LOGINเสียงเครื่องยนต์ดับลง รถยนต์คันหรูจอดนิ่งอยู่ในช่องจอดประจำของผู้บริหารระดับสูง เบื้องหน้าอาคารสำนักงานใหญ่โตของ L&T Law ดวงตาของอัจฉราเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ หญิงสาวมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความตกตะลึง กำลังจะหันไปถามคนข้าง ๆ ว่าทำไมถึงพาเธอมาที่นี่ ทว่าเขากลับลงจากรถไปเสียแล้ว
“ลงมา” เจ้าของเสียงทุ้มออกคำสั่งห้วน ๆ เจือความคุกรุ่นที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นผิว ขณะที่ดวงตาคู่คมจ้องเขม็งไปยังหญิงสาวที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ราวกับจะท้าทายเขาอย่างไรอย่างนั้น “บอกให้ลงมา” นทีย้ำอีกรอบ น้ำเสียงกดต่ำลงกว่าเดิม เขาตัดสินใจแล้วว่าถ้าเธอยังไม่ยอมทำตามอีก เขาจะไปกระชากเธอลงมาด้วยตัวเอง อาจเป็นความคิดที่ดูรุนแรง แต่เขามั่นใจแน่ว่าจะทำหากเธอยังทำเป็นนิ่งใส่อยู่แบบนั้น เขาจ้องเธอเขม็งรอคอยให้หล่อนดื้อเงียบใส่อีกครั้ง “รู้แล้วค่ะ... กำลังจะลง...” อัจฉราตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ห้วนสั้นกว่าที่ตั้งใจและกว่าที่เธอจะทันได้คิด หญิงสาวไม่รอให้ชายหนุ่มได้มีโอกาสทำอย่างที่คิด ก็ปลดเข็มขัดนิรภัยและเปิดประตูรถลงไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ยังคงหิ้วถุงยาติดมือมาด้วย พร้อมปิดประตูลงอย่างไม่เบามือนัก นทีกัดกรามแน่น เขามองว่าการกระทำของอัจฉราคือความท้าทายรูปแบบหนึ่ง และมันยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของเขาให้เดือดยิ่งขึ้น เขาไม่ชอบให้ใครมาทำตัวไม่เคารพกันแบบนี้ โดยเฉพาะเมื่อมันมาจากคนที่เคยก้มหัวให้เขามาตลอดแบบเธอ “ดื้อด้าน” เสียงทุ้มสบถออกมาเบา ๆ เขาปิดประตูรถตัวเองลงอย่างแรงเช่นกัน จนหญิงสาวสะดุ้ง เขากำลังสะท้อนการกระทำของหล่อนก่อนหน้านี้ออกมาในแบบที่รุนแรงยิ่งกว่า อัจฉรากำลังทำให้เขาเสียการควบคุมไปเรื่อย ๆ ความดื้อรั้นของเธอมันหยามใจนัก ดวงตาคู่คมดุตวัดมองเธออย่างคาดโทษ ถ้าไม่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังป่วยอยู่ เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะทำอะไรลงไป ก่อนที่จะขาดสติไปมากกว่านี้ นทีก็ก้าวสามขุมอ้อมรถเข้าไปกระชากข้อมือของอัจฉรา แล้วบังคับให้คนร่างเล็กกว่าต้องเดินตามเขามาอย่างไม่ทันขืน “คุณนที! ทำอะไร?! ปล่อยเนยนะ!” เสียงแหวของเธอไม่ได้ทำให้นทีเย็นลงเลยแม้แต่น้อย เขากำลังเดือดกับเธอแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็ในเมื่อเขาเห็นเธอเป็นเหยื่อแล้ว ‘เหยื่อ’ อย่างเธอไม่มีสิทธิ์มาทำตัวจองหองใส่เขา “เงียบ!” เสียงคำสั่งนั้นไม่ทันหายก็มีเสียงหนึ่งกล่าวทัก แต่นทีก็ไม่สนใจ สายตาของเขายังคงฉายแววกราดเกรี้ยวภายใต้สีหน้าที่นิ่งเฉย “คุณนทีสวัสดีครับ!” น้ำเสียงกดต่ำสะท้อนความเกรี้ยวกราดนั้นทำให้หัวใจของอัจฉรากระตุกวูบ เธอสะดุ้งและหุบปากทันทีอย่างไม่กล้าต่อกร ปล่อยให้คนตัวใหญ่กว่าจูงผ่านหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยังไม่ทันตะเบ๊ะ ก็ต้องรับไปเปิดประตูให้กับผู้เป็นเจ้านายของคนทั้งตึกอย่างรวดเร็ว นทีรับรู้ได้ถึงแรงต้านที่อ่อนลงของลูกไก่ในกำมือ ทว่าเขากลับไม่คิดที่จะออมแรงเลยแม้แต่น้อย มือใหญ่พันรอบข้อมือเล็กแน่นขึ้น แต่ไม่ขนาดทำให้เธอเจ็บ แค่ต้องการที่จะไม่ให้เธอหลุดมือไปเท่านั้น เขาหยุดอยู่หน้าลิฟต์ที่เปิดออกพอดี ไม่สนใจสายตาของพนักงานที่พึ่งเดินออกมา เพียงแค่ปรายตามองนิ่ง ๆ จนอีกฝ่ายต้องรีบหลบไปเอง พาอัจฉราเข้าไปในลิฟต์ก่อนจะกดเลขชั้นสูงสุด ประตูเหล็กทึบปิดลงตรงหน้าของคนทั้งสอง ในที่สุดนทีก็ยอมปล่อยข้อมือของเธอออก ฉับพลันราวกับว่าเนื้อหนังของเธอเป็นของร้อนที่ไม่อยากสัมผัสต่อไป ทันทีที่เขาปล่อยมือ ก็รีบถอยไปพิงกับผนังอีกด้านหนึ่งของตัวลิฟต์ ดวงตาคู่สวยสั่นระริก ขณะที่จ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่ม ความรู้สึกกลัวมันชัดเจนมากขึ้น และสายตาที่อัจฉราใช้มองนทีก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วจริง ๆ ไม่เหลือความชื่นชมอีกแล้วแม้แต่น้อย “ฉันไม่ชอบให้ใครมาแผลงฤทธิ์ใส่...” ชายหนุ่มเอ่ยปากทำลายความเงียบลงในที่สุด แต่มันไม่ได้ช่วยให้ความตึงเครียดคลายลงได้เลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงของเขาเย็นเฉียบจับขั้วหัวใจ พร้อมกับสายตาคมดุตวัดไปมองเจ้าของร่างเล็กที่ยืนตัวลีบอย่างเห็นได้ชัด และสะดุ้งเมื่อเขาหันไปมอง “แต่เนยไม่ได้ทำแบบที่คุณนทีพูด...” อัจฉราเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา และสั่นเล็กน้อย เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน... ความรู้สึกที่อยากจะถอยออกไปให้ห่างจากผู้ชายคนนี้ เขาทำให้เธอมั่นใจแล้วว่าภาพลักษณ์อันแสนดีที่เธอเห็นมาตลอด... เป็นของปลอมทั้งนั้น “กล้าพูดจังเลยนะ... แล้วที่ไม่ยอมกินยาตามที่ฉันสั่ง แล้วก็ปิดประตูรถเสียงดังใส่กันคืออะไร?” คิ้วหนาเลิกขึ้น รอยยิ้มหยันปรากฏให้เห็น เขาหันไปเผชิญกับเธอเต็มตัว ร่างสูงบดบังแสงไฟกลายเป็นเงาทาบทับร่างเล็กของอีกฝ่าย จนกลายเป็นเงาทมิฬที่ข่มขวัญหล่อนได้ไม่น้อยเลย “เนย... เรื่องนั้นเนยไม่ได้ตั้งใจ” หัวใจของอัจฉรากระตุกวูบ คำตอบของเธอเปรียบเสมือนการแก้ตัวในหูของนที หญิงสาวเม้มปากเบา ๆ พลางกลืนน้ำลายด้วยความเหนียวคอ ก่อนที่จะตัดสินใจเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายในที่สุด แววตาของหล่อนฉายความรู้สึกที่ผสมผสานหลากหลายจนแทบแยกไม่ออก แต่ที่แน่ ๆ มีแววท้าทายซ่อนอยู่ในนั้น “แล้วคุณนทีล่ะ... ทำไมต้องทำอะไรแบบนั้นด้วย... เนยน่ารำคาญขนาดนั้นเลยเหรอคะ” ดวงตาคู่คมหรี่ลงเมื่อสิ้นคำถามของหญิงสาว เขามองเข้าไปในดวงตาสียางไม้ที่ฉายแววหวาดหวั่นนั่น แต่ก็เห็นความท้าทายเช่นกัน รอยยิ้มของนทีขยายกว้างขึ้น แต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่น่าพึงพอใจเลยแม้แต่น้อย... ดูเหมือนลูกนกจะรู้จักวิธีกางปีกแล้วสินะ “ใช่” คำตอบสั้น ๆ นั้นทำให้ดวงตาคู่สวยที่แต่เดิมสั่นไหวกระตุกวูบ นิ่งชะงักงันไปชั่วขณะ แต่แค่นี้ยังไม่พอใจ ร่างสูงใหญ่ขยับเข้าไปใกล้เธอช้า ๆ ราวกับแมวที่กำลังตะครุบเหยื่อ สายตาของเขาจับจ้องเธอไม่วางตา ก่อนจะใช้มือดันกำแพง กักเธอเอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง โน้มใบหน้าลงไปใกล้จนปลายจมูกแทบจะสัมผัสกัน แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนเป้าหมายไปกระซิบข้างหูของเธอแทน “เธอมันน่ารำคาญเนย... น่ารำคาญมาตลอด... วิธีที่เธอมองฉัน... วิธีที่เธอหน้าแดงตอนที่ฉันเผลอทำดีด้วย... มันน่ารำคาญจนอยากจะกำจัดเธอไปให้พ้นด้วยซ้ำ” ลมหายใจอุ่นคลอเคลียใบหูของอัจฉรา ส่งผลให้ขนลุกซู่ทั้งตัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ หล่อนยืนตัวแข็งทื่อ เผลอกลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่คำพูดของเขายังไม่หยุดสร้างบาดแผลสดใหม่ให้ใจของเธอ นทีที่เห็นแบบนั้นก็ยิ่งได้ใจ เขาโน้มใบหน้าลงอีกเล็กน้อยจนริมฝีปากเฉียดใบหูของเธอเล็กน้อย “แต่รู้อะไรไหม ว่าอะไรที่ทำให้ฉันรำคาญที่สุด... เธอไง... การมีอยู่ของเธอ... มันทำให้ฉันรำคาญใจจนแทบบ้า...” นทีกลืนน้ำลายเบา ๆ กลิ่นน้ำหอมจากกายหล่อนทำให้เขาเผลอสูดหายใจเข้าลึก นัยน์ตาสีนิลที่เคยฉายแววกราดเกรี้ยวเมื่อครู่ ตอนนี้ผสมความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้มันวาวโรจน์ขึ้นมา ดวงตาคู่คมตวัดมองเสี้ยวหน้าที่ซีดเผือดของหญิงสาว ดวงตาที่สั่นไหว ริมฝีปากอิ่มที่เม้มเข้าหากัน... มันทำให้นึกอยากทำตามใจตัวเอง ‘ติ้ง’ ทว่าประตูลิฟต์ก็เปิดออกเสียก่อน นทีกระตุกยิ้มมุมปากเบา ๆ แน่ใจแล้วว่าข่มขวัญอัจฉราได้สำเร็จ เมื่อเห็นว่าเธอเงียบและไม่ตอบโต้อีกต่อไปแล้ว เขาดันตัวเองขึ้นจนกลับมายืนสูงสง่าเหนือเธออีกครั้ง ดวงตาคู่คมจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาสียางไม้ที่ฉายแววเจ็บปวดของเธอ “ตามมา” สิ้นคำสั่งคนร่างสูงก็เดินนำออกไปจากลิฟต์ทันที เขาไม่เหลียวกลับไปมองคนที่พึ่งถูกคำพูดทำร้ายหัวใจไปหมาด ๆ ปล่อยให้เธอซึมซับมันไปอย่างเต็มที่ แค่อย่าหลบไปเลียแผลใจตัวเองก็พอ และนทีก็มั่นใจว่าหล่อนจะไม่ทำ... ผู้หญิงแบบอัจฉราเจ็บไม่ใช่ประเภทที่จะเจ็บแล้วจำ ถ้าจำ... เธอคงไม่วนเวียนอยู่รอบตัวเขามานานหลายปีขนาดนี้ ทั้งที่ตัวเธอเองมีความสามารถพอที่จะไปสยายปีกเป็นหงส์ที่ไหนก็ได้แท้ ๆ อัจฉรายืนนิ่งงัน จุกไปหมดแล้ว... หัวใจของเธอเหมือนถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้น ๆ กับคำตอบที่แสนจะร้ายกาจนั่น ที่เธอเป็นคนถามหามันเอง แต่เหมือนจะรับความจริงได้ไม่ดีเอาเสียเลย กระบอกตามันร้อนผ่าว ดวงตาเริ่มฉ่ำน้ำ ในขณะที่เธอมองตามร่างสูงไป ความรู้สึกเหมือนมองใครที่ไม่ใช่คนที่ตัวเองรู้จักก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นทุกที อัจฉราสูดหายใจเข้า แหงนหน้าขึ้นฟ้าห้ามน้ำตาตัวเอง ก่อนที่จะก้าวเดินออกไปจากลิฟต์ ทุกก้าวที่ตามเขาหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็น โชคดีที่บริเวณโดยรอบไม่มีใครอยู่เห็น... ความอัปยศของเธอ นทีหยุดลงหน้าห้องทำงานส่วนตัวของเขา ความเงียบสงัดทำให้ยกข้อมือที่สวมนาฬิกาเรือนหรูขึ้นมาดูเวลา คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยเมื่อพบว่าตอนนี้เพิ่งจะเที่ยงวันกว่า ๆ เท่านั้น มือใหญ่สอดเข้าไปพักในกระเป๋ากางเกงผ้าเนื้อดี คอยฟังเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาที่เดินตามหลังมา ก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูออกมา กดไม่กี่ครั้งและเอาแนบหู รอสายเพียงไม่กี่อึดใจสัญญาณก็ตอบรับ “เลขาภีม... ช่วยซื้อข้าวมาให้ผมหน่อย... อะไรก็ได้... เอามาสองชุด... เร็วหน่อยก็ดี” เสียงทุ้มนุ่มลงกว่าตอนที่ใช้กับหญิงสาวชัดเจน หลังจากสั่งการเสร็จแล้ว เขาก็เปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวอันโอ่อ่าของตัวเอง ที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีเข้มครบครัน เหมาะสมทุกมุม เขาไม่ได้เรียกให้อัจฉราตามเข้ามา แต่เปิดประตูอ้าเอาไว้... รอให้หนูน้อยวิ่งเข้ามาในถ้ำด้วยขาของตัวเอง และเมื่อถึงเวลานั้นนทีจะทำให้หล่อนรู้ว่า ถ้ำของเขา พื้นที่ส่วนตัวที่เขาหวงนักหวงหนา ถ้าได้เข้ามาแล้วจะไม่สามารถหาออกได้ง่าย ๆ เพราะเขาไม่ใช่ประเภทที่จะปล่อยเหยื่อออกจากถ้ำง่าย ๆ ถ้าเขาง่าย... คงไม่มีชื่อของ ‘นที เลิศธารินทร์’ เป็นหนึ่งในทนายฝีมือดีที่แม้แต่ฝั่งตรงข้ามยังไม่อยากเจอเขาหน้าบังลังก์คำพูดรู้ทันของนทีตัดผ่านความเงียบขึ้นมา ทำให้อัจฉราใจหายวาบ สะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจผสมอาย เพราะลืมไปเสียสนิทว่าคนปากร้าย ตาดี หูไว สมกับที่ประกอบวิชาชีพทนายความอันลือชื่อของเขาจริง ๆกระนั้นอัจฉราก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรอีกแล้ว เธอสะกดกลั้นความเจ็บใจเอาไว้ ความอดทนประเภทนั้นทำให้นทีต้องหัวเราะ ‘หึ’ ออกมา มองร่างเล็กกลับเข้าไปในครัว เทข้าวต้มที่เหลืออยู่แทบเต็มชามลงถังขยะตามคำสั่งอย่างน่าพึงพอใจคนร่างบางเดินวนรอบราวกับหนูติดจั่น แต่เป็นหนูที่ยังละทิ้งหน้าที่ของตนเองไปไม่ได้เสียที กลีบปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากัน หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งยังปวดหัวตุบ ๆ อย่างไม่สบายตัวจนต้องสะบัดหัวเบา ๆ เดินไปที่อ่างล้างจานทุกอย่างอยู่ในสายตาของนที ซึ่งกำลังจิบน้ำเปล่าเงียบ ๆ อยู่ที่เดิม ความอ่อนแอของอัจฉราเริ่มชัดเจนมากขึ้น เธอฝืนร่างกายทำงานหนักตลอดทั้งวันและคืนจนเห็นผล ทว่านทีไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยที่ใช้เธอขนาดนี้ ทั้งที่เห็นอยู่ว่าสภาพของหญิงสาวเกินจะรับไหวแล้วกระทั่งชามเซรามิกลื่นฟองสบู่ในมือของหล่อนร่วงลงพื้นเสียงดัง ‘เพล้ง!’ กระเบื้องสีขาวแตกเป็นชิ้นเ
อัจฉรายกหม้อข้าวต้มลงจากเตาด้วยมือที่สั่นนิด ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา สุดท้ายก็ทำเสร็จเสียที เธอตักข้าวต้มใส่ชาม โรยต้นหอมและกระเทียมเจียว แล้วนำไปวางลงบนโต๊ะอาหาร ดวงตาที่อ่อนล้าอย่างชัดเจนกวาดมองห้องโล่งหรูที่เงียบผิดปกติ ทีวีจอใหญ่ยังคงเปิดค้างเอาไว้ ฉายรายการข่าวรอบดึก แต่คนที่เคยนั่งดูอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ไร้วี่แววของตัวตน หญิงสาวไม่รู้ว่าเขาหายไปเมื่อไหร่ ทว่าการไม่เห็นก็ใช่ว่าความหนักอึ้งในอากาศจะหายไป อัจฉราเผลอเม้มปากเล็กน้อย ยังคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกร้อนผ่าวเหนือริมฝีปากจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ตรึงตราอย่างยากที่จะลืมเลือน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามปฏิเสธที่จะรู้สึกถึงมันอยู่ดี หล่อนส่ายหัวเบา ๆ สูดหายใจเข้าลึก เรียกสติให้หยุดเพ้อเสียที “ก็แค่จูบ... จะไปคิดมากทำไม ขนาดจูบกับหมายังไม่เห็นต้องคิดอะไรเลย” แม้ว่าความรู้สึกปวดหนึบผสมกับความขุ่นเคืองมันยังคงกัดเซาะหัวใจของเธออยู่ก็ตาม... “.....” ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มหยัน คำพูดของอัจฉรากระทบเข้าสู่โสตประสาทชัดเจนเลยทีเดียว นทียืนอยู่ที่ตีนบันไดทางลงจากช
แกร๊ก “เข้ามา” เจ้าของห้องออกคำสั่งอย่างราบเรียบ ร่างสูงเข้าไปในห้องขนาดกว้างครอบคลุมทั้งชั้นก่อน ประตูที่เปิดกว้างเผยให้เห็นด้านในที่ตกแต่งด้วยโทนสีดำ เทาเข้ม และสีขาว พื้นหินอ่อนวาววับสะท้อนแสงไฟสีนวลจากทั่วทุกมุมห้อง สอดคล้องกับตัวตนของผู้เป็นเจ้าของเพนท์เฮาส์แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ‘ทำไมต้องพามาที่นี่ด้วย... ในเมื่อทุกทีก็เห็นกลับบ้านตลอด’ อัจฉรามองเข้าไปข้างในห้องของนที ก็อดคิดคิดในใจไม่ได้ เธอไม่ได้ตื่นเต้นกับความหรูหราของสถานที่เลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เป็นเมื่อก่อนคงจะดีใจมากที่ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่เปรียบเสมือนโลกอีกใบของเขา แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม... ก็เหมือนที่เธอมองนทีไม่เหมือนก่อนเช่นกัน สายตาจ้องมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้าด้วยความขุ่นเคืองผสมกับความหวาดหวั่นเล็กน้อย จนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างแผ่วเบาเรียกสติ ทำใจดีสู้เสือ ก่อนจะยอมเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง เสียงประตูปิดลงอย่างแผ่วเบาเบื้องหลัง แต่อัจฉราก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ภาพสะท้อนของคนตัวเล็กที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังบนกระจกหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน ทำให้เผลอกระตุกยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะนทีคาดหวังว่าจะได้เห็นอ
“คุณนที... พูดบ้าอะไรออกมา... รู้ตัวบ้างไหม” น้ำเสียงของอัจฉราแผ่วเบา หัวของเธอรู้สึกตื้อไปหมดจนเกือบจะประมวลผลไม่ทัน แววตาที่สั่นระริกและชุ่มชื้นไปด้วยน้ำตา บัดนี้จ้องลึกลงไปที่ดวงตาคู่คม ราวกับจะหาคำตอบว่าใครกันที่พ่นข้อเสนออันแสนจะหยาบคายนั้นออกมา นทีหัวเราะ ‘หึ’ ในลำคอ เขาไม่ละสายตาไปจากแววตาฉ่ำน้ำที่มองมายังเขา เหมือนเป็นการตอบคำถามที่เธออยากรู้โดยที่ไม่ต้องอธิบาย ว่าคน ‘หยาบคาย’ คนนั้น มันก็คือตัวตนของเขาเอง... ด้านที่ไม่เคยเผยให้ใครได้รู้จักมาก่อน “รู้สิ... แต่ถ้าอยากได้ยินอีกครั้งก็จะย้ำให้... ฉันอยากให้เธอ ‘มอง’ แค่ฉัน ‘คนเดียว’ เท่านั้น... เหมือนที่เธอเป็นมาตลอด... อย่าลืมตัวสิ เนย” เสียงทุ้มพร่าว่าพลางเลื่อนมือที่กุมอยู่หลังคอที่ร้อนระอุของหญิงสาว เคลื่อนมาช้า ๆ จนถึงปลายคางเชิด แล้วเชยคางหล่อนให้สบตากับเขาชัด ๆ ก่อนจะไล่สายตามองริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้บวมเจ่ออย่างน่าพึงพอใจ “แต่นั่นมันไม่เกี่ยวกัน! นั่นมันเรื่องของเนย เนยรับผิดชอบเองได้ คุณนทีมีสิทธิ์อะไรมาสั่ง” น้ำเสียงของอัจฉราเจือไปด้วยความสั่นเครือ แม้ว่าจะพยายามเป็นเข้มแข็ง แต่หัวใจของเธอกลับเต้นไม่หยุด ยังคง
เสียงหัวเราะ ‘หึ’ ดังออกมาจากลำคอ ยอมรับว่าเขาถูกใจไม่น้อยเลยที่ทำให้อัจฉราหางโผล่จนได้ แววตาที่เยือกเย็นหันกลับมามองเธอช้า ๆ เป็นแววตาของนักล่าอย่างไม่ปิดบังเช่นกัน “บ้าเหรอ... หึ... กล้า... กล้าดีนักนะ เนย” สิ้นประโยคฝ่ามือใหญ่ก็กระแทกลงบนแผงควบคุมลิฟต์อย่างจัง เสียงดังจนคนร่างบางสะดุ้งโหยง ถอยหลังไปประชิดกับผนังที่เย็นเฉียบโดยสัญชาตญาณ พร้อมกันนั้นลิฟต์ก็ค้างทันที ชายหนุ่มกดปุ่มหยุดการทำงานเอาไว้ โดยที่สายตาไม่ละไปจากอัจฉราเลย รอยยิ้มร้ายกาจแบบที่น้อยคนจะได้เห็นนักปรากฏขึ้น ขณะที่ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้คนตัวเล็กกว่าที่พยายามชูคอหวังจะฉก แต่มันไม่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อยเหมือนลูกแมวที่พยายามข่วนกลับมากกว่า “คุณนที... จะทำอะไร... ถอยออกไปนะ!” อัจฉราส่งเสียงขู่อีกฝ่าย แต่กลับสั่นและไร้น้ำหนักอย่างน่าเจ็บใจ ผู้ชายที่รักและเทิดทูนในใจมาตลอดตอนนี้กลับแยกเขี้ยวใส่ น่ากลัวและพร้อมที่จะกัด หญิงสาวขยับหนีเขาไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่มีพื้นที่ให้ไป ก่อนจะต้องตกใจเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาประชิดกะทันหัน ปึง! เสียงฝ่ามือหนากระแทกเข้ากับกำแพงข้างศีรษะ แรงพอที่จะทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวและลิฟต
“คุณนที” “.....” “เจ็บไหม... เนยขอโทษนะ” น้ำเสียงหวานแผ่วดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของรถยนต์ที่ยังคงขับฝ่าฝนไปด้วยความเร็วคงที่ สายตาของหญิงสาวฉายแวววูบไหวเล็กน้อย เมื่อเอ่ยประโยคที่ทั้งถามและขอโทษ ทว่านทีกลับยังคงนิ่งเฉย เขาไม่ตอบคำถามของเธอหรือว่าแสดงปฏิกิริยาอะไรนอกเหนือไปจากความเงียบที่มีเท่านั้น ใบหน้าหล่อยังคงเรียบเฉย แววตาอ่านไม่ออกภายใต้แสงไฟที่สะท้อนผ่านมาเป็นระยะ เผยให้เห็นมุมปากที่มีรอยแผลสด อัจฉรามองเสี้ยวหน้านั้นด้วยความรู้สึกผิดที่ล้นหัวใจ แม้ว่าเมื่อกลางวันจะรู้สึกเคืองเขามากแค่ไหนก็ตาม ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เธอไม่รู้ว่านทีเขาแค่ผ่านมาเพราะความบังเอิญหรือเปล่า แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือเขาต้องมาเจ็บตัวเพราะเธอ ดวงตาสียางไม้สั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ยอมตอบคำถามของเธอ แทนที่จะเร่งเร้าเขาต่อไป หญิงสาวเลือกที่จะละสายตามองออกข้างทางแทน เธอไม่กล้าแล้ว... แม้จะทั้งความกังวลและห่วงแค่ไหน แต่ก็รู้ตัวดีว่าไม่ได้มีสิทธิ์ไปก้าวก







