหักพังเช่นนี้ นอกจากความเพลิดเพลินแล้วก็หาประโยชน์อันใดมิได้กระมัง เพียงเพื่อให้ได้ตัดหัวองค์หญิงแพศยาชั่วช้าผู้เดียว เหตุใดพวกท่านกองทัพทมิฬอันเลื่องชื่อ ต้องลดตัวมากระทำเรื่องยุ่งยากเกินจำเป็นถึงเพียงนี้”

“เจ้านั่งรถม้าเล็กๆ นั่น ลอบออกจากเมืองหลวงมาถึงนี่ เพราะอยากให้พวกเราเฮยเซ่อเย่ว์ยุติการโจมตี?” เขาถาม

แม้ศีรษะขององค์หญิงผู้หนึ่งจะสูงส่ง...โดยเฉพาะยิ่งแล้วเมื่อนางเป็นถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่สักการะบูชาของแว่นแคว้นที่เป็นดั่งศูนย์กลางของนิกายแสงสว่าง นิกายซึ่งผู้คนให้การยอมรับนับถือมากที่สุดในใต้หล้า... หนิงซิน ละวางสถานะทั้งปวง ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ตอบรับคำกล่าวนั้น

ที่นางต้องการมากที่สุดในยามนี้ คือยุติเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เพราะนาง แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต นางก็พร้อมเต็มใจยอมรับคำพิพากษานี้ ถึงแม้ว่าตั้งแต่ต้นจวบจนบัดนี้ นางก็ยังไม่รู้เลย ว่าตนเองได้กระทำสิ่งใดผิดพลาดไปกันแน่

“ไม่” แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ประกาศเสียงแข็ง “ผู้ชนะลิขิตชะตาผู้แพ้พ่าย เรื่องนี้ล้วนถูกต้องตามทำนองคลองธรรม”

หนิงซินกำมือแน่นจนเล็บจิกเนื้อ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่ช่วยให้นางยังคงประคองสติสัมปชัญญะอยู่ได้

ท่ามกลางบรรยากาศชวนอึดอัดและทุกสายตาที่จับจ้อง ม้าตัวเขื่องสีดำมะเมื่อมแววตาน่าขนลุก ค่อยๆ เยื้องย่าง พาร่างที่ดูราวสูงใหญ่กว่าแปดฉื่อ[3]ในชุดเกราะเกร็ดเหล็กกล้ารมดำ แหวกกองทัพนักรบบนหลังม้าหน้าตาดุดันออกมาหยุดยืนเบื้องหน้านาง ลมหายใจฟืดฟาดที่ม้าศึกพ่นใส่ ทำเอา หนิงซินตัวแข็งทื่อเพราะความกลัว

หนิงซินจ้องลึกลงในดวงตาพยัคฆ์คู่คม พยายามค้นหาเศษเสี้ยวความเมตตาและความดีงามข้างในนั้น กลับพบเพียงแววตามืดทะมึนสุดประมาณ และความเย็นเยียบดุจเหมันต์ไร้ที่สิ้นสุด

นี่คงจะเป็น...แม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์กระมัง...

เพียงเข้าใกล้ก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นของความตาย อีกทั้งทั่วทั้งร่างยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายอัปมงคลชวนอึดอัดกดดันเช่นนี้...ต่อให้ไม่มีใครบอก นางก็พอจะเดาได้ไม่ยาก

สิ่งที่คาดเดาได้นี้ ทำให้นางยิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน

อันที่จริงนางแทบไม่กล้าหายใจแล้วด้วยซ้ำ

แม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์จ้องนางราวกับมองสัตว์เล็กๆ ไร้ค่าตัวหนึ่ง

เขาถามเสียงเย็น “เพียงแค่ปรากฏตัว พูดจาไม่กี่คำ ก็คิดว่าสามารถสั่งให้พวกเรากองทัพทมิฬอันเลื่องชื่อของสมรภูมิทมิฬ[4] หยุดกระทำเรื่องที่พวกเราเดินทัพมาเพื่อกระทำ เจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ใด”

“ดังที่พวกท่านรู้...ถูกแล้ว ย่อมต้องรู้ ข้าคือหนิงซินกงจู่[5] ธิดาในอิ๋งอ๋องแคว้นป๋าย เจ้าของแผ่นดินที่พวกท่านย่ำเหยียบ” นางพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ

หนิงซินพยายามได้ดีเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของนาง

ทว่าประโยคที่อีกฝ่ายตอบกลับ ยโสโอหังยิ่ง!

“ไม่ใช่อีกแล้ว องค์หญิงน้อย...” แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์บังคับม้าให้เดินหน้าเบี่ยงออกเล็กน้อย ทำให้ร่างกายใหญ่ยักษ์นั่นขยับเข้าใกล้กายนางในระยะน่าหวาดหวั่น

แม้เวลานี้จะเป็นยามราตรี อีกทั้งทั่วทั้งเมืองในยามนี้ล้วนเต็มไปด้วยเขม่าและควันไฟ แต่จากตรงนี้ นางสังเกตเห็นคราบเลือดตามตัวม้า เสื้อเกราะ แขน ขา และใบหน้าบุรุษผู้นี้ได้ชัดถนัดตา

ดูจากแววตากร้าวแกร่งไร้ร่องรอยความอ่อนล้าและท่วงท่าขี่ม้าอันสูงส่งเย็นชาทว่าห้าวหาญในที ไม่ต้องเพ่งตาดูให้ดีก็เดาได้...

หยาดเลือดที่แทบจะชโลมทั่วร่างม้าและแม่ทัพผู้นี้ ล้วนมาจากคนแคว้นป๋ายทั้งสิ้น!

ไม่ผิดแล้ว...คนผู้นี้คือบุรุษที่นำทัพเข่นฆ่าผู้คนไปทั่วหล้า

คนผู้นี้คือบุรุษที่สังหารทหารกล้าของนาง

คนผู้นี้คือบุรุษที่สังหารชาวเมืองของนาง

หนิงซินขอบตาร้อนผ่าว ยามนี้นางทั้งโกรธทั้งเกลียดทั้งเจ็บใจที่ตนเองไร้พละกำลังความสามารถจนอยากจะร้องไห้ แต่ยังพยายามแข็งใจ เอ่ยเสียงเรียบ “ที่นี่ยังเป็นแผ่นดินเรา” แม้กลิ่นความตายจะเลื้อยรัดรอบร่าง นางยังหาญสู้ “ที่พวกท่านได้ครอบครองยามนี้ ดีที่สุดก็ยังเป็นเพียงเมืองหน้าด่าน เป็นเพียงอีกหนึ่งป้อมปราการ ไม่ใช่วังหลวงแคว้นป๋าย” นางจ้องดวงตาดุเข้มเย็นชาคู่นั้นไม่หลบสายตา เอ่ยเน้นคำ “พวกท่านยังไม่ได้ประกาศชัยชนะ”

“เจ้าทำให้ข้านึกขึ้นได้ ว่าสมควรรีบไปประกาศชัยชนะ”

“ข้ามาที่นี่พร้อมข้อเจรจา” นางรีบบอกเสียงดัง “สั่งให้ทหารของท่านยุติการโจมตี หยุดทำลายบ้านเมือง หยุดเข่นฆ่าคนแคว้นนี้ แล้วพวกเราแคว้นป๋ายจะพิจารณายอมรับปากเฮยเซ่อเย่ว์ทุกเงื่อนไข” หนิงซินบอกชัดถ้อยชัดคำ แม้ทุกถ้อยคำเปรียบดั่งคมมีดกรีดใจนาง

แว่นแคว้นที่นางรักกำลังจะล่มสลาย บ้านเมืองถูกแผดเผาทำลาย ผู้คนมากมายล้มตายเหมือนใบไม้ร่วง แม้จะฟังดูน่าอัปยศอดสู ทว่าตัวนางในตอนนี้นับได้ว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วนางก็มีแต่จะต้องดิ้นรนรักษาม้าตายเยี่ยงม้าเป็น[6]

“ทุกเงื่อนไขเช่นนั้นรึ” แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ถาม

“ใช่ ทุกเงื่อนไข” นางยืนยัน แม้ยังไม่แน่ใจ ว่าบิดาและน้องชายคนโตที่เป็นรัชทายาทจะยอมตกลงหรือไม่

ที่จริงแล้วครั้งนี้นางลอบหลบหนีออกมาจากวังหลวงมาได้ ก็เพราะความใจอ่อนของน้องชายคนรอง ล้วนแล้วแต่ตัดสินใจเอาเองโดยพละการทั้งสิ้น

เรื่องครั้งนี้อาจฟังดูเป็นการตัดสินใจที่โง่เง่า ทว่า...ทว่าหากสงครามครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะนาง เช่นนั้นแล้วไม่สู้ให้คนเหล่านี้ได้ตัวนางสมใจดังที่พวกเขาได้ป่าวประกาศเอาไว้ตั้งแต่แรก...ให้พวกเขาได้นำนางไปทรมาน เอาไปแห่ประจาน นำตัวไปบั่นคอให้พวกเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ต้าอ๋อง เทียนหลง’ ผู้ครองแคว้นเฮยเซ่อเย่ว์ในยามนี้หายแค้นยังดีกว่า เผื่อว่าพวกเขาจะเมตตา ยอมเหลือทางรอดให้ราชวงศ์สกุลอิ๋งและผู้คนแคว้นป๋ายสักหนึ่งสาย…

หนิงซินมีความคิดของนาง ผู้จ้องมองนางก็มีความคิดเป็นของตนเองเช่นกัน

นี่น่ะรึ หญิงงามที่สร้างความวุ่นวายไปทั่วแผ่นดิน

นี่น่ะรึ หญิงงามที่ล่มบ้านล่มเมือง...ล่มมาแล้วไม่รู้กี่แคว้นต่อกี่แคว้น

นี่น่ะรึ หญิงงามที่ทำให้พี่น้องของข้าต้องตายตก

นี่น่ะรึ หญิงงามที่แคว้นป๋ายกับพวกคลั่งศาสนาพากันสรรเสริญบูชาและหวงแหนราวกับไข่มุกล้ำค่าที่ประคองเอาไว้บนฝ่ามือยังกลัวหาย ยามนี้ถึงกับต้องพาตัวออกจากอารามศักดิ์สิทธิ์ นำกลับไปซุกซ่อนไว้ในตำหนักใหญ่โตข้างในใจกลางวังหลวงอีกชั้น ไม่สนใจแล้วว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์มีหน้าที่ใด

นี่น่ะรึ หญิงงามที่กล่าวกันว่าร้อยปีจึงจะมีถือกำเนิดขึ้นมาสักครั้ง?

“หึ...หึหึ ฮ่าๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” ท่าทีองอาจไม่กลัวภัยจากหญิงงามรูปร่างอ้อนแอ้นอ่อนเยาว์อาจดูน่าประทับใจ แต่อีกนัยก็ช่างน่าขันนัก

“ตอนบอกให้ส่งตัวมาก็ยึกยักท่ามากไม่ยอมส่งให้ เพียงเห็นว่าจะสู้ไม่ได้ก็รีบกลับลำเรือ ยอมกลืนน้ำลาย พายเรือทวนน้ำ เหอะ! ประเสริฐยิ่ง! เจ้านายแคว้นนี้ ส่งสตรีมาต่อรอง สิ้นหวังกันถึงเพียงนี้แล้วงั้นรึ!”

“ข้ามาของข้าเอง!” นางรีบบอกตามตรง

การจะปล่อยให้พระเกียรติของเสด็จพ่อและเจ้านายของแผ่นดินนี้ถูกหยามหมิ่นนั้น...นางยอมไม่ได้จริงๆ!

“เหอะ ช่างกล้าหาญองอาจดีเสียจริง” ถึงถ้อยคำที่เอ่ยจะเป็นคำชม แต่น้ำเสียงกลับแฝงไว้ด้วยความรังเกียจเหยียดหยาม “ทว่ากล้าหาญก็ส่วนกล้าหาญ โง่เขลาก็ส่วนโง่เขลา เห็นทีอิ๋งอ๋องแคว้นป๋ายคงฟูมฟักองค์หญิงคนโปรดเอาไว้ก็แต่ในตำหนักฟุ้งเฟ้อโอ่อ่าที่รายรอบด้วยทะเลดอกไม้ดังคำเล่าลือไม่ผิดแล้วกระมัง นางจึงไม่เพียงเติบโตขึ้นมา ‘กลิ่นกายหอมฟุ้งยิ่งกว่ายอดบุปผชาติจากสรวงสวรรค์ ผิวพรรณผ่องใสราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้’ ดังที่ผู้คนโจษจัน แต่ยังมองว่าโลกใบนี้ล้วนมีก็แต่เรื่องราวงดงามดั่งภาพเขียนวิจิตรบรรจงและแพรพรรณนุ่มละมุนในตำหนักโอ่อ่างดงามนั่น”

จบประโยค เหล่าทหารชำนาญศึกจากเฮยเซ่อเย่ว์ก็ประสานเสียงหัวเราะดังกึกก้อง

ชายผู้คล้ายจะเป็นแม่ทัพใหญ่รอให้เสียงหัวเราะซาลง ถึงค่อยเอ่ยประโยคถัดไป เขาจ้องมองนางจากที่สูงด้วยแววตาเย็นเยียบ เอ่ยชื่อนางตรงๆ ด้วยน้ำเสียงดุเข้มทรงอำนาจดุจพญามังกรดำ

หนิงซิน...รู้หรือไม่ รอจนพวกเรากองทัพทมิฬเข้าเหยียบย่ำจนเมืองหลวงของพวกเจ้าแหลกสลายไม่เหลือซาก ถึงตอนนั้นหากอยากได้สิ่งใด พวกเราเหล่าเฮยเซ่อเย่ว์ย่อมหยิบฉวยเอาได้ทุกอย่าง ทุกเวลา” แม่ทัพใหญ่ซึ่งกล่าวได้ว่ายังหนุ่ม ไล่สายตามองริมฝีปากบางใสทว่าอิ่มงามบนใบหน้ารูปหัวใจเรียวเล็ก ไหปลาร้า...ไล่ลงมาจนถึงร่างกายที่ถูกลมพัดอาภรณ์แนบร่างจนมองเห็นทรงอกอวบอัด เอวคอดกิ่ว สะโพกกลมกลึง และเรียวขาอันงดงามราวเทพเซียนบรรจงปั้น จากนั้นก็ไล่สายตาจากเรียวขางามกลับขึ้นมาสบตานางอีกหน พร้อมกับเอ่ยประโยคที่ทำให้หนิงซินถึงกับลมหายใจสะดุด เผลอลืมหายใจไปชั่วขณะ หนังศีรษะชาวาบไปหมด

“แม้แต่เจ้า

แม้แต่...ข้า...?

หนิงซินกัดริมฝีปากแน่นพยายามรักษาความสงบเยือกเย็น

นางรวบรวมความกล้า ตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉาน

“ท่านแม่ทัพเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘สุนัขขนตรอกหรือไม่’ หากข้าองค์หญิงเป็นสุนัข ยามถูกไล่ต้อนจนไร้ทางหนี ข้าองค์หญิงย่อมต้องสู้ยิบตา แม้ว่าท้ายที่สุดข้าอาจต้องเจ็บหนัก หรือแม่แต่ล้มตาย แต่ผู้ที่คิดร้ายไล่ต้อนข้า ก็จะต้องเสียเลือดเสียเนื้อ หรืออาจถึงขั้นบาดเจ็บล้มตายเช่นกัน”

แม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์เหยียดยิ้มเหี้ยมเกรียมเมื่อได้ยิน

หนิงซินยังกล่าวต่อไป

“ตรอกแห่งนี้คือถิ่นของข้า พวกท่านไม่คุ้นเคยกับตรอกที่ข้าเกิดและเติบโตมา จะรู้ได้อย่างไร ว่า ณ ตรอกแห่งหนึ่งที่พวกตนกำลังไล่ต้อนสุนัขอย่างสนุกสนาน แท้จริงแล้วมีฝูงสุนัขซุกซ่อนอาศัยมากมายเพียงใด มีสุนัขกี่ตัวที่ต่อให้ยอมตายก็ไม่ยอมแพ้ และมีสุนัขที่ยังคงมีกำลังวังชากล้าแข็งอีกกี่ตัว กำลังเฝ้าลับเขี้ยวและกรงเล็บคมกริบไว้รอ” ดวงตาที่เปล่งประกายอ่อนโยนของนางดูเด็ดเดี่ยวห้าวหาญขึ้น เมื่อสะท้อนเปลวไฟ

นางยังกล่าวต่อไปด้วยเสียงอันดัง

“ท่านมีไฟ...พวกข้าก็มี ท่านมีหอก...พวกข้าก็มี ท่านมีธนูแหลมคม พวกเราชาวแคว้นป๋ายเองก็มี แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างก็คือ พวกเราชาวแคว้นป๋าย นับตั้งแต่เมืองหน้าด่านนี้ ดังที่ท่านเห็น พวกเราได้สร้างป้อมปราการเอาไว้มากมายหลายชั้น...พวกเรามีป้อมปราการอันมั่นคง แต่พวกท่านมีเพียงม้าศึกเท่านั้น หากคิดจะใช้กำลังหักหาญตีเมืองเอาเองเช่นนั้น...อย่างเร็วที่สุดก็คงกินเวลาถึงสองสามเดือนกระมัง พวกท่านจากบ้านเรือนมา ออกรบเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว ยังอยากตั้งค่ายล้อมเมืองสามเดือน หกเดือน หรืออาจถึงขั้นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่นับปีสองปีอีกหรือ”

นางเชิดหน้าขึ้นเอ่ยประโยคถัดไปอย่างเน้นถ้อยเน้นคำ

“ข้าเห็นแล้ว พวกท่านมีกำลังทหารมากเพียงใด ข้ารู้แล้วว่าพวกเราสู้กลศึกสู้พละกำลังของพวกท่านมิได้ แต่อย่าลืม...คนเฮยเซ่อเย่ว์ แม้แต่สุนัขยังรักชีวิต ยามที่สุนัขมันจนตรอก ก่อนยอมตาย พวกมันคงต้องกัด คงต้องข่วน คงต้องสู้ยิบตา ทำร้ายคนที่ถือไม้ไล่ตี ไล่ฆ่า ไล่ต้อนพวกมันจนจนมุม ให้ได้แผลเหวอหวะกันบ้างล่ะ”

ขาดคำ ดาบดำทะมึนด้ามใหญ่เปื้อนโลหิตสีแดงฉานก็ตวัดขึ้นวางพาดบ่านางทันที

“พวกเราชาวแคว้นป๋ายยินดียอมจำนน” นางย้ำสิ่งที่เคยพูดไปแล้ว โดยไม่ละสายตาจากดวงตาดุเข้มคู่นั้น และไม่ถอยหนีแม้เพียงครึ่งก้าว “ท่านจะตวัดดาบสังหารสตรีไร้ประโยชน์เช่นข้าเสียตรงนี้ก็ย่อมได้ ทว่าต่อให้ไม่เห็นแก่ชีวิตชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ ก็ขอให้เห็นแก่ชีวิตเหล่าทหารกล้าของท่าน...เห็นแก่ทุกความเหนื่อยยากที่พวกเขาจะได้รับ ได้โปรดไตร่ตรองสิ่งที่ข้าเพิ่งจะกล่าวกับท่านให้ดี”

“พูดได้ดี...สำหรับสตรีที่เป็นชนวนสงคราม” แม่ทัพใหญ่กองทัพทมิฬลากดาบที่วางพาดบ่านางบนเสื้อคลุมกันลมสีพุทราแห้ง เช็ดโลหิตออกจากเนื้อโลหะทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

ถ้าตอนนี้หนิงซินตัวสั่นแม้เพียงนิด หรือแขนขาอ่อนแรง เป็นลมล้มพับลงไป คมดาบอาจแฉลบเชือดคอขาวผ่องของนางได้ทุกเมื่อ

ในช่วงวินาทีแห่งความตื่นตระหนก พวกนางกำนัลผู้ภักดีที่ติดตามนางมาจากวังหลวงต่างลุ้นระทึก ทั้งเป็นห่วงผู้เป็นนายทั้งหวาดกลัวจนตัวสั่น น้ำตาไหลพราก ฝ่ายองครักษ์ที่ติดตามอารักขาก็ล้วนกำด้ามดาบแน่นจนเห็นเส้นเอ็น พร้อมสู้ตายถวายชีวิตปกป้ององค์หญิงที่ตนถวายความจงรักภักดี ถึงแม้บางส่วนในกลุ่มเริ่มจะคล้อยตามดังที่แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ว่า

องค์หญิงที่เป็นชนวนสงคราม...หญิงงามล่มแคว้น

สตรีที่เป็นชนวนสงคราม...

หญิงงามล่มแคว้น...

เรื่องนี้หนิงซินรู้ตัวดียิ่งกว่าใครทั้งหมด

นาง...องค์หญิงที่ยามนี้อยู่ในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ของนิกายแสงสว่างแห่งแคว้นป๋าย คือต้นตอของเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในตลอดหลายปีมานี้ คือสาเหตุให้บุรุษมากมายประลองยุทธกันดุเดือดถึงขั้นเอาชีวิต จากนั้นเรื่องราวก็ลุกลามบานปลาย กลายเป็นการประกาศสงคราม รบราฆ่าฟันกันทั่วทั้งแผ่นดิน...นำมาซึ่งกองทัพอันโหดเหี้ยมของพวกเขาชาวเฮยเซ่อเย่ว์ในวันนี้...

“มีอะไรจะสั่งเสียหรือไม่” บุรุษบนหลังม้าถาม นัยน์ตาเปล่งประกายสีเลือด ดูโหดเหี้ยมอำมหิต

“ที่ควรพูดก็พูดหมดแล้ว ผู้ที่เป็นชนวนสงครามเช่นข้า จะยังเหลือสิ่งใดให้สมควรพูดอีกเล่า”

ในสายตาคนอื่น จนถึงตอนนี้หนิงซินก็ยังมิเคยแสดงท่าทีขลาดกลัวแม้สักนิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว...นางก็แค่ซุกซ่อนความกลัวเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนเท่านั้น

ที่จริงแล้วนางกลัวจนแทบก้าวขาไม่ออก ส่วนลึกในใจนางร่ำร้องอยู่ตลอดเวลาว่าอยากทิ้งตัวลงปิดหน้าร่ำไห้ ไม่อยากมองภาพอันน่าอดสูของเมืองนี้ ไม่อยากเห็นภาพกองทัพทมิฬเรือนแสนที่อยู่ด้านหลังแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ และยิ่งไม่อยากต้องเชิดหน้าขึ้นสบตาสนทนากับบุรุษที่รอบกายเต็มไปด้วยไอสังหารผู้นี้!

แต่แม้จะเป็นสตรีโสมมที่ทำให้ผู้คนมากมายตายตก นางก็ยังอยู่ในฐานะองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการยกย่องว่าสูงส่งและสง่างามที่สุดของแคว้นป๋าย นางไม่อาจกระทำตนเช่นนั้นให้ผู้คนดูหมิ่นหยามหยัน ดูถูกดูแคลนมาถึงแคว้นป๋าย ราชวงศ์สกุลอิ๋ง และอารามศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนทั่วหล้าให้ความเคารพนับถือ

ต่อให้วันนี้ต้องตาย นางก็ต้องตายโดยที่ยังคงสามารถรักษาเกียรติเอาไว้ได้...อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของนางเอง

“ดี” ปากบอกว่าดี แต่ผู้กล่าวกลับรู้สึกว่าสตรีตรงหน้าช่างโอหัง อวดดี

กลุ่มก้อนโทสะระเบิดโพลงในใจแม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ในยามนั้น

เขาเงื้อดาบสูงขึ้น แม้จะมีองครักษ์แคว้นป๋ายที่ทนไม่ไหว คิดก้าวออกมาปกป้ององค์หญิงของตน ทว่าไม่ทันขยับตัวก็โดนคนของเฮยเซ่อเย่ว์ปราดเข้าปลดอาวุธ กดร่างลงแนบกับพื้นเกรอะกรังอย่างน่าอดสู

“ปล่อยข้า!” หัวหน้าองค์รักษ์คับแค้นใจที่ไม่อาจสู้จำนวนอีกฝ่าย

หนิงซินไม่อาจปล่อยให้ผู้ติดตามขัดขืนคนเหล่านี้จนกลายเป็นทำร้ายตนเองเช่นนั้น นางรีบปรามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนราวต้องการปลอบประโลม แต่ไม่รู้ว่าต้องการปลอบประโลมพวกเขาหรือตนเองมากกว่ากัน

“ก็ไหนก่อนออกจากวัง พวกเจ้ารับปากแล้วอย่างไรเล่า ว่าจะไม่สร้างปัญหาใดใดให้ตนเองทั้งนั้น...” นางแย้มยิ้มขมขื่น “หากเพียงพบหน้า ท่านแม่ทัพผู้เกรียงไกรไม่ทันส่งสารรายงานต้าอ๋องของตน กลับต้องการเห็นข้าตาย พวกเจ้าก็ปล่อยให้ข้าได้จากไปอย่างสงบเช่นนี้เถอะ อย่าได้ดิ้นรนสร้างปัญหาใดใดให้ตนเองต้องลำบากเจ็บตัวเพื่อข้าเลย...” คาดไม่ถึงว่าหลังจากกล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว นางจะรู้สึกตัวเบาลงมาก ราวกับน้ำหนักที่ซื่อว่า ‘หน้าที่’ และ ‘ความรับผิดชอบ’ ซึ่งกดทับตนเองอยู่ตลอดเวลา สลายหายไปในชั่วอึดใจสั้นๆ

หนิงซินยิ้มน้อยๆ ก่อนปิดเปลือกตา ยืนรอความตายอย่างสงบ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความลังเลให้เห็น

หากนางตาย เฮยเซ่อเย่ว์ที่ไหนจะยังเหลือเหตุผลให้ทำร้ายแคว้นป๋าย

บางทีจบลงเช่นนี้ก็อาจจะดีเหมือนกัน...

ตุบ!

จบลงแล้วสินะ...

หนิงซินปล่อยวาง ปล่อยกาย ปล่อยใจ ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านเลยไป

นึกไม่ถึงว่าเมื่อมีเสียงตุบแรกแล้วกลับมีเสียงตุบที่สอง สาม และสี่ ดังตามมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็มีเสียงสตรีร้องขอความเมตตาแทนนางดังระงม

“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ! ได้โปรด...ได้โปรดอย่าทำร้ายองค์หญิงเลย!”

“ท่านแม่ทัพ! องค์หญิงถูกปรักปรำ!”

“องค์หญิง...ที่แท้แล้วองค์หญิงเป็นผู้บริสุทธิ์!”

เสียงพวก...นางกำนัล...?

นี่มันอะไรกัน?

รออยู่นาน ไม่เพียงไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกบั่นคอโลหิตท่วมทะลัก ยังเกิดเหตุการณ์อะไรก็ไม่รู้ หนิงซินเปิดเปลือกตาขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ

นี่...นี่คอของนางยังอยู่บนบ่า ดาบนี่ก็ยังไม่ได้ขยับบั่นศีรษะนางอย่างที่เข้าใจผิดไป?

“รับดาบ” ชายบนหลังม้าสั่งเสียงเข้มขรึม

ระ รับดาบ?

ไม่ทันที่หนิงซินจะเข้าใจ เสียงโลหะกระแทกโลหะก็ดังกึกก้อง ก่อนที่ร่างน้อยๆ ของนางจะโดนฉุดให้ลอยขึ้นไปบนหลังม้า

“อย่าห่วงเลย...ข้าไม่ให้เจ้าได้ตายง่ายๆ เช่นนั้นหรอก ข้าจะทำให้เจ้าร้องขอความตาย” เสียงกระซิบแหบแห้งดุจผีร้ายจากบุรุษร่างใหญ่ที่ฉุดตัวนางขึ้นมา ทำเอาหนิงซินขนลุกเกรียวไปหมด

ก่อนที่นางจะได้ขยับหนี ฝ่ามือสวมเกราะเกร็ดแข็งกระด้างอย่างชาวแดนไกลก็ตวัดเชือกบังคับม้ามัดมือนางไว้แน่นหนา ดึงรั้งร่างนางเข้าแนบชิด

เขาตะคอกใส่คนของนางเสียงดังยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่า

กลับไปรายงานป๋ายอ๋องสกุลอิ๋งนายของเจ้า ว่าข้า แม่ทัพใหญ่กองทัพทมิฬ รับข้อเสนอ หนิงซินกงจู่” แม่ทัพใหญ่ประกาศกร้าว “แต่ก่อนหน้าที่จะเจรจาอะไร ภายในสามวัน อาวุธ ดินดำ น้ำมันดิน เชือก ค้อน ขวาน เคียว กระทั่งเข็มเย็บปัก ทุกอย่างที่ใช้เป็นอาวุธได้กับชุดเกราะทั้งหมดจะต้องถูกขนออกมาที่นี่ จนกว่าจะถึงตอนนั้นหนิงซินกงจู่จะอยู่ที่นี่ในฐานะเชลยสงคราม ชาวแคว้นป๋ายจัดการได้ตามนี้แล้ว พวกเราสองแคว้นถึงค่อยเจรจา!

หนิงซินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

ไม่ใช่เพราะเงื่อนไขเหล่านี้ แต่เป็นเพราะแผงอกกร้าวแกร่งหุ้มเกราะแข็งกระด้างเย็นจัดด้านหลัง กับท่อนแขนใหญ่ๆ ที่โอบรัดเอวนางไว้แน่นอย่างถือสิทธิ์

การกระทำอันป่าเถื่อนไร้มารยาทเช่นนี้...

คนผู้นี้...คนผู้นี้ไม่เพียงไม่ให้เกียรตินางในฐานะองค์หญิง ยังไม่ไว้หน้ารักษาไมตรีหรือใส่ใจมารยาทธรรมเนียมที่พึงปฏิบัติต่อนางในฐานะสตรีผู้หนึ่งเลยด้วยซ้ำ!

“กลับค่าย!” แม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์สั่งเสียงเข้ม จากนั้นก็พานางห้อม้ากลับที่พัก ทิ้งเหล่าผู้คนซึ่งติดตามนางออกมาจากวังหลวง ที่ตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังอย่างที่สุด ไว้ท่ามกลางซากปรักหักพังและฝุ่นควันจากฝีเท้าม้านับแสน ไม่สนใจว่าสิ่งที่ได้กระทำลงไปนั้นเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมสักนิด

[1] 23.00 – 24.59 น.

[2] ชุดเกราะชนิดหนึ่ง สร้างขึ้นโดยการขึ้นรูปโลหะ แล้วนำมาถักร้อยเป็นเสื้อเกราะที่คงทนแข็งแรง

[3] หนึ่งฉื่อ ยาวประมาณ 1/3 เมตร หรือ 33.33 เซนติเมตร

[4] เฮยเซ่อเย่ว์ ในที่นี้ แปลตามอักษร หมายถึง ขวานหรือสนามรบสีดำ ในที่นี้สื่อถึงสมรภูมิทมิฬ

[5] ตำแหน่งองค์หญิง หรือบุตรสาวผู้เป็นประมุข

[6] พยายามทำทุกวิถีทาง พยายามกอดความหวังสุดท้าย แม้รู้ดีว่าแทบจะไม่มีหวังอีกต่อไป

توسيع
الفصل التالي
تحميل

أحدث فصل

فصول أخرى

تعليقات

لا توجد تعليقات
115 فصول
บทนำ
ยามจื่อ[1]วันนี้ ท้องฟ้าหม่นครึ้มถูกย้อมจนแดงฉานด้วยเปลวเพลิง รอบข้างแว่วเสียงร่ำไห้ผสานเสียงไฟผลาญไม้ลั่นเปรี๊ยะๆ เสียดแก้วหู ต่อให้ปิดตาฟังก็ยังรู้ว่าเป็นคืนแสนวิปริตเลี่ยงจินอู่...หนึ่งในเมืองป้อมปราการสำคัญก่อนเข้าสู่เขตเมืองหลวงแคว้นป๋าย ครั้งหนึ่งเคยงดงามด้วยอาคารบ้านช่องจากอิฐ ดิน และไม้เนื้อขาว ดูสะอาดสะอ้าน ตามรายทางพื้นถนนหินตัดและสะพานขาวพิสุทธิ์เคยเปล่งประกายด้วยโคมไฟสีขาวและธงปักไหมทองวิจิตรบรรจง เปี่ยมกลิ่นอายมงคล ยามนี้มองไปทางทิศใดกลับเห็นเพียงซากปรักหักพังเปรอะคราบเขม่าควัน เพราะน้ำมือกองทัพชุดเกราะเกล็ด[2]ดำทมิฬเรือนแสนจากเฮยเซ่อเย่ว์ท่ามกลางเปลวไฟและควัน หนิงซิน ธิดาองค์เล็กผู้โด่งดังและเป็นที่โปรดปรานของป๋ายอ๋อง ผู้ครองแคว้นป๋าย ก้าวขาลงจากรถม้าอย่างมั่นคงและงามสง่า เดินผ่านเหล่าข้ารับใช้ที่ทำหน้าราวกับคนตกน้ำใกล้ขาดใจ มุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวเกรง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเบื้องหน้ามีสิ่งใดรออยู่“ผู้ใดรนหาที่ตาย...” เสียงแหบแห้งเหี้ยมเกรียมที่ดังขึ้นต้อนรับ อาจทำให้นางกำนัลและทหารองครักษ์จำนวนเท่าหยิบมือของนางสั่นกลัว แต่นางไม่“ท่านก็คือแม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ที่ ‘รบ
last updateآخر تحديث : 2025-08-15
اقرأ المزيد
บทที่ 1
แม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ มอบหมายให้คนสนิท อีเหิง รองแม่ทัพฝ่ายขวา แบ่งกำลังอยู่รักษาเลี่ยงจินอู่ เมืองที่เพิ่งยึดมาได้ เอาไว้ใช้ต่างด่านหน้า ส่วนตนพาทหารที่เหลืออีกเจ็ดส่วนยกพลกลับค่ายพักทัพผู้เป็นแม่ทัพเช่นเขาไม่เคยใส่ใจเรื่องความสบาย สิ่งที่ใส่ใจเป็นอันดับแรกคือความเหมาะสมและกลศึก เรื่องความสะดวกสบายอะไรนั่น เอาไว้สงครามสิ้นสุดลงเมื่อใด ถึงตอนนั้น คิดเสพสุขให้สำราญอย่างไร ก็ล้วนทำได้ทั้งนั้นทันทีที่กลับถึงค่ายพักทัพซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกำแพงเมืองเลี่ยงจินอู่เพียงไม่ถึงห้าลี้ แม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ก็กึ่งดึงกึ่งลากหนิงซินผ่านเชือกมัดข้อมือ พานางเดินเข้ากระโจมหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางกระโจมจำนวนนับไม่ถ้วนใต้หล้านี้จะมีองค์หญิงแคว้นใด ได้รับการปฏิบัติ หยาบคายเช่นนี้ทันทีที่เข้ามาด้านใน ทหารรับใช้สองนายก็ช่วยกันยกถังน้ำร้อนนับถังไม่ถ้วนมาเติมลงในถังไม้ใบใหญ่อย่างแข็งขัน หลังจากเตรียมถังน้ำเย็นสำรองไว้สำหรับใช้ปรับอุณหภูมิสองสามถัง ก็จัดเตรียมเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนให้ผู้เป็นนาย แล้วเริ่มลงมือเช็ดคราบเลือดถอดชุดเกราะอย่างรู้หน้าที่...ทั้งนายทั้งบ่าว ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีผู้ใดชายตามอง
last updateآخر تحديث : 2025-08-15
اقرأ المزيد
บทที่ 2
“เป็นอะไรไป ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็เห็นว่าปากกล้าอยู่ได้ตั้งเป็นนาน ไฉนตอนนี้องค์หญิงรองผู้เก่งกาจ กลับหวาดกลัวขึ้นมาเสียแล้วเล่า” เขาเอ่ยกึ่งเยาะเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร หนิงซินเลือกใช้ความเงียบเป็นคำตอบแม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์สาวเท้าเข้าหา นางก้าวขาถอยหนียิ่งแววตาเขาดูสนุกมากขึ้นทุกที นางก็ยิ่งหายใจลำบากยิ่งขึ้น“หึ องค์หญิงศักดิ์สิทธิ์แคว้นป๋ายก็กลัวเป็นเสียด้วย” เขาก้าวขาเร็วขึ้น ทั้งน้ำเสียงและแววตาคุกคามทำเอาหนิงซินเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่หนิงซินกัดริมฝีปากตัวเองแน่น พยายามตั้งสติไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร เพียงเห็นนางเหลียวมองทางออกที่อยู่ไม่ไกล บุรุษผู้นี้ก็คล้ายจะหมดความอดทนเฉียบพลัน“ข้าจะไม่เล่นไล่จับกับเจ้า หนิงซิน” บอกเพียงเท่านั้น แม่ทัพใหญ่ก็คว้าข้อมือนาง แม่นยำเหมือนอสรพิษฉกกัดร่างบอบบางโดนโยนลงบนฟูกในชั่วอึดใจนั้นก่อนที่หนิงซินจะได้ทันหวีดร้อง ร่างสูงใหญ่ก็โถมทับลงมา ตรึงข้อมือที่ยังโดนมัดไว้ของนางขึ้นเหนือหัว แล้วกดริมฝีปากแข็งกระด้างลงปิดปากนางอย่างไม่ปรานีปราศรัย“อึ...อื้อ!”จู่ๆ...จู่ๆ ก็ถูกทำแบบนี้...!หนิงซินทั้งตกใจทั้งหวาดกลัวจนประคองสติเอาไว้ไม่ไหว ร่างเล็กๆ
last updateآخر تحديث : 2025-08-15
اقرأ المزيد
บทที่ 3
“อย่าบังอาจมายั่วยวนข้า” เขาบอกเสียงลอดไรฟันวัดจากความเย็นที่เคลื่อนลงจากมุมปากอย่างเชื่องช้า กับคราบน้ำสีแดงข้นบนริมฝีปากที่คนตรงหน้าเพิ่งจะตวัดลิ้นกลืนกินอย่างไม่รู้สึกรู้สา เดาว่าริมฝีปากนางในตอนนี้คงถูกบุรุษใจทรามตรงหน้าขบกัดจนเป็นแผล เลือดสดๆ กำลังหลั่งรินออกมาแล้วจริงๆ“จริงสิ...ข้าเคยบอกเอาไว้ว่าจะทำให้เจ้าร้องขอความตาย...” เขาบอกเสียงแหบแห้งเย็นชาทว่าทรงอำนาจดุจพญามัจจุราชจากปรภพ พลางใช้สายตาโลมไล้ใบหน้าและลำคออันขาวผ่องรอบหนึ่ง จากนั้นก็จ้องลึกลงในตานาง แย้มรอยยิ้มอันเหี้ยมเกรียมน่าหวาดหวั่นที่ทำให้หนิงซินถึงกับสั่นเทิ้มไปทั้งวิญญาณ หวาดผวาจนน้ำตาคลอเบ้าในชั่วขณะที่หนิงซินคิดว่าเรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ก็ตวาดใส่นางเสียงดังลั่น “ร้องสิ! หากไม่ร้องไห้อ้อนวอนหรือโวยวาย ก็จงใช้วิธีการที่เจ้าใช้ยั่วยวนปั่นหัวผู้คนให้รบราฆ่ากันตาย ให้ผู้ชนะอย่างข้าได้ดูชมเป็นขวัญตาสักครั้ง! นารีล่มเมืองหรือจะมีดีแค่นี้!” หนิงซินเม้มริมฝีปากแน่น เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด แม้แต่ประโยคร้องขอความเห็นใจก็ยังพูดไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำยังไม่ต้องเอ่ยถึงการโดนตวาดใส่ซึ่งๆ หน้าเช่นนี้...องค์หญิง
last updateآخر تحديث : 2025-08-15
اقرأ المزيد
บทที่ 4
เขาใช้มือข้างหนึ่งกดร่างนางไว้ เพียงใช้มืออีกข้างกระชากแรงหน่อย ชุดผ้าเนื้อดีสีนวลตาบนกายนาง ถึงกับหลุดขาดวิ่นคามือ!“อ๊ะ!!! ต่ำช้า ท่านมันต่ำช้าที่สุด!” หนิงซินตกใจกลัวจนแทบไม่รู้ตัวแล้วว่าพูดอะไรออกมา“อ้อ ข้าต่ำช้า!” คราวนี้เขาแค่นหัวเราะ ก่อนกดศีรษะลงไซ้แก้ม กราม ซอกคอ ไล่ลงมาจนถึงเนินอกอิ่ม แล้วกระชากเสื้อตัวยาวที่สวมเอาไว้อย่างหลวมๆ ของตัวเองทิ้งอย่างรวดเร็วหนิงซินโกรธจนลืมกลัวไปแล้ว“เป็นแค่แม่ทัพผู้หนึ่ง ไม่ทันถวายรายงานต่อต้าอ๋องของตนก็กล้าแตะต้ององค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ที่เดินทางมาเป็นทูตสงคราม หัวของแม่ทัพใหญ่อย่างท่าน ยังสมควรมีอยู่หรือไม่!”แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ไม่แยแสสักนิด“นั่นต้องดูว่ายังมีผู้ใดมีความสามาถมากพอจะบั่นคอข้าได้หรือไม่!”เขาฉีกกระชากชุดนางซ้ำ เผยให้เห็นเรือนร่างส่วนที่ยังคงถูกปกปิดไว้แทบทั้งหมดทันทีหนิงซินสะอื้นค้าง รู้แน่แล้วว่าคงขัดขืนคนตรงหน้าไม่ได้ แต่ไม่อยากโอนอ่อนผ่อนตาม นางพยายามดิ้นรนสุดกำลัง หารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นทำให้ส่วนกลมกลึงกลางหน้าอกกระเพื่อมไหว ดึงดูดให้ผู้ที่แท้ที่จริงแล้วก็เพียงอยากกลั่นแกล้งรังแกหยามเกียรตินาง บังเกิดความปรารถนาอย่างรุนแรงจ
last updateآخر تحديث : 2025-08-15
اقرأ المزيد
บทที่ 5
ไม่...ไม่นะ...นี่นาง...นางกำลังคล้อยตามโจรขืนใจผู้นี้!ไม่ ไม่ ไม่ ไม่! ไม่มีวัน! นางต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆเรื่องน่าอัปยศเช่นนี้ ความรู้สึกโสมมเช่นนี้!“เอามัน...ฮึก...! เอามันออกไป...!” หนิงซินร้องเสียงแหบพร่าตอนนี้นางแทบจะไม่มีเสียงห้ามแล้ว แต่หากไม่ห้าม...นาง...นางรู้สึกว่า...นางคิดว่านางสมควรต้องห้าม!ถูกแล้ว นางสมควรต้องพยายามยุติเหตุการณ์อันน่าอัปยศและไม่ถูกต้องนี้ ต้องต่อต้านสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และไม่สมควรคล้อยตามความรู้สึกอันสกปรกไร้ยางอายเช่นนี้!ต่อให้นางไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่สมควรครองพรหมจรรย์แต่ก็ยังเป็นองค์หญิงรองที่ถือกำเนิดจากครรภ์พระราชชายาแห่งผู้ปกครองแคว้นป๋าย และต่อให้นางไม่ใช่องค์หญิงผู้หนึ่งของแคว้นป๋าย นางก็ยังเป็นสตรีผู้หนึ่งใต้หล้านี้จะมีสตรีดีๆ ใดที่เป็นเช่นนี้...ยังไม่ทันแต่งงานเข้าพิธี โดนบุรุษผู้หนึ่งข่มเหงรังแก กลับหลงคล้อยตาม เผลอปล่อยตัวปล่อยใจ ปล่อยให้ผู้อื่นเสพสุขจากร่างกายตนโดยง่าย กระทำตัวไร้ยางอายและไร้ค่าเช่นนี้!นาง...ไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้!ราวกับล่วงรู้ว่านางกำลังคิดอะไร คนด้านบนแค่นหัวเราะอย่างสาแก่ใจ ก่อนขยับอีกนิ้วที่ว่างอยู่ปัดเ
last updateآخر تحديث : 2025-08-15
اقرأ المزيد
บทที่ 6
การลงทัณฑ์อันเร่าร้อนรุนแรง ปลุกเร้าความรู้สึกบางอย่างที่ซุกซ่อนในใจ ทำให้หนิงซินรู้สึกอัปยศอดสูถึงขีดสุดยามนี้นางทั้งรังเกียจชิงชังตนเอง ทั้งรู้สึกผิด ทั้งยังรู้สึกว่าตนเองแปดเปื้อน หมดคุณค่า จิตใจถูกทำให้บิดเบี้ยววิปลาสเกินเยียวยา หมดสิ้นความภาคภูมิใจในตนเอง เกียรติยศและความสง่างามในฐานะองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงศักดิ์ของแคว้นป๋ายล้วนถูกย่ำยีจนไม่เหลือซากภายในระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วยามบุรุษต่ำช้าผู้นี้ราวกับหมาป่าอดอยากหิวโซคลุ้มคลั่งตัวหนึ่งก็ไม่ปาน นับตั้งแต่เริ่มลงมือกับนาง เขาก็ลงมืออย่างไม่ยั้งมือไว้ไมตรี กระทำย่ำยีกับนางเอาตามใจทั้งคว่ำและหงาย ใช้นางบำบัดความใคร่ บำเรอกาม ปฏิบัติต่อนางเสมือนหนึ่งหญิงคณิกา หลังจากเสร็จสิ้นสุขสม ก็ไม่ใส่ใจแม้แต่จะดึงผ้าสักชิ้นมาปกปิดร่างกายทั้งเขาและนาง ทั้งยังไม่สนใจว่าหลังจากเพิ่งผ่านพ้นเสร็จสิ้นกิจกามอันยาวนานกันไปหนหนึ่ง นางจะเจ็บปวดบอบช้ำถึงเพียงไหน กลับจับนางพลิกคว่ำซุกไซ้สูดดมซอกคอ สอดแทรกความเป็นชายที่ยังแข็งเกร็งเข้ามาจนสุดลำ กอดรั้งร่างนางที่ไร้แรงจะต้านทานขัดขืนไว้แน่นหนที่สองนี้ เขาไม่ได้เคลื่อนไหวรุนแรงเหมือนหนแรก กลับสอดใส่ค้างคา
last updateآخر تحديث : 2025-08-19
اقرأ المزيد
บทที่ 7
นางจะไม่ยอมอดทนต่อการกระทำอันต่ำทรามไร้มารยาทนี้อีกต่อไปแล้ว! นางไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว!หนิงซินพยายามขยับตัวดิ้น คาดไม่ถึงว่าท่าทีนั้นจะทำให้อีกฝ่ายครางเสียงทุ้มต่ำในลำคอ บางสิ่งที่ค้างคาอยู่ในตัวนางขยายใหญ่ขึ้นจนคับแน่นไปกันใหญ่“เจ้าคิดว่านี่คือสิ่งที่ข้าต้องการ?” เขาถามเสียงแหบห้าวราวกับราชสีห์ที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหลน้ำเสียงที่เป็นเช่นนี้...จะว่าฟังดูสบายๆ ก็ให้ความรู้สึกว่าสบายๆ จะว่าให้ความรู้สึกว่าน่าหวาดกลัวก็ให้ความรู้สึกว่าน่าหวาดกลัว ทั้งฟังดูน่าเกรงขามทั้งชวนให้ขนลุกได้อย่างน่าพิศวงถึงกระนั้นก็เถอะ ท่าทีเช่นนี้ค่อนข้างแตกต่างจากท่าทีก่อนที่ทั้งเขาและนางจะ...ร่วมหมอนนอนเคียงกันสักเล็กน้อย คล้ายกับว่ามันมีสัดส่วนของการหยอกเย้าอย่างนึกสนุกปะปนอยู่ในนั้น แต่จะด้วยในฐานะนางบำเรอหรือสัตว์เลี้ยงนั้น...นางไม่อาจและไม่อยากคาดเดาเห็นนางนิ่งเงียบ แม่ทัพทมิฬบีบคาง บังคับให้นางผินหน้ามาสบตาชั่วอึดใจนั้น ความน้อยเนื้อต่ำใจและความอัปยศอดสูสมเพชเวทนาตนเองเหลือจะกล่าว และความรู้สึกกล่าวโทษฝ่ายที่ทำให้ตนเองต้องรู้สึกเช่นนี้อย่างละส่วน ขับให้หนิงซินจ้องตอบด้วยสีหน้าเฉยชาอย่างที่สุด“นี
last updateآخر تحديث : 2025-08-20
اقرأ المزيد
บทที่ 8
ในตอนที่แม่ทัพทมิฬเผลอลดแรงกดริมฝีปาก หนิงซินอาศัยจังหวะนั้นขบกัดริมฝีปากเขาจนสุดแรง ผลที่ได้รับกลับมาคือการกระแทกกระทั้นที่รุนแรงยิ่งขึ้น รุนแรงเสียจนช่องทางซึ่งยังคงชุ่มโชกด้วยคราบความใคร่จากการข่มเหงรังแกครั้งก่อนของเขาร้อนผ่าวเหมือนไฟลนหากไม่นับความรังเกียจหวาดกลัวในใจแล้ว ต้องยอมรับว่าการกระทำอันป่าเถื่อนนี้ทำให้หัวใจของนางยิ่งเต้นแรง ช่วงล่างของนางในยามนี้ก็ทั้งเสียวซ่านและเต้นตุบรัวถี่จนยากจะหาคำมาอธิบาย เลือดลมในกายสูบฉีดความซาบซ่านหฤหรรษ์อันน่าอับอายที่นางไม่เคยได้สัมผัสไปทั่วร่าง เป็นดังที่นางหวาดกลัวไม่มีผิด การกระทำอันดุดันป่าเถื่อนนี้กำลังครอบงำนาง ความบ้าคลั่งของคนผู้นี้กำลังกลืนกินสติสัมปชัญญะทั้งหมดทั้งมวลของนาง ทำให้มโนสำนึกของนางค่อยๆ พร่าเลือน คนผู้นี้...คนผู้นี้กำลังจะทำให้นางเป็นบ้า!หนิงซินไม่รู้ว่าตนเองเผลอปล่อยริมฝีปากโจรขืนใจต่ำช้าผู้นี้ตั้งแต่เมื่อใด กว่าจะรู้ตัว แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ก็ใช้ริมฝีปากหยักได้รูปนั่นดูดกลืนความหวานจากริมฝีปากนางอีกครั้ง พร้อมทั้งแบ่งปันรสคาวเลือดจากริมฝีปากตนให้นางอย่างดิบเถื่อน วิปริต“เป็นอย่างไรบ้าง รสชาติโลหิตของคนเฮยเซ่อเย่ว์” เ
last updateآخر تحديث : 2025-08-21
اقرأ المزيد
บทที่ 9
หนิงซินรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในถังอาบน้ำใบใหญ่เนื่องจากเพิ่งจะผ่านพ้นหนแรกและหนที่สองอันโหดร้ายป่าเถื่อนกับบุรุษที่ไม่คิดจะปราณีปราศัยนางแม้สักครึ่งส่วน ยามเมื่อต้องมานอนแช่อยู่ในถังน้ำอุ่นเช่นนี้ แม้จะพาให้สบายเนื้อสบายตัว รู้สึกผ่อนคลายอยู่บ้าง ทว่าตรงส่วนนั้นที่กลางหว่างขา นอกจากความเจ็บแล้ว นางยังค่อนข้างแสบที่แผลฉีกสดใหม่ซึ่งเกิดจากการทะลุทะลวงกระแทกกระทั้น...“อึก...” เพียงเผลอขยับตัว หนิงซินก็ต้องนิ่วหน้า กัดริมฝีปากแน่นขณะกำลังพยายามขบคิดว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในนี้ได้อย่างไร ก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างในถังไม้ใบนี้ที่ไม่ปกติเหตุใด...เหตุใดพื้นของถังไม้ใบนี้จึงไม่เรียบ?ไม่ถูก...ไม่เพียงพื้นไม่เรียบ ก้นถังใบนี้ยังไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าแข็งอย่างพื้นไม้ทั่วๆ ไป ทว่ากลับมีผิวสัมผัสกึ่งแข็งกึ่งนุ่มหนิงซินเลื่อนมือลูบพื้นข้างตัวอย่างไม่เข้าใจสัมผัสแบบนี้...สัมผัสแบบนี้มันคล้ายกับ...“หยุดขยับตัวยุกยิก” เสียงคำรามอย่างเกียจคร้านจากด้านหลังทำเอาหนิงซินตกใจจนหน้าเสีย เป็นจังหวะเดียวกับที่เผลอขยับตัวถอยหลังจนก้นกลมกลึงชนเข้ากับบางอย่างที่กำลังชูชันหากเป็นก่อนหน้านี้ นางคงงุน
last updateآخر تحديث : 2025-08-21
اقرأ المزيد
استكشاف وقراءة روايات جيدة مجانية
الوصول المجاني إلى عدد كبير من الروايات الجيدة على تطبيق GoodNovel. تنزيل الكتب التي تحبها وقراءتها كلما وأينما أردت
اقرأ الكتب مجانا في التطبيق
امسح الكود للقراءة على التطبيق
DMCA.com Protection Status