LOGINบัวบูชาเป็นลูกสาวพ่อหมอปราบผี ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของว่านชิงอีซึ่งเสียชีวิตลง แต่เธอไม่ได้มาคนเดียวน้องกุมารปิงปิงก็ดันทะลุมิติเข้ามาด้วยเช่นกัน เพราะเป็นลูกสาวหมอผีความสามารถในการปราบผีจึงติดตัวมาด้วยเช่นกัน ไม่ใช่แค่ปราบผีแต่ต้องมาช่วยเหล่าดวงวิญญาณ ที่ต้องการความช่วยเหลือ บัวบูชาที่ไม่รู้ว่าวิชาความรู้ในการปราบผีติดตัวมาได้อย่างไร แต่ในเมื่อทะลุมิติมาแล้วก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป อย่างน้อยก็มีกุมารน้อยปิงปิงเป็นเพื่อน
View More“คุณหนูตื่นเถอะเจ้าค่ะ คุณหนู!” บัวบูชาได้ยินเสียงปลุกก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดและเริ่มรำคาญ จะเรียกทำไมหนักหนาเนี่ยะคนจะนอน! ก่อนจะรีบลืมตาขึ้นมาหมายจะด่าคนที่เรียก
“อ่าวปิงปิงมานั่งทำไมบนตัวข้า ลงไป!” “แล้วทำไมแต่งชุดเด็กจีนละวันนี้ เป็นกุมารทองต้องแต่งชุดไทย หรือว่าอยากเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว เอ้า!ข้าบอกให้ลงไป มานั่งอยู่บนตัวข้าแบบนี้มันหนักนะจะบอกให้!” บัวบูชาตาเขียวใส่น้องกุมารปิงปิง ที่ตั้งแต่เธอเกิดมาก็เจอน้องกุมารมาอยู่ที่บ้านเธอแล้ว เพราะพ่อของเธอเป็นพ่อครูร่างทรง แถมยังมีอาชีพเป็นหมอผีคอยปราบวิญญาณร้าย “คุณหนูพวกเราทะลุมิติมาอยู่ในยุคจีนโบราณเจ้าค่ะ” ปิงปิงเด็กน้อยวัยห้าขวบหน้าตาน่ารัก รีบเอ่ยบอกผู้เป็นนายสาว “ตลกละทะลุมิติ เจ้าพูดบ้าอะไร ดูซีรีย์กับแม่พี่บ่อยละสิ อินมากปะ?” บัวบูชายังคงนอนพูดเล่นกับน้องกุมารปิงปิง เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง “หากทะลุมิติมาจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น?” “ก็เรือนของท่านถูกไฟไหม้ ข้าคิดว่าอาจมีคนไม่พอใจ ที่พ่อช่วยปราบวิญญาณร้ายให้กับชาวบ้านที่เดือดร้อน ก็คงเป็นเจ้าของที่ดินที่ชาวบ้านอาศัยอยู่นั่นแหละเจ้าค่ะ อยากขับไล่คนให้ย้ายด้วยการใช้วิญญาณผีไปก่อกวนพอไม่สำเร็จก็เลยใช้วิธีมาเผาเรือนหมอผีแทนเจ้าค่ะ ท่านก็เลยเสียชีวิตแล้ววิญญาณของท่านกับข้าก็ทะลุมาที่นี่เจ้าค่ะ แต่ท่านไม่ต้องกลัวข้าหยิบยามของพ่อติดมือมาด้วยเจ้าค่ะ ข้าฉลาดใช่มั้ยละเจ้าคะ” กุมารน้อยปิงปิงเอ่ยขึ้นด้วยความภูมิใจในตนเอง “แล้วตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน?” “โลงศพเจ้าค่ะ” กุมารน้อยปิงปิงเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ละ..โลงศพ!เฮ้ย!หมายความว่าตายแล้วตายอีกตายซ้ำซ้อนอย่างงั้นเหรอ?” บัวบูชาเริ่มงงกับชีวิตของตนเอง แต่ว่าตอนนี้ยังมีความรู้สึกและยังพูดได้ ก็แสดงว่ายังไม่ตาย “ท่านมาอยู่ในร่างของคุณหนูสามว่านชิงอี แต่เพราะว่านางตายแล้วท่านเลยมาสวมรอยเจ้าค่ะ” “ข้ามาอยู่ในร่างของคุณหนูสามว่านชิงอี! แต่ว่าร่างนี้ตายนานแค่ไหนแล้วเนี่ยะ! ดูสิผิวซีดเหมือนปลาขาดน้ำ โอ๊ย!ชีวิตของนางบัว!” บัวบูชาเริ่มโอดครวญเมื่อเริ่มสังเกตว่า ร่างกายที่นางมาอยู่นั้นซีดเซียวเกินไป คงต้องบำรุงอย่างหนักเลยทีเดียว “ท่านอย่าบ่นมากไปเลย ร่างนี้อายุแค่14หนาวเท่านั้น ท่านสามารถบำรุงและดูแลให้สวยงามได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” ปิงปิงเอ่ยให้กำลังใจ เมื่อเห็นนายสาวโอดครวญไม่หยุด “แต่ว่าทำไมเจ้าพูดภาษาเหมือนคนจีนโบราณได้ทันทีเลยละ?” “ก็ข้าไม่ใช่คนปกติทั่วไป ข้าเป็นเหมือนเด็กเทพ อีกอย่างข้าเป็นเด็กฉลาดมาก” บัวบูชาในร่างของว่านชิงอี กลอกตามองบนอีกครั้ง เจ้าเด็กนี่หลงตัวเองเหลือเกิน แต่ว่านางก็รักและสนิทกับปิงปิงมานาน โชคดีที่นางทะลุมิติมาด้วยกับนาง ไม่เช่นนั้นนางคงจะเหงามาก เสียงพูดคุยด้านในโลงศพ ทำเอาบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานศพ ต่างพากันมองหน้ากันเลิกลักด้วยความหวาดกลัว คุณหนูสามนางตายแล้วจริงหรือ? หากตายแล้วด้านในนั้นคืออะไร? ส่วนฮูหยินว่านมองหน้าบุตรสาวคนโตและบุตรสาวคนรองด้วยความหวาดกลัวเช่นเดียวกัน “เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่?” เสียงของฮูหยินว่านสั่นด้วยความหวาดกลัว ต้องเป็นผีว่านชิงอีแน่ๆ ในเมื่อนางตายไปแล้ว ถึงนางจะเป็นมารดาของนาง แต่ถ้าพูดถึงเรื่องผีและวิญญาณนางก็หวาดกลัวเช่นกัน “ท่านแม่เหมือนเสียงนางกำลังพูดกับใครไม่รู้ในนั้น แต่ว่านางตายไปแล้วนะท่านแม่ “ว่านชิงหลานเริ่มขวัญผวาเนื้อตัวเริ่มสั่นเทาปากคอสั่น บัวบูชาไม่รู้เหตุการณ์ด้านนอกเลยสักนิด หลังจากลุกขึ้นมานั่ง ความทรงจำของร่างนี้ก็เริ่มกลับเข้ามา คุณหนูสามว่านชิงอีเป็นบุตรสาวคนที่สามของสกุลว่าน ถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมและตามใจ จนนางกลายเป็นคนเอาแต่ใจตนเอง เพราะไม่มีใครกล้าขัดใจ เพราะบิดาคือว่านซื่อเหยียนให้ท้ายและตามใจ อีกทั้งท่านผู้เฒ่าว่านมารดาของว่านซื่อเหยียน ก็ทั้งรักและตามใจนางเช่นเดียวกัน บ่าวไพร่ในจวนพากันหวาดกลัวว่านชิงอี เพราะหากทำอะไรไม่ถูกใจ นางก็จะนำไปรายงานต่อว่านซื่อหยวนและท่านผู้เฒ่าว่าน ให้ลงโทษบ่าวผู้นั้น บัวบูชาคิดตามพฤติกรรมของร่างนี้แล้วก็ได้แต่ถอนใจ มาอยู่ในร่างของนางมารน้อยเอาแต่ใจสินะ “ปิงปิงเราจะออกไปได้อย่างไร” ว่านชิงอีเริ่มพูดเหมือนคนจีนโบราณบ้างแล้ว เมื่อสมองได้รับความทรงจำของร่างนี้กลับคืนมา “คุณหนูลองดันฝาโลงดูสิเจ้าคะข้าลองแล้วแต่เปิดไม่ออก” “เจ้านะเก่งและฉลาดทุกเรื่องแต่ว่ายกเว้นเรื่องนี้” ชิงอีได้ทีว่าเข้าให้ แต่เด็กน้อยก็ปั้นหน้ายิ้มสดใส เพราะอยู่ด้วยกันมานาน จึงรู้จักนิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี พอชิงอีลองดันฝาโลงก็เลื่อนเปิดออกได้อย่างง่ายดาย อะไรกันนางแทบไม่ได้ใช้แรงเลย แค่แตะสัมผัสก็เคลื่อนฝาโลงได้เลยหรือ หรือว่า!..ร่างนี้จะมีพลังวิเศษ! “กรี๊ดดดดดด!เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของผู้คน ในห้องไหว้เคารพศพ จากนั้นผู้คนก็พากันวิ่งหนีกันอย่างไม่คิดชีวิต ว่านชิงอีไม่สนใจก้าวขาออกมาจากโลงศพ ก่อนจะหันไปมองปิงปิงว่านางปีนออกมาได้หรือไม่ แต่ปรากฎว่านางออกมายืนข้างนางเรียบร้อยแล้ว ก่อนนางจะพากันเดินไปที่เรือนที่ร่างนี้เคยอยู่ ระหว่างเดินไปผู้คนที่เห็นนาง ก็กรีดร้องกันอย่างหวาดกลัว และวิ่งหนีคนละทิศละทาง ชิงอีมองแล้วก็หลุดขำ ตอนยังไม่ตายร่างนี้คนก็หวาดกลัวไม่อยากเข้าใกล้ พอตายแล้วฟื้นเช่นนี้คาดว่าคงกลัวเป็นสิบเท่า ว่านชิงอีเดินมาหยุดอยู่เรือนที่แสนงดงาม ดูก็รู้ว่าร่างนี้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร สาเหตุเป็นเพราะมีนักพรตได้ทำนายทายทัก ช่วงที่ฮูหยินว่านตั้งครรภ์ว่า เด็กที่จะเกิดมาจะมีบุญญาธิการสูง และผู้คนจะได้พึ่งพาบารมีของนาง และนั้นคือเหตุผลที่ทั้งบิดาและฮูหยินผู้เฒ่ารักและตามใจนางจนเกินพอดี ว่านชิงอีมองวิญญาณของร่างนี้ที่มายืนรอที่หน้าประตู ก่อนที่จะเดินเข้าไปหานางอย่างมั่นคง “เจ้าจะมาลาข้าหรือ?” วิญญาณว่านชิงอียกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าฝากครอบครัวของข้าไว้กับเจ้าด้วย ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดีและเป็นคนที่ท่านนักพรตได้ทำนายทายทักเอาไว้ซึ่งไม่ใช่ข้า ข้าหมดวาสนาในชาตินี้แล้ว” “เจ้าไม่ต้องกังวลครอบครัวเจ้าข้าจะดูแลให้เอง ขอให้เจ้าไปสู่ภพที่ดี” สนุกไม่สนุกทักทายบอกไรท์หน่อยนะค่าาาคำผิดทักได้ทันทีเลยค่ะ 🙏🙏แล้ววันที่เหว่ยอ๋องรอคอยก็มาถึง วันนี้เขาแต่งอาภรณ์สีแดงได้อย่างหล่อเหล่าและสง่างาม ตามมาด้วยเกี้ยวแปดคนหามเพื่อมารับเจ้าสาว และขบวนสินสอดที่ยาวเป็นทาง ผู้คนมายืนรอชมกันอย่างเนืองแน่นพอมาถึงจวนสกุลว่าน เสนาว่านจื่อหยวนและฮูหยินว่านซูอวี้ ก็ช่วยประคองว่านชิงอีออกมาส่งที่หน้าประตูจวน เหว่ยอ๋องกระโดดลงจากหลังม้า เพื่อมารับนางให้ขึ้นเกี้ยว เสนาว่านจับมือของว่านชิงอี วางลงบนมือของเหว่ยอ๋อง ด้วยใจที่ปลาบปลื้มปิติยินดีจนน้ำตาไหล ว่านชิงอีก้าวขึ้นเกี้ยวด้วยความตื่นเต้นยินดี สุดท้ายเขากับนางก็ได้แต่งงานกัน บุรุษที่นางจะฝากชีวิตไว้ด้วยตลอดชีวิตสินเจ้าสาวที่แต่งออกก็มากมายไม่ต่างกับสินเจ้าบ่าว ผู้คนต่างกล่าวชื่นชมถึงความเหมาะสม บางคนก็ยังกล่าวอย่างมีอคติว่า ตำแหน่งชายาอ๋องนั้นไม่คู่ควรกับนาง ว่านชิงอีนั่งฟังในเกี้ยวอย่างไม่ใส่ใจ พวกเขาจะพูดอย่างไรก็ช่าง อย่างไรนางก็ได้แต่งกับเขาอยู่ดี บุรุษผู้นี้เป็นของข้าผู้เดียว ว่านชิงอีระบายยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อมาถึงจวนของเหว่ยอ๋อง เขาก็เดินมายื่นมือให้นางจับเพื่อเดินเข้าไปในจวน เพื่อเริ่มพิธีการตามประเพณี วันนี้ฮ่องเต้มาร่วมงานด้วยตัวเอง และองค์รัชทายา
ว่านชิงอีและเหว่ยอ๋องรีบเร่งมาที่เหมืองหลวงอย่างเร่งรีบ แต่ก็ต้องชะงักกับภาพตรงหน้า เมื่อมีทหารหลายพันนายยืนรออยู่หน้าประตูเมือง แต่ที่ทำให้ว่านชิงอีใจกระตุกจนใจเจ็บ เมื่อร่างที่ถูกจับมัดห้อยไว้บนกำแพงเมืองนั้น คือคนในครอบครัวของนาง ว่านจื่อหยวน ว่านซูอวี้ ว่านชิงหลิน ว่านชิงหลาน เหนือขึ้นไปมีบนกำแพงเมือง มีร่างของฮ่องเต้ถูกจับมัดไว้เช่นกัน เหว่ยอ๋องโกรธจนดวงตาแดงก่ำ สองมือกำแน่นกับอารมณ์ที่ปะทุภายในใจ ฮองเฮาและรัชทายาทก้าวออกมา ปรายตาลงมองด้านล่าง ที่มีเหว่ยอ๋องและว่านชิงอี นั่งอยู่บนหลังม้า สายตาที่มองมานั้นเย็นชาและเย้ยหยัน รัชทายาทเฟยหยาง ภายในใจเจ็บปวดไม่แพ้กัน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อก่อนเขาเคยมีความคิดอยากขึ้นครองบัลลังก์ แต่หลังจากได้รู้จักว่านชิงอี ได้ทำงานร่วมกันกับ เหว่ยอ๋องและองค์ชายซีห่าว ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป แต่ว่าทุกอย่างมันไม่ง่าย เมื่อขึ้นบนหลังเสือก็ยากที่จะลง มารดาของเขานั้นก็คือฮองเฮา วางแผนร่วมมือกับตระกูลโจวมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งดึงสามตระกูลขุนนางมาร่วมด้วย แลกกับผลประโยชน์มากมาย เมื่อเขาขึ้นครองราชย์ อำนาจทุกอย่างก็จะตกเป็นของฮองเฮาและตระกูลโจว และอ
ทางด้านองค์ชายซีห่าว ยามนี้กำลังต่อสู้กับคนร้ายอย่างดุเดือด เขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนร้าย มาดักรอเพื่อฆ่าเขามากขนาดนี้ องครักษ์ที่เขาพามาด้วยสิบคน ก็พยายามต่อสู้และปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถ แต่นักฆ่าที่มาดักรอก็มีจำนวนไม่น้อย ทำให้ฝ่ายขององค์ชายซีห่าวเสียเปรียบพลาดท่าเสียที ได้รับบาดเจ็บกันอย่างสาหัส เรี่ยวแรงก็เริ่มถดถอย เพราะต่อสู้กันมาได้สักพัก องครักษ์ทั้งสิบยามนี้ เลือดอาบไปทั่วทั้งร่างแต่ก็สู้ไม่ถอย เพื่อปกป้องชีวิตขององค์ชาย องค์ชายซีห่าวเองก็ถูกดาบฟันที่แขนเลือดอาบเช่นกัน แต่เขาก็คิดว่าแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเทียบกับพวกเขาที่ีมีแผลเต็มตัว องค์ชายซีห่าวมององครักษ์ด้วยความซาบซึ้งใจ พวกเขายอมต่อสู้แลกชีวิตเพื่อปกป้องเขา บุญคุณครั้งนี้เขาไม่มีทางลืมได้อย่างแน่นอน แต่เขาจะไม่ยอมหลบอยู่ข้างหลังแบบนี้ ยามนี้พวกเขาเริ่มอ่อนแรง เขาจะต้องปกป้องชีวิตพวกเขา “พระองค์จะทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ?” หนึ่งในองครักษ์เดาความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี จึงรีบเอ่ยทักเขาเอาไว้ “อย่าแม้แต่จะคิดพ่ะย่ะค่ะ ถึงพวกกระหม่อมจะตาย ก็ต้องปกป้องชีวิตองค์ชายให้ได้พ่ะย่ะค่ะ” เจินซีห่าวได้ฟังก็ถึงกับพูดไม่ออก ในความจงร
ว่านชิงอีมองเหว่ยอ๋องกับองครักษ์ ที่พากันไปหาฟืนแล้วแบกกลับมาอย่างเอ็นดู ไม่อยากเชื่อว่าจะเห็นมุมนี้ของเขา เมื่อก่อนเขาดูเงียบขรึมและเย็นชา แต่ทว่าเดี๋ยวนี้เขากลับดูอ่อนโยน และเริ่มเป็นกันเองกับคนใต้บังคับบัญชามากขึ้น ที่จริงก็ใช้ว่าคนเราจะเปลี่ยนแปลงตนเองไม่ได้ หากมีแรงจูงใจที่มากพอและคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงมัน นางคิดว่าความรักก็มีส่วนทำให้คนอ่อนโยนลงได้ เพราะหากเรารักใครสักคน เราก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อคนที่เรารัก ว่านชิงอีและฮุ่ยเจียงช่วยกันทำอาหาร อย่างสนุกสนาน ว่านชิงอีเริ่มสังเกตว่าองครักษ์สาวข้างกาย ช่วงนี้เริ่มทำตัวเหมือนสตรีขึ้นมาบ้าง อย่างเช่นเรื่องการแต่งกาย เมื่อก่อนนางทำตัวคล้ายกับบุรุษทุกอย่าง ยามนี้เสื้อผ้าอาภรณ์เปลี่ยนเป็นสวมใส่ดั่งสตรีทั่วไป ว่านชิงอีหรี่ตามองฮุ่ยเจียงอย่างจับผิด หรือว่านางจะมีความรัก ใครกันนะ? หรือว่า? “ฮุ่ยเจียงเจ้าดูสิ อู่ถงแบกฟืนกองใหญ่ขนาดนั้น เดี๋ยวก็ปวดหลังเอาได้หรอก สงสัยจะทำอวดสาว ๆ แถวนี้” ว่านชิงอีแกล้งพูดออกไปแต่ว่าก็ได้ผล แก้มของฮุ่ยเจียงขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ว่านชิงอียกยิ้มหากทั้งสองชอบพอกัน นางก็พร้อมสนับสนุน ความรักเป็น
วันรุ่งขึ้นเหว่ยอ๋องก็มารับว่านชิงอีที่จวน การไปในครั้งนี้นางและเหว่ยอ๋อง ไปในฐานะพ่อค้าที่ต้องเดินทางไปทั่วแคว้น การแต่งกายจึงต้องเหมือนคนธรรมดาทั่วไปคือเรียบ ๆ ไร้สีสันใด ๆ องครักษ์ที่นำไปด้วยก็แต่งกายเหมือนบ่าวรับใช้ บนเกวียนว่านชิงนำสิ่งของเครื่องใช้ใส่ไปมากพอสมควร เพราะนางไม่รู้ว่าจะไปกี่วัน นางจึงบอกให้องครักษ์เตรียมผ้าห่ม และผ้าสำหรับกางกระโจม หากว่าต้องได้นอนตามป่าเขาจะได้ไม่ยุ่งยาก ว่านชิงอีรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากกับการเดินทางครั้งนี้ เพราะเหมือนกับว่านางจะได้ไปท่องเที่ยวเดินป่า และนอนตามป่าเขา ซึ่งในยุคก่อนเป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝันและอยากจะทำสักครั้ง ไม่อยากเชื่อว่าพอได้ทำขึ้นมาจริง ๆ กลับเป็นคนละยุคกัน ภูเขาตงซานหากเดินทางจริง ๆ จะใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ แต่ว่าว่านชิงอีอยากใช้เวลาท่องเที่ยวไปด้วย ซึ่งเหว่ยอ๋องก็เห็นด้วย ดีเหมือนกันเขากับนางจะได้ใช้เวลาร่วมกันบ้าง เพราะส่วนใหญ่เจอกันที่สำนักงาน ก็มีคุยกันบ้างแต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องงานเสียมากกว่า พอรถม้าพ้นเขตเมืองหลวง ก็เป็นไร่นาเรือกสวนของชาวบ้าน ต้นไม้ปกคลุมเขียวขจีไปทั่วบริเวณ ว่านชิงอีเปิดม่านหน้าต่างรถม้า มองธรรมชา
เหว่ยอ๋องก้าวเดินลงไปหาชายนักบวชที่ถูกผูกติดไว้กับเสา จากนั้นเขาก็เดินเลือกว่าจะใช้อุปกรณ์สอบสวนอันใดเป็นสิ่งแรก ผู้คนมองตามทุกอิริยาบถของเหว่ยอ๋องอย่างลุ้นระทึก และหวาดหวั่นกับท่าทางเย็นชาของเขา ก่อนที่เขาจะหยิบตะขอ ที่มีปลายแหลมคมขึ้นมา จากนั้นก็ให้ทหารมาจับเขาอ้าปาก เขาปรายตามองกลุ่มคนที่เป็นนักพรตก็แสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามชายนักบวชตรงหน้า แต่ว่าก็มีเอ่ยถามขึ้นมาก่อนด้วยความสงสัย “ทูลท่านอ๋องเหตุใดต้องสอบปากคำเขาด้วยละพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคำทำนายของเขา กล่าวได้ดี และคล้ายกับท่านโหรหลวงทำนายทุกอย่าง และไม่มีคำกล่าวร้ายต่อท่านหญิงเลยพ่ะย่ะค่ะ?” เหว่ยอ๋องยกยิ้ม “เจ้าพูดถูกทหารไปจับท่านนักพรตมามัดอีกคน ข้าจะไต่สวนพร้อมกัน” คราวนี้ทุกคนยิ่งไม่เข้าใจ กับการกระทำของเหว่ยอ๋อง ในเมื่อชายที่เป็นนักบวช ทำนายออกมาได้ดี แล้วเหตุใดยังคงต้องสอบสวน เขาจะไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่ เหว่ยอ๋องเหลือบตามองทหารที่จับนักพรตมามัดไว้กับเสา คู่กันกับชายนักบวช ก่อนจะวางตะขอในมือลง แล้วหยิบกระบี่ยาวเฟื้อยขึ้นมา ก่อนจะจับกระบี่ลากไปกับพื้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเอ่ยถามนักบวชที่ถูกมัดอยู่กับเสา “ท่านนักบวชคำทำนายของท่านไม
Comments