“หนูขอร้องนะคะเฮีย ตอนนี้หนูกับแม่ลำบากกันมากจริง ๆ”
เสียงสั่นเครือออกมาจากปากของหญิงสาวที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องยอมก้มหัวให้ใครมาก่อน แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้วในขณะที่อัจฉรากำลังเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้ของพ่อเป็นการส่วนตัว ณ จุดนี้หล่อนยอมลดศักดิ์ศรีที่มันค้ำคอลงบ้าง อย่างไรเสียหล่อนก็แทบไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้ว ยิ่งถ้าต้องเป็น ‘ตัวของเธอ’ ยิ่งไม่มีทาง “แล้วหนู... มั่นใจได้ไงว่าจะไม่บิดเฮีย?” เฮียโจ้ ชายหน้าโหด รูปร่างผอมบางแต่สักเต็มตัว คำพูดของเขาห้วนสั้น ไม่กรรโชกแต่แฝงไปด้วยความกดดันอย่างผู้ที่รู้ว่าตัวเองเหนือกว่าชัดเจน การแสดงออกนั้นดูไม่ยากที่จะสังเกตได้จากสายตาที่มักจะจ้องอัจฉราด้วยความพึงพอใจบางอย่างตั้งแต่หล่อนกล้าก้าวขาเข้าในรังของเขาตั้งแต่แรกแล้ว “หนูสัญญาว่าหนูไม่เบี้ยวเฮียแน่นอนค่ะ นะคะเฮีย... ให้หนูใช้หนี้แทนพ่อนะ” “โอ๊ย พูดมันก็พูดกันได้ง่าย ๆ หนู ตอน ‘ไอ้ยศ’ มันก็แทบจะคลานเข่ามาขอเฮียด้วยซ้ำ แต่ดูตอนนี้มันหนีไปไหนแล้วล่ะ?” เจ้าหนี้หนุ่มพูดขึ้นเสียงดัง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเย้ยหยันระคนขบขัน ทำให้คนฟังใจหายวูบ เขามองอัจฉราที่หน้าเริ่มถอดสี พลางนั่งไขว่ห้างเอนหลังพิงโซฟาสบาย ๆ แต่สายตาก็ยังไม่หยุดมองหญิงสาว ทิ้งความกดดันเอาไว้ให้เธอแบกรับจนต้องก้มหน้าหลบสายตา “หนู... หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าพ่อหายไปไหน” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา หล่อนรู้สึกชาไปทั้งหน้าจากความอัปยศที่เกิดขึ้น กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากันเบา ๆ ขณะที่มือกำกระเป๋าเป้ใบเก่งที่บนตักแน่นขึ้น บ่งบอกถึงความตึงเครียดและความกดดันที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงหัวเราะร่วนของเฮียโจ้ดังขึ้น อัจฉรารีบผงกหัวขึ้นมองอีกครั้ง แววตาแสดงออกถึงความสับสนอย่างไม่ปิดบัง ตามมาด้วยอาการนิ่งงันอย่างฉับพลัน ความรู้สึกเย็บเฉียบแล่นริ้วไปตามแนวกระดูกสันหลัง รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องกับประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยถามออกมา “ไม่รู้? หนูก็ตอบง่ายดีว่ะ ฮ่า ๆ ๆ!” เสียงหัวเราะของเฮียโจ้ก้องกังวาน เขาแหงนหน้าหัวเราะอย่างชอบใจ แต่แล้วมันก็หยุดลงอย่างฉับพลันเมื่อเขาจ้องไปยังหญิงสาวอีกครั้ง คราวนี้สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความต้องการบางอย่าง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเสนอตัวเลือกให้หล่อนด้วย “เฮียว่าเอางี้นะ... หนูแค่ตอบเฮียมาเลยดีกว่าว่าหนูจะ ‘เลือกอะไร’ เฮียน่ะคนใจเย็น แต่เฮียก็หมดความอดทนเป็นเหมือนกัน ตอบเฮียมา... วันนี้หนูมีเงินมาคืนเฮียไหม ถ้าไม่... หนูก็รู้อยู่แล้วเนอะว่าเฮียจะเอา ‘อะไร’ มาทดแทน” ดวงหน้าหวานของอัจฉราซีดเผือดจนเกินคำว่าถอดสีไปแล้ว หล่อนไม่จำเป็นต้องตีความอะไรเลยในทุกประโยคที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้น มันชัดเจนจนไม่ต้องหาคำตอบ หญิงสาวสบตากับชายหน้าโหดด้วยความรู้สึกเหมือนมีหินก้อนใหญ่กำลังกดทับอยู่กลางอก ด้วยมือที่สั่นเทาหญิงสาวก้มหน้าก้มตา เสียงรูดซิปดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่น่าอึดอัด ก่อนที่หล่อนจะหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาอย่างเกินกว่าจะคาดคิด “หนูมีเงินเก็บอยู่ห้าหมื่น...” ด้วยมือที่สั่นเทาอัจฉราวางเงินก้อนนั้นลงบนโต๊ะตรงหน้าเฮียโจ้ที่มองมันด้วยสายตาฉายแววประหลาดใจ กลิ่นเงินและสัมผัสของแบงก์ใหม่ ทำให้รู้สึกใจหายอย่างไม่อาจเลี่ยง แต่ก็ไม่มีทางอื่นแล้วเช่นกัน “หนูไม่รู้ว่าพ่อติดหนี้เฮียอยู่แค่ไหน... แต่ตอนนี้หนูมีอยู่แค่นี้จริง ๆ ขอร้องนะคะเฮีย... อย่าเอาหนูไปเลยนะคะ แม่ของหนูก็อายุมากขึ้นทุกวัน มีโรคประจำตัว ถ้าไม่หนูก็ไม่มีใครดูแกแล้ว” เฮียโจ้ยกยิ้มมุมปาก สายตาที่แสดงออกถึงความประหลาดใจเมื่อครู่ เปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแต่ก็แฝงไปด้วยความพึงพอใจอย่างอันตราย เขาเลิกนั่งไขว่ห้างและโน้มตัวไปข้างหน้า มือใหญ่ที่ผอมจนเห็นเส้นเลือดชัดเจนอย่างน่ากลัวยื่นออกไปหยิบเงินมัดนั้นมาถือเอาไว้ พลิกไปมาและกรีดนิ้วผ่านแบงก์ทีละใบเพื่อตรวจสอบ “หนูนี่ฟังดูก็เป็นลูกประเสริฐจริง ๆ ไม่น่ามีพ่อทำตัวส้นตีนแบบนั้นเลยเนอะ” เฮียโจ้แค่นหัวเราะ พร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะโยนเงินมัดเดิมลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ เงยหน้าสบตากับหญิงสาวที่กำลังมองของอยู่ด้วยแววตาที่สั่นไหวด้วยความกลัว แต่ก็แฝงไปด้วยแววเว้าวอน... นั่นมันช่างน่าสนใจและน่าเวทนาซะไม่มี “แต่ ‘แค่’ ห้าหมื่นไม่พอหรอกนะหนู ยอดจริงนะมันตั้ง ‘สองแสนแปด’ นี่เฮียยังไม่รวมดอกเบี้ยเข้าไปด้วยนะ” อัจฉรารู้สึกเหมือนจะล้มทั้งยืนทั้งที่ตัวแข็งทื่อไปหมด ดวงตาเบิกกว้าง หัวตื้อจนคิดอะไรไม่ออกไปชั่งขณะ ‘สองแสนแปด’ เงินตั้งมากมายขนาดนั้น คือจำนวนที่พ่อของเธอหมดไปกับเล่นการพนัน สุรายาเมาจนหมดนั่นเลยหรือ... อัจฉรารู้มาตลอดว่าพ่อเธอเป็นคนอย่างไร แต่ไม่คิดว่าเขาจะแอบสร้างหนี้ไว้มากกว่าที่คิดและหนีขายไปแบบนี้! เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปด้วยความตกใจ เจ้าหนี้นิสัยเหลี่ยมจัดก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มมุมปาก สายตาที่มองหญิงสาวเต็มไปด้วยการประเมินค่าอย่างพึงพอใจ ยังไม่ทันไรก็คิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือหล่อนเสียแล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นเจ้าหนี้ และตอนนี้อัจฉราก็ยอมรับสภาพหนี้แทนพ่อของเธอไปแล้ว “เอาเถอะ! ถือว่าเฮียเห็นใจหนูละกัน เฮียไม่เอาดอกก็ได้ ยังไงวันนี้หนูจะมีเงินมาให้เฮียก็จริง... แต่เฮียมีเงื่อนไข ภายในสามเดือนถ้าหนูหาเงินต้นมาคืนเฮียไม่ครบ...” เฮียโจ้มองอัจฉราอีกครั้งตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเลื่อนกลับมาสบตาเธออีกครั้ง ดวงตาของหล่อนสั่นไหว... ช่างถูกใจเขาเสียจริง “หนูต้องมาเป็นเด็กเฮียอย่างไม่มีข้อแม้... วันนี้เฮียเอาเงินห้าหมื่น แต่ครั้งหน้าต้องสองแสนแปด จำใส่หัวสวย ๆ หนูเอาไว้ด้วยล่ะ” ร่างบางเดินเหมือนคนหมดแรงไปตามฟุตบาทริมถนนใหญ่ในยามค่ำคืน อากาศชื้นเหมือนฝนใกล้จะตกแล้ว แต่อัจฉรายังคงใจลอยไปกับถ้อยคำนั้นที่ยังฝังอยู่ในหัว ความรู้สึกสิ้นไร้หนทางประเดประดังเข้ามาราวกับพายุลูกใหญ่ในใจ หลายครั้งที่หล่อนมีความคิดบ้า ๆ ถามตัวเองว่า ถ้าหากเดินลงไปบนถนนตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น... เรื่องมันจะจบลงหรือเปล่า แต่สุดท้ายอัจฉราก็ไม่กล้าพออยู่ดี ต้องยอมก้มหน้ารับชะตากรรมที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ เดินอยู่นานเป็นชั่วโมงจนเหงื่อกาฬท่วมตัว หายใจหอบถี่ด้วยความเหนื่อย แต่หล่อนไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว แม้แต่เงินค่ารถไม่กี่บาทตอนนี้ยังต้องคิดหนักจนไม่กล้าใช้ กระเป๋าเป้ใบเก่งตอนนี้เบาหวิวจนแทบไม่รู้สึกถึงน้ำหนักที่ไหล่ ราวกับฟ้าฝนรับรู้ได้ถึงความทุกข์ระทมและความเศร้าโศกที่แบกรับเอาไว้ ท้องฟ้าส่งเสียงคำรามลั่น ทันใดนั้นสายฝนก็กระหน่ำเทลงมาเย้ยหยันชีวิตที่มันบัดซบนี้ เสื้อผ้าของอัจฉราค่อย ๆ หนักขึ้นตามปริมาณของน้ำฝนที่ เปียกชุ่มภายในเวลาอันรวดเร็วจนดูไม่จืด แต่อัจฉราก็ยังคงเดินต่อไปเหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้ชีวิต หุ่นยนต์ที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ แม้น้ำตาเจ้ากรรมของตัวเองมันไหลรินลงมาแข่งกับสายฝน ม่านน้ำตาบดบังการมองเห็นในยามราตรีกาลที่มืดมนแถมเป็นคืนที่มีพายุเข้า ร่างบางสั่นระริกด้วยความหนาวเย็นที่เริ่มกัดผิว กลีบปากอิ่มซีดคล้ำ ขณะที่ฟันกระทบกันจนเกิดเสียง ใครขับรถผ่านไปผ่านมาก็คงคิดว่าหญิงสาวคนนี้ถ้าไม่บ้าก็คงไม่เต็ม เพราะคงไม่มีคนปกติที่ไหนมาเดินตากฝนอยู่แบบนี้ ขณะเดียวกันบนถนนใหญ่เส้นเดียวกันห่างจากร่างบางกลางสายในไปไม่ไกล รถยนต์ซีดานสีดำเงาก็ปรากฏให้เห็น ซึ่งกำลังขับฝ่าพายุไปด้วยความเร็วคงที่ คนขับควบคุมการเคลื่อนไหวด้วยความชำนาญแม้ถนนจะลื่นกว่าปกติ ตามรายงานสภาพอากาศบอกว่าคืนนี้พายุจะเข้า ซึ่งก็จริงเพราะตอนนี้วิสัยทัศน์ภายนอกขาวโพลนไปหมดแล้ว นที ผู้เป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวขับไปตามเส้นทางประจำเพื่อกลับบ้านเป็นปกติ ดวงตาคู่คมมองถนนเบื้องหน้าผ่านกรอบแว่นสายตาด้วยสมาธิ ไม้ปัดน้ำฝนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพปาดหยดน้ำออกจากกระจกให้มองเห็นทาง ผสานกับไฟสูงในสภาพอากาศที่ย่ำแย่ ความเร็วรถค่อย ๆ ชะลอตัวลงอีกระดับขณะที่กำลังจะเปลี่ยนเส้นทาง ทว่าในจังหวะนั้นเองด้วยความบังเอิญ สายตาอันเฉียบคมของเขาเผลอมองไปข้างทางอย่างไม่ได้ตั้งใจ นทีกลับจดจำร่างหนึ่งที่เดินอยู่บนฟุตบาทได้ในทันที กลุ่มผมสีแดงที่ตอนนี้เปียกน้ำฝนจนลู่ไปตามลำคอและแผ่นหลังของเธอ ไหนจะผิวขาวซีดเพราะความหนาวเย็นนั่น ผู้หญิงผมแดงเพียงคนเดียวในตอนนี้ที่นทีรู้จักมีเพียงคนเดียวเท่านั้น... อัจฉรา คิ้วหนาขมวดเล็กน้อยด้วยความช่างสังเกตที่ ติดเป็นนิสัย ‘ทำไมเธอถึงมาเดินตากฝนแบบนี้’ นทีตั้งคำถามอย่างอดไม่ได้ด้วยความอยากรู้ ไม่ใช่เพราะความห่วงใยแต่อย่างใด เพราะแทนที่เขาจะจอดดูชายหนุ่มกลับเร่งเครื่องขับผ่านเธอไปทันที สายตาเผลอมองผ่านกระจกมองหลัง ในจังหวะนั้นร่างบางก็ทรุดตัวลงไปพอดี ดวงตาคู่คมก็หรี่ลงเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจ “โง่หรือบ้ากันแน่...” เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเอง สีหน้าของเขายากที่จะอ่านออก ชายหนุ่มขับรถเข้าเลนขวาสุดอย่างฉับพลัน ก่อนจะกดย้อนเกียร์ถอยหลังไปเทียบขอบฟุตบาทตรงจุดที่เห็นอัจฉรา เมื่อพอดีแล้วเขาก็ลดกระจกลงเพื่อมองออกไป ทำให้น้ำฝนกระเซ็นมาโดนเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ สายตาจ้องไปยังร่างเล็กที่นั่งตัวสั่นระริกและยังไม่รู้ตัว “จะไปไหน... ขึ้นมาสิ...” นทีเรียกเสียงดังกว่าเสียงฝนอย่างตั้งใจ น้ำเสียงที่คุ้นหูนั้นเข้าหูอัจฉราอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้ หล่อนผงกหัวหันมามองเขาอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่แดงก่ำของหล่อนฉายแววตกใจไม่น้อยที่เห็นว่าเป็นเขา มือของนทีกำพวงมาลัยแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นใบหน้าของอัจฉราชัด ๆ มันไม่ใช่เรื่องของเขาเลยสักนิด... แต่เพราะเธอเป็นเด็กในบ้านของเขา เพราะยังไงเสียก็คนคุ้นเคย จะปล่อยผ่านไปเฉย ๆ อย่างที่คิดจึงไม่ง่าย ทั้งที่นทีจะรู้อยู่เต็มอกว่าหญิงสาวคิดอย่างไรกับเขาก็ตาม ไม่ต้องการให้เธอเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของเขาด้วยซ้ำ แต่พอเห็นเธออยู่ในสภาพนี้... จะปล่อยไปเฉย ๆ ก็คงดูจะใจดำเกินไป อัจฉราลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ หัวใจพลันเต้นผิดจังหวะ หล่อนรีบหันหน้าหนีเพื่อเช็ดน้ำตา ทั้งที่สายฝนน่าจะทำให้ดูไม่ออกอยู่แล้วว่าเธอกำลังร้องไห้ แต่เพราะคนคนนั้นคือนที หญิงสาวก็ไม่อยากให้เขาเห็นความน่าสมเพชของเธอเลยแม้แต่น้อย เมื่อจัดการกับตัวเองเสร็จแล้วหล่อนก็หันไปทางเขาอีกครั้ง “ไม่เป็นไรค่ะ... เนยเปียกไปทั้งตัว...” อัจฉราปฏิเสธเสียงสั่นเพราะหนาว ช่วยปิดบังความจริงที่ว่าหล่อนร้องไห้ได้บ้าง แต่สายตากลับหลุบมองพื้นไม่กล้าสบตากับเจ้าของนัยน์ตาคู่คมภายใต้กรอบแว่นนั้นตรง ๆ อยู่ดี “เดี๋ยวจะทำให้รถคุณนทีเปียกไปด้วยเปล่า ๆ...” “ไม่ต้องห่วงรถ... ขึ้นมา” นทีจับสังเกตเห็นความผิดปกติในท่าทางและน้ำเสียงของหญิงสาวชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการรับหันไปเช็ดน้ำตา การพยายามทำเหมือนว่าไม่เป็นอะไร ซึ่งไม่ใช่เรื่องของเขา แทนที่จะมาเสียเวลากับบทสนทนาไร้ประโยชน์ นทีเลือกที่จะปลดล็อกประตูฝั่งผู้โดยสารอย่างเด็ดขาด เสียง ‘แก๊ก’ ดังขึ้น จากนั้นเขาก็เลื่อนกระจกฝั่งตัวเองขึ้นจนปิดสนิท บ่งบอกว่าไม่ต้องการข้ออ้างใด ๆ อีกต่อไป อัจฉรามองไปยังกระจกที่ติดฟิล์มมืดแทบมองไม่เห็นด้านใน มันเหมือนกับการตอกเส้นคั่นระหว่างกันที่เธอไม่ทางข้ามไปได้แม้จะอยู่บนทางเดียวกันก็ตาม กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากันเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจวิ่งอ้อมรถขึ้นไปนั่งในฝั่งผู้โดยสาร อัจฉราปิดประตูอย่างแผ่วเบา แม้จะสับสนกับสถานการณ์แต่หล่อนก็ยังเกรงใจเขาอย่างถึงที่สุด “คาดเข็มขัดด้วย” ขณะเดียวกันนทีก็รอด้วยความอดทน เมื่อเห็นว่าอัจฉราทำตามเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็เข้าเกียร์เดินหน้าและเหยียบคันเร่งขับออกไปทันที โดยที่ไม่มีบทสนทนาใด ๆ ระหว่างเขากับเธอเกิดขึ้นอีกเลย นอกจากความเงียบที่โรยลงตัวอย่างน่าอึดอัด เสียงฝนและเสียงเครื่องยนต์เท่านั้นความเงียบภายในรถยนต์ที่กำลังแล่นไปบนท้องถนนท่ามกลางพายุที่ยังไม่สงบนั้นเป็นสิ่งที่จับต้องได้ นอกจากเสียงเครื่องยนต์ที่ยังคงทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง ก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไร ทำให้บรรยากาศเหมือนคนแปลกหน้าสองคนที่บังเอิญอยู่ในรถคันเดียวกันมากกว่าคนที่รู้รักกันเสียอีกสายตาของนทีจับจ้องไปยังทัศนวิสัยเบื้องหน้า ร่องรอยของความหงุดหงิดเริ่มปรากฏออกมาให้เห็นเล็กน้อยผ่านการแสดงออก ปลายนิ้วเรียวเคาะลงบนพวงมาลัยเป็นจังหวะเบา ๆ เพราะฝนที่ดูเหมือนจะไม่ยอมหยุดง่าย ๆ ตกหนักขึ้นจนทำให้เร่งความเร็วล้อไปมากกว่าที่เป็นอยู่ไม่ได้ แต่นทีไม่ใช่คนประมาท ต่อให้ใจร้อนเพียงใดแต่เขาก็รู้ตัวว่าไม่ควรทำอะไรที่ไร้การยั้งคิดลงไปยิ่งโดยเฉพาะเมื่อคนอื่นอยู่ในรถคันเดียวกันแล้ว เขาก็ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบ แม้ว่าความรับผิดชอบนั้นมันจะน่าอึดอัดเพียงใดก็ตาม อีกอย่างท่าทีของคนข้าง ๆ ที่ดูเหมือนจะอึดอัดไม่น้อยไปกว่ากัน แต่หล่อนควบคุมได้แย่กว่า เขามองออกว่าหล่อนเกรงใจเขาจนนั่งตัวเกร็งแทบจะเป็นก้อนหินที่หายใจได้ของแม่คุณนั่น มันก็ช่าง... น่ารำคาญจริง ๆอัจฉราแอบชำเลืองหางตามองนที ยิ่งเห็นว่าเขาเคา
“หนูขอร้องนะคะเฮีย ตอนนี้หนูกับแม่ลำบากกันมากจริง ๆ”เสียงสั่นเครือออกมาจากปากของหญิงสาวที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องยอมก้มหัวให้ใครมาก่อน แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้วในขณะที่อัจฉรากำลังเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้ของพ่อเป็นการส่วนตัว ณ จุดนี้หล่อนยอมลดศักดิ์ศรีที่มันค้ำคอลงบ้าง อย่างไรเสียหล่อนก็แทบไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้ว ยิ่งถ้าต้องเป็น ‘ตัวของเธอ’ ยิ่งไม่มีทาง“แล้วหนู... มั่นใจได้ไงว่าจะไม่บิดเฮีย?”เฮียโจ้ ชายหน้าโหด รูปร่างผอมบางแต่สักเต็มตัว คำพูดของเขาห้วนสั้น ไม่กรรโชกแต่แฝงไปด้วยความกดดันอย่างผู้ที่รู้ว่าตัวเองเหนือกว่าชัดเจน การแสดงออกนั้นดูไม่ยากที่จะสังเกตได้จากสายตาที่มักจะจ้องอัจฉราด้วยความพึงพอใจบางอย่างตั้งแต่หล่อนกล้าก้าวขาเข้าในรังของเขาตั้งแต่แรกแล้ว“หนูสัญญาว่าหนูไม่เบี้ยวเฮียแน่นอนค่ะ นะคะเฮีย... ให้หนูใช้หนี้แทนพ่อนะ”“โอ๊ย พูดมันก็พูดกันได้ง่าย ๆ หนู ตอน ‘ไอ้ยศ’ มันก็แทบจะคลานเข่ามาขอเฮียด้วยซ้ำ แต่ดูตอนนี้มันหนีไปไหนแล้วล่ะ?”เจ้าหนี้หนุ่มพูดขึ้นเสียงดัง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเย้ยหยันระคนขบขัน ทำให้คนฟังใจหายวูบ เขามองอัจฉราที่หน้าเริ่มถอด
อรุณรุ่งส่องแสงไปทั่วหล้าสุดขอบฟ้า ปลุกทุกสรรพชีวิตให้ตื่นจากค่ำคืนที่ยาวนานอีกครั้งในวันใหม่ ภายในห้องครัวกว้างสุดหรูหรา เต็มไปด้วยเครื่องครัวใช้สำหรับการประกอบอาหาร หม้อแกงสเตนเลสอย่างดีกำลังตั้งเตาร้อนระอุ ส่งกลิ่นอายจากข้าวต้มที่เพิ่งปรุงเสร็จได้ไม่นาน ทั้งในห้องอาหารก็เช่นกัน ถ้วยข้าวต้มหมูร้อน ๆ บนโต๊ะหินอ่อนสีขาวตัวยาวส่งกลิ่นอบอวลในอากาศ ถูกจัดวางเอาไว้ตามจำนวนคนในครอบครัวเสียงช้อนกระทบถ้วยกระเบื้องเป็นระยะ รวมไปถึงเสียงพูดคุยกันอย่างเป็นกิจวัตรขับเน้นบรรยากาศที่เป็นกันเองบนโต๊ะอาหาร ทว่าเมื่อย้อนกลับเข้ามาในครัวนั้นกลับเงียบเหงาเสียจนใจหาย มีร่างบอบบางร่างหนึ่งซึ่งกำลังนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ไม้เป็นตัวละครประกอบฉาก ในขณะที่คนอื่น ๆ ได้แยกย้ายออกไปทำหน้าที่ของตนกันหมดแล้วมีเพียงแค่อัจฉราเท่านั้นที่ยังคงอยู่ งานก้นครัวในตอนเช้า เที่ยง เย็น คือหน้าที่ของเธออยู่แล้ว เมื่อตอนนี้ยังไม่เลยช่วงเวลาดังกล่าวไป หญิงสาวจึงถือโอกาสแอบมางีบหลับสักพัก ขอบตาดำคล้ำ ผิวขาวซีดผิดไปจากปกติ คือหลักฐานชัดเจนว่าหล่อนอดหลับอดนอนมาแทบจะทั้งคืน ผล็อยหลับไปก็แค่พักเดียวเท่านั้น เพราะข่มตานอนไ
ก๊อก ๆ ๆชื่อของ นที เลิศธารินทร์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อ หากแต่เปรียบเสมือนกับตราประทับแห่งความสำเร็จในวงการกฎหมาย ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อของเขาในวงการนี้ หนึ่งในทนายฝีมือดีที่สุด คดีไหนที่ว่ายาก คดีไหนที่ว่าดัง คดีที่ใหญ่ที่เขารับมาถ้าไม่ได้ตั้งใจทำให้แพ้... ก็ไม่มีคดีไหนที่เขาไม่เคยชนะเพราะในศาล ชัยชนะไม่ใช่คำตอบทุกครั้งไป แต่เป็นแค่ ‘หมากตัวหนึ่ง’ บนกระดานที่เขาเลือกเดินเท่านั้น“เข้ามาครับ...”เสียงทุ้มเรียบเปล่งออกไปโดยไม่เงยหน้าจากกองเอกสารตรงหน้า ปลายนิ้วเรียวดันกรอบแว่นขึ้นอย่างเคยชิน สีหน้าไร้อารมณ์ใดเป็นพิเศษ แผ่นหลังยังคงตั้งตรงราวกับไม่รู้จักคำว่าล้าแสงจากโคมไฟเหนือโต๊ะทำงานส่องกระทบเนื้อผ้าสูทเรียบเนียนไร้รอยยับ ชุดที่ตัดได้อย่างพอดีตัวจนยากจะเชื่อว่าเป็นแค่ ‘สูททำงาน’ ปากกาด้ามสีเงินเงาวับเคียงข้างร่างสัญญา สิ่งที่สำหรับเขาเป็นเพียงแค่เครื่องมือ แต่สำหรับคนบางคนอาจหมายถึงราคาเงินเดือนทั้งหมดในชีวิตพวกเขาแม้ท่าทางจะดูสุภาพและไม่เร่งรีบ แต่ในทุกการเคลื่อนไหวของเขากลับแฝงไปด้วยแรงกดดันบางอย่าง ราวกับมีเส้นกั้นที่มองไม่เห็น เส้นที่ใครก็ไม่อาจก้า
“แม่ พ่อยังไม่กลับมาอีกเหรอ” น้ำเสียงเจือความเหนื่อยเอ่ยถามผู้เป็นมารดา หลังจากที่เดินเข้าบ้านมาแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้เป็นบิดาเลยแม้แต่น้อง “ไม่รู้มัน สงสัยไปตายห่าตายโหงที่ไหนแล้วล่ะมั้ง” คนถูกถามตอบ น้ำเสียงไม่ใส่ใจกับคำถามซ้ำซากนั้น ราวกับว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวันจนเคยชิน สายตาของหล่อนมองตามลูกสาวที่พึ่งกลับมาถึงบ้าน แววตาที่เคยเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู บัดนี้กลับส่องประกายความไม่ได้ตั้งใจผิดจากเมื่อก่อนจนรู้สึกได้ “แล้วนี่ไปไหนมา กลับมาซะค่ำมืดเชียว” หล่อนถามเสียงแข็งเล็กน้อยแต่ก็ยังมีแววเกรงใจอยู่บ้าง สายตากวาดมองลูกสาวที่กำลังจะเดินเข้าครัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะไปหยุดที่หัวอีกครั้ง “แล้วนี่ทำผมสีอะไรของเอ็งวะ อีเนย แดงแรดขนาดนั้นไม่ห่วงว่าคุณอัญแกจะว่าอะไรหรือไง” อัจฉราหยุดกึก มือที่ยื่นออกไปจับฝาชีครอบอาหารบนโต๊ะลอยค้างอยู่กลางอากาศ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเปิดฝาชีออกเผยให้เห็นแกงสองถุงกับข้าวสวยอีกหนึ่งจาน มื้อเล็ก ๆ ที่เพียงพอแล้วสำหรับบ้านที่อยู่มีอยู่กันแค่สองคน หล่อ