LOGIN“เจ้าอยากได้อะไรเป็นการตอบแทน” ฮ่องเต้เอ่ยถามขึ้นอย่างใจกว้าง ว่านชิงอีได้ยินเช่นนั้นก็แทบระงับอาการตื่นเต้นดีใจเอาไว้ไม่อยู่
“หม่อมฉันขอเป็นตั๋วเงินหมื่น….” นางเหลือบเห็นเหว่ยอ๋องจ้องมองมาที่นางเขม็ง เขาจะคิดว่านางโลภมากหรือเปล่านะ หากพูดออกไปเช่นนั้น แต่ว่าชีวิตอยู่ได้ก็ต้องใช้เงินนะว่านชิงอี ทำไงดีลำบากใจจริงเชียว “หม่อมฉันแล้วแต่พระองค์จะให้เลยเพคะ” ฮ่องเต้มองความอยู่เป็นของนางก็ยกยิ้มด้วยความเอ็นดู เลยนึกอยากแกล้งนางขึ้นมา “งั้นเราพระราชทานรางวัลให้เจ้าหมั้นกับเหว่ยอ๋องเป็นอย่างไร” ว่านชิงอีตกใจตาเบิกกว้าง ก่อนจะรีบพูดออกไปอย่างรวดเร็ว “ไม่ดีเพคะท่านอ๋องใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตหม่อมฉันไม่อยากตายเร็ว ขอเป็นตั๋วเงินหมื่นตำลึงก็พอเพคะ” พอพูดออกไปแล้ว ว่านชิงอีก็ต้องรีบเอามือมาปิดปาก อุ๊บส์!นางพูดอะไรออกไปแล้ว ดูสายตาของเขาสิถ้าฆ่านางได้คงฆ่าไปแล้วน่ากลัวชะมัด ฮ่องเต้หัวเราะออกมาอีกครั้งด้วยความชอบใจ ในความตรงไปตรงมาของนาง “ได้เดี๋ยวเราจะให้คนนำไปให้เจ้าที่จวน ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเราในวันนี้ ว่าแต่เราต้องกินยาให้หมดที่เจ้าต้มหรือ?” “เพคะต่อไปร่างกายของพระองค์จะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว” ว่านชิงอียกยิ้ม “เหว่ยอ๋องไปส่งนางที่จวน” “ไม่ๆ เป็นไรเพคะแค่ให้ทหารไปส่งก็พอเพคะ” ว่านชิงอีรีบปฎิเสธอย่างรวดเร็ว แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ยอมบอกว่า จะให้ผู้มีพระคุณกลับจวนอย่างไร้เกียรติได้อย่างไร สุดท้ายนางจึงต้องมานั่งบนรถม้าด้วยกันกับเขา แต่นางก็พยายามนั่งชิดมุมติดประตู เพราะภาพที่เขาดึงดาบออกพาดคอนางมันยังติดตา นางจึงนั่งให้เงียบที่สุด เหว่ยอ๋องปรายตามองนางที่นั่งชิดประตูอย่างหงุดหงิด หวาดกลัวเขาขนานนั้นเลยหรือ แต่จะโทษนางก็ไม่ถูกจู่ๆ มีดาบมาจ่อคอ เป็นใครบ้างไม่กลัว “เบียดประตูขนานนั้นเจ้าไม่เข้าไปสิงมันเลยละ” “...” เงียบนางไม่ตอบกลับมา “มานั่งดีๆ ตรงนี้” “....” นางดื้อขนานนี้เลยหรือ พูดด้วยก็ไม่พูดตอบ บอกให้นางมานั่งก็ไม่มา “เจ้าอยากตายหรือ” เขาเอ่ยน้ำเสียงเยียบเย็น ว่านชิงอีตกตะลึงหวาดกลัวสุดขีด รีบลุกพรวดพราดพุงออกจากรถมา แล้วกระโดดลงจากรถม้าที่กำลังวิ่งอยู่ทันที เหว่ยอ๋องก็ตกใจไม่คาดคิดว่านางจะตัดสินใจรวดเร็วเช่นนี้ ก่อนจะได้ยินเสียงร้องของนาง” โอ้ย!” ไวเท่าความคิดเขารีบกระโจนออกไปทันที รถม้าก็ถูกบังคับให้หยุดลงไม่ห่างออกไป ร่างของว่านชิงอีนั่งอยู่กับพื้นใบหน้าแสดงความเจ็บปวด เพราะตอนกระโดดลงมาข้อเท้านางพลิก เหว่ยอ๋องมองนางด้วยความระอาดื้อจนเจ็บตัวจนได้ ก่อนจะเดินมาแล้วย่อตัวนั่งลง มองมือนางที่ลูบคลำข้อเท้าของตนเองปอยๆ ว่านชิงอีไม่มองหน้าเขา นางเมินหน้าไปทางอื่นเพราะยิ่งเจ็บข้อเท้า ก็ยิ่งนึกโมโหตัวต้นเหตุที่ทำให้นางตัดสินใจกระโดดลงมา เหว่ยอ๋องตัดสินใจอุ้มนาง แต่ว่านชิงอีไม่ยอมถีบเท้าดิ้นไปดิ้นมา เหว่ยอ๋องทนไม่ไหวกับความดื้อดึงของนาง จึงฟาดฝ่ามือลงไปบั้นท้ายของนางอย่างแรง ว่านชิงอีสะดุ้งสุดตัวเมื่อความเจ็บพุงเข้ามาที่บั้นท้าย นี่เขากล้าตีนาง!บุรุษผู้นี้สารเลวจริงๆ พอเขาเห็นนางเงียบไปและเลิกดิ้น ก็ก้าวเท้าเดินไปขึ้นรถม้า พอเข้ามานั่งในรถม้าเขาก็ให้นางนั่งบนตักของเขา ก่อนจะจับข้อเท้าของนางขึ้นมาดู แต่จู่ๆ ว่านชิงอีก็คว้าลำคอเขา ก่อนจะกัดลงไปสุดแรง “อ๊ากก!เจ้าเป็นหมาหรืออย่างไร” เหว่ยอ๋องกัดฟันเอ่ยออกมา แต่ก็ปล่อยให้นางกัดจนพอใจ พอนางผละออกมา เหว่ยอ๋องก็เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาและสายตาของความเคียดแค้นของนาง ดวงตาของนางแดงก่ำน้ำตาคลอเบ้า เขาจ้องมองนางนิ่งไม่พูดสิ่งใดออกมา นางก็จ้องมองเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดออกมา เลือดบนลำคอของเขาไหลไม่หยุด เหว่ยอ๋องกอดกระชับร่างของนางแล้วจับศีรษะของนางให้ซบบนอกเขา ก่อนจะลูบหลังนางอย่างปลอบโยน ตบหัวแล้วลูบหลังเชอะ!นางไม่มีทางให้อภัย เหว่ยอ๋องตัดสินพาว่านชิงอีไปโรงหมอ เพื่อตรวจดูข้อเท้าของนาง เขายังคงอุ้มนางเดินเข้าไปในโรงหมอ อู่ถงองครักษ์ข้างกายเหว่ยอ๋องรีบเข้าไปแจ้งหมอ หมอที่ประจำเวรในวันนี้จึงรีบพาเขาไปที่ห้องคนไข้ เหว่ยอ๋องยังคงไม่ปล่อยนางลง แต่ให้นางนั่งอยู่บนตักของเขา ว่านชิงอีแอบมองเขาที่นั่งเงียบขรึม โอบร่างนางอยู่หลวมๆ ก่อนหมอจะเข้ามาอธิบายว่า เส้นข้อเท้านางพลิกคงต้องใช้วิธีดึงเส้นให้กลับคืน แล้วทายาประคบเย็น แต่ช่วงที่ดึงข้อเท้านางอาจจะเจ็บมาก เหว่ยอ๋องฟังหมออธิบายก็พยักหน้ารับรู้ “อดทนเจ็บแป้บเดียว” เขาก้มลงมาบอกนาง ว่านชิงอีก็พยักหน้ารับ แต่แล้วจู่ๆ ความเจ็บแปลบก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตรงบริเวณข้อเท้าของนาง ว่านชิงอีตกใจร้องกรี๊ดผวาเข้ากอดเขาแน่น เหว่ยอ๋องลูบหลังนางไปมาอย่างให้กำลังใจ แต่พอความเจ็บหายไป ความเขินอายก็เข้ามาแทน ว่านชิงอีหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อคล้ายผลลูกท้อ เหว่ยอ๋องเผลอมองแก้มนางอย่างเอ็นดู พอทายาและพันข้อเท้าเสร็จ เขาก็อุ้มนางพาเดินพาขึ้นรถม้า นางได้แต่คิดว่าเขาไม่หนักหรืออย่างไร พอขึ้นมานั่งบนรถม้าเขาก็ยังให้นางนั่งอยู่บนตัก ไม่ปล่อยให้นางไปนั่งบนเบาะ “ท่านอ๋องไม่หนักหรือเพคะ” นางถามเขาออกไปเพราะกลัวว่าจะทำความลำบากให้เขา แต่เขากลับพูดขึ้นมาอีกอย่าง “ข้าขอโทษ ทำอย่างไรเจ้าถึงจะหายโกรธ” ว่านชิงอีได้ยินก็เงยหน้ามองเขา และสำรวจสีหน้าและความจริงใจ ว่าคำพูดของเข้าเชื่อถือได้แค่ไหน เขาก็มองหน้านางกลับนิ่งๆ ว่านชิงอียิ้มเจ้าเล่ห์มีแผนขึ้นมาทันที “ไม่มีทาง!ยกเว้นท่านจะ….” “จะอะไร?” “ท่านอ๋องต้องจ่ายค่าทำขวัญที่ทำให้หม่อมฉันตกใจและบาดเจ็บเป็นตั๋วเงินห้าพันตำลึง” ว่านชิงอียกแขนขึ้นกอดอกอย่างคนเหนือกว่า เหว่ยอ๋องมองนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างมันเขี้ยว นางอายุเท่านี้ยังเจ้าเล่ห์ได้ขนานนี้ แต่ว่าเขาจะยอมหรือไม่นั้น? แน่นอนว่าต้องยอม “ได้เดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้คนเอาไปให้ที่จวน” พอเขาตอบกลับมา ว่านชิงอีก็ตาโตด้วยความดีใจ “ท่านอ๋อง!ท่านดูหล่อเหล่าขึ้นมาเลยเพคะ” “จริงใจหน่อย” ดูก็รู้ว่านางเสแสร้ง พอถึงจวนสกุลว่านเขาก็อุ้มนางไปส่ง และอธิบายสั้นๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะจากไป ฮูหยินผู้เฒ่าที่มารอฟังข่าวถึงกับหน้าบานยิ้มไม่หุบ ท่านนักพรตทำทายไว้มิมีผิดเลย หลานสาวนางคนนี้มีบุญมากบารมี ว่านจื่อหยวนก็ยืนอึ้งตกอยู่ในภวังค์ ท่านอ๋องอุ้มนางมาส่งไม่อยากเชื่อ ท่านอ๋องผู้แสนเย็นชาเหี้ยมโหด จะมีมุมอ่อนโยนเช่นนี้ ว่านซูอวี้ถึงกับพูดไม่ออกรีบหยิบพัดมาพัดให้ตัวเอง เพื่อดับความร้อนระอุภายในใจ ชายหญิงถูกเนื้อต้องตัว ต่อไปนางจะออกเรือนได้อย่างไร ว่านชิงหลินอยู่ในอารมณ์เพ้อฝัน ท่านอ๋องอุ้มว่านชิงอีเข้ามาส่งถึงในจวน เหมือนในหนังสือที่มีขายในท้องตลาด ความรักช่างสวยงาม ว่านชิงหลานนั่งเด็ดดอกไม้อย่างเหม่อลอย บุรุษผู้โหดเหี้ยมอำมหิตร้ายกับคนโลก แต่อ่อนหวานและอ่อนโยนกับนางเพียงผู้เดียว ว่านชิงอีมองอาการของแต่ละคนอย่างไม่เข้าใจ เป็นอะไรกันไปหมดไม่มีใครสนใจนางเลยแล้ววันที่เหว่ยอ๋องรอคอยก็มาถึง วันนี้เขาแต่งอาภรณ์สีแดงได้อย่างหล่อเหล่าและสง่างาม ตามมาด้วยเกี้ยวแปดคนหามเพื่อมารับเจ้าสาว และขบวนสินสอดที่ยาวเป็นทาง ผู้คนมายืนรอชมกันอย่างเนืองแน่นพอมาถึงจวนสกุลว่าน เสนาว่านจื่อหยวนและฮูหยินว่านซูอวี้ ก็ช่วยประคองว่านชิงอีออกมาส่งที่หน้าประตูจวน เหว่ยอ๋องกระโดดลงจากหลังม้า เพื่อมารับนางให้ขึ้นเกี้ยว เสนาว่านจับมือของว่านชิงอี วางลงบนมือของเหว่ยอ๋อง ด้วยใจที่ปลาบปลื้มปิติยินดีจนน้ำตาไหล ว่านชิงอีก้าวขึ้นเกี้ยวด้วยความตื่นเต้นยินดี สุดท้ายเขากับนางก็ได้แต่งงานกัน บุรุษที่นางจะฝากชีวิตไว้ด้วยตลอดชีวิตสินเจ้าสาวที่แต่งออกก็มากมายไม่ต่างกับสินเจ้าบ่าว ผู้คนต่างกล่าวชื่นชมถึงความเหมาะสม บางคนก็ยังกล่าวอย่างมีอคติว่า ตำแหน่งชายาอ๋องนั้นไม่คู่ควรกับนาง ว่านชิงอีนั่งฟังในเกี้ยวอย่างไม่ใส่ใจ พวกเขาจะพูดอย่างไรก็ช่าง อย่างไรนางก็ได้แต่งกับเขาอยู่ดี บุรุษผู้นี้เป็นของข้าผู้เดียว ว่านชิงอีระบายยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อมาถึงจวนของเหว่ยอ๋อง เขาก็เดินมายื่นมือให้นางจับเพื่อเดินเข้าไปในจวน เพื่อเริ่มพิธีการตามประเพณี วันนี้ฮ่องเต้มาร่วมงานด้วยตัวเอง และองค์รัชทายา
ว่านชิงอีและเหว่ยอ๋องรีบเร่งมาที่เหมืองหลวงอย่างเร่งรีบ แต่ก็ต้องชะงักกับภาพตรงหน้า เมื่อมีทหารหลายพันนายยืนรออยู่หน้าประตูเมือง แต่ที่ทำให้ว่านชิงอีใจกระตุกจนใจเจ็บ เมื่อร่างที่ถูกจับมัดห้อยไว้บนกำแพงเมืองนั้น คือคนในครอบครัวของนาง ว่านจื่อหยวน ว่านซูอวี้ ว่านชิงหลิน ว่านชิงหลาน เหนือขึ้นไปมีบนกำแพงเมือง มีร่างของฮ่องเต้ถูกจับมัดไว้เช่นกัน เหว่ยอ๋องโกรธจนดวงตาแดงก่ำ สองมือกำแน่นกับอารมณ์ที่ปะทุภายในใจ ฮองเฮาและรัชทายาทก้าวออกมา ปรายตาลงมองด้านล่าง ที่มีเหว่ยอ๋องและว่านชิงอี นั่งอยู่บนหลังม้า สายตาที่มองมานั้นเย็นชาและเย้ยหยัน รัชทายาทเฟยหยาง ภายในใจเจ็บปวดไม่แพ้กัน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อก่อนเขาเคยมีความคิดอยากขึ้นครองบัลลังก์ แต่หลังจากได้รู้จักว่านชิงอี ได้ทำงานร่วมกันกับ เหว่ยอ๋องและองค์ชายซีห่าว ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป แต่ว่าทุกอย่างมันไม่ง่าย เมื่อขึ้นบนหลังเสือก็ยากที่จะลง มารดาของเขานั้นก็คือฮองเฮา วางแผนร่วมมือกับตระกูลโจวมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งดึงสามตระกูลขุนนางมาร่วมด้วย แลกกับผลประโยชน์มากมาย เมื่อเขาขึ้นครองราชย์ อำนาจทุกอย่างก็จะตกเป็นของฮองเฮาและตระกูลโจว และอ
ทางด้านองค์ชายซีห่าว ยามนี้กำลังต่อสู้กับคนร้ายอย่างดุเดือด เขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนร้าย มาดักรอเพื่อฆ่าเขามากขนาดนี้ องครักษ์ที่เขาพามาด้วยสิบคน ก็พยายามต่อสู้และปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถ แต่นักฆ่าที่มาดักรอก็มีจำนวนไม่น้อย ทำให้ฝ่ายขององค์ชายซีห่าวเสียเปรียบพลาดท่าเสียที ได้รับบาดเจ็บกันอย่างสาหัส เรี่ยวแรงก็เริ่มถดถอย เพราะต่อสู้กันมาได้สักพัก องครักษ์ทั้งสิบยามนี้ เลือดอาบไปทั่วทั้งร่างแต่ก็สู้ไม่ถอย เพื่อปกป้องชีวิตขององค์ชาย องค์ชายซีห่าวเองก็ถูกดาบฟันที่แขนเลือดอาบเช่นกัน แต่เขาก็คิดว่าแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเทียบกับพวกเขาที่ีมีแผลเต็มตัว องค์ชายซีห่าวมององครักษ์ด้วยความซาบซึ้งใจ พวกเขายอมต่อสู้แลกชีวิตเพื่อปกป้องเขา บุญคุณครั้งนี้เขาไม่มีทางลืมได้อย่างแน่นอน แต่เขาจะไม่ยอมหลบอยู่ข้างหลังแบบนี้ ยามนี้พวกเขาเริ่มอ่อนแรง เขาจะต้องปกป้องชีวิตพวกเขา “พระองค์จะทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ?” หนึ่งในองครักษ์เดาความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี จึงรีบเอ่ยทักเขาเอาไว้ “อย่าแม้แต่จะคิดพ่ะย่ะค่ะ ถึงพวกกระหม่อมจะตาย ก็ต้องปกป้องชีวิตองค์ชายให้ได้พ่ะย่ะค่ะ” เจินซีห่าวได้ฟังก็ถึงกับพูดไม่ออก ในความจงร
ว่านชิงอีมองเหว่ยอ๋องกับองครักษ์ ที่พากันไปหาฟืนแล้วแบกกลับมาอย่างเอ็นดู ไม่อยากเชื่อว่าจะเห็นมุมนี้ของเขา เมื่อก่อนเขาดูเงียบขรึมและเย็นชา แต่ทว่าเดี๋ยวนี้เขากลับดูอ่อนโยน และเริ่มเป็นกันเองกับคนใต้บังคับบัญชามากขึ้น ที่จริงก็ใช้ว่าคนเราจะเปลี่ยนแปลงตนเองไม่ได้ หากมีแรงจูงใจที่มากพอและคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงมัน นางคิดว่าความรักก็มีส่วนทำให้คนอ่อนโยนลงได้ เพราะหากเรารักใครสักคน เราก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อคนที่เรารัก ว่านชิงอีและฮุ่ยเจียงช่วยกันทำอาหาร อย่างสนุกสนาน ว่านชิงอีเริ่มสังเกตว่าองครักษ์สาวข้างกาย ช่วงนี้เริ่มทำตัวเหมือนสตรีขึ้นมาบ้าง อย่างเช่นเรื่องการแต่งกาย เมื่อก่อนนางทำตัวคล้ายกับบุรุษทุกอย่าง ยามนี้เสื้อผ้าอาภรณ์เปลี่ยนเป็นสวมใส่ดั่งสตรีทั่วไป ว่านชิงอีหรี่ตามองฮุ่ยเจียงอย่างจับผิด หรือว่านางจะมีความรัก ใครกันนะ? หรือว่า? “ฮุ่ยเจียงเจ้าดูสิ อู่ถงแบกฟืนกองใหญ่ขนาดนั้น เดี๋ยวก็ปวดหลังเอาได้หรอก สงสัยจะทำอวดสาว ๆ แถวนี้” ว่านชิงอีแกล้งพูดออกไปแต่ว่าก็ได้ผล แก้มของฮุ่ยเจียงขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ว่านชิงอียกยิ้มหากทั้งสองชอบพอกัน นางก็พร้อมสนับสนุน ความรักเป็น
วันรุ่งขึ้นเหว่ยอ๋องก็มารับว่านชิงอีที่จวน การไปในครั้งนี้นางและเหว่ยอ๋อง ไปในฐานะพ่อค้าที่ต้องเดินทางไปทั่วแคว้น การแต่งกายจึงต้องเหมือนคนธรรมดาทั่วไปคือเรียบ ๆ ไร้สีสันใด ๆ องครักษ์ที่นำไปด้วยก็แต่งกายเหมือนบ่าวรับใช้ บนเกวียนว่านชิงนำสิ่งของเครื่องใช้ใส่ไปมากพอสมควร เพราะนางไม่รู้ว่าจะไปกี่วัน นางจึงบอกให้องครักษ์เตรียมผ้าห่ม และผ้าสำหรับกางกระโจม หากว่าต้องได้นอนตามป่าเขาจะได้ไม่ยุ่งยาก ว่านชิงอีรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากกับการเดินทางครั้งนี้ เพราะเหมือนกับว่านางจะได้ไปท่องเที่ยวเดินป่า และนอนตามป่าเขา ซึ่งในยุคก่อนเป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝันและอยากจะทำสักครั้ง ไม่อยากเชื่อว่าพอได้ทำขึ้นมาจริง ๆ กลับเป็นคนละยุคกัน ภูเขาตงซานหากเดินทางจริง ๆ จะใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ แต่ว่าว่านชิงอีอยากใช้เวลาท่องเที่ยวไปด้วย ซึ่งเหว่ยอ๋องก็เห็นด้วย ดีเหมือนกันเขากับนางจะได้ใช้เวลาร่วมกันบ้าง เพราะส่วนใหญ่เจอกันที่สำนักงาน ก็มีคุยกันบ้างแต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องงานเสียมากกว่า พอรถม้าพ้นเขตเมืองหลวง ก็เป็นไร่นาเรือกสวนของชาวบ้าน ต้นไม้ปกคลุมเขียวขจีไปทั่วบริเวณ ว่านชิงอีเปิดม่านหน้าต่างรถม้า มองธรรมชา
เหว่ยอ๋องก้าวเดินลงไปหาชายนักบวชที่ถูกผูกติดไว้กับเสา จากนั้นเขาก็เดินเลือกว่าจะใช้อุปกรณ์สอบสวนอันใดเป็นสิ่งแรก ผู้คนมองตามทุกอิริยาบถของเหว่ยอ๋องอย่างลุ้นระทึก และหวาดหวั่นกับท่าทางเย็นชาของเขา ก่อนที่เขาจะหยิบตะขอ ที่มีปลายแหลมคมขึ้นมา จากนั้นก็ให้ทหารมาจับเขาอ้าปาก เขาปรายตามองกลุ่มคนที่เป็นนักพรตก็แสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามชายนักบวชตรงหน้า แต่ว่าก็มีเอ่ยถามขึ้นมาก่อนด้วยความสงสัย “ทูลท่านอ๋องเหตุใดต้องสอบปากคำเขาด้วยละพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคำทำนายของเขา กล่าวได้ดี และคล้ายกับท่านโหรหลวงทำนายทุกอย่าง และไม่มีคำกล่าวร้ายต่อท่านหญิงเลยพ่ะย่ะค่ะ?” เหว่ยอ๋องยกยิ้ม “เจ้าพูดถูกทหารไปจับท่านนักพรตมามัดอีกคน ข้าจะไต่สวนพร้อมกัน” คราวนี้ทุกคนยิ่งไม่เข้าใจ กับการกระทำของเหว่ยอ๋อง ในเมื่อชายที่เป็นนักบวช ทำนายออกมาได้ดี แล้วเหตุใดยังคงต้องสอบสวน เขาจะไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่ เหว่ยอ๋องเหลือบตามองทหารที่จับนักพรตมามัดไว้กับเสา คู่กันกับชายนักบวช ก่อนจะวางตะขอในมือลง แล้วหยิบกระบี่ยาวเฟื้อยขึ้นมา ก่อนจะจับกระบี่ลากไปกับพื้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเอ่ยถามนักบวชที่ถูกมัดอยู่กับเสา “ท่านนักบวชคำทำนายของท่านไม







