LOGINหลังจากเหว่ยอ๋องสงบสติอารมณ์ลงบ้างแล้ว เขาก็นึกโทษตนเองที่บันดาลโทสะใส่นาง จนเกือบจะฆ่านางไปแล้ว ในเวลานั้นเขาเพียงคิดว่า สิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องไร้สาระเพราะหมอหลวงยังตรวจไม่พบ แล้วนางเอาอะไรมาพูด ที่จริงเป็นเพราะเขาไม่อยากเชื่อว่า คนสนิทใกล้ตัวจะกล้าลงมือกับเสด็จพ่อ จึงบันดาลโทสะใส่นาง ท่าทางของนางหวาดกลัวเขามาก เขานั่งมองนางพูดคุยกับเจินซีห่าวและจับมือเขาหนึ่งข้าง พวกเขาคงกำลังพูดคุยอยู่กับมารดาของเขาสินะ ท่าทางของนางดูผ่อนคลายมากกว่าอยู่กับเขาเสียอีก นางก็แค่สตรีวัยเยาว์ผู้หนึ่ง เขาคงทำให้นางกลัวไปแล้ว
ว่านชิงอีพอได้พูดคุยกับเจินซีห่าวถึงรู้ว่าที่จริงแล้ว เขาเป็นคนคุยสนุกคนหนึ่งเลยทีเดียวเลย เขาเป็นบุตรของนางสนมขั้นผินกับฝ่าบาท แต่เพราะนางเสียชีวิตจากไป พระสนมกุ้ยเฟยจึงนำเขามาดูแลเลี้ยงดูพร้อมกันกับเหว่ยอ๋อง เขาจึงนับถือพระสนมเป็นเสมือนมารดา แต่พระสนมกุ้ยเฟยก็อายุสั้นล้มป่วยและเสียชีวิตเช่นกัน เวลานี้มีว่านชิงอีเป็นตัวเชื่อมเขาจึงมองเห็นพระสนมกุ้ยเฟยอีกครั้ง “คุณหนูว่านพอจะมีวิธีช่วยเหลือฝ่าบาทหรือไม่?” เจินซีห่าวคิดว่าต้องลองถามนางดู เขาเชื่อว่านางต้องมีวิธี “นั่นสิคุณหนูว่านหากเจ้าช่วยฝ่าบาทได้ เจ้าอยากได้อะไรข้าให้เจ้าหมดเลย” ว่านชิงอีพอได้ยินพระสนมเอ่ยเช่นนี้ใจก็เต้นระริกด้วยความดีใจ สกุลว่านของนางรอดแล้ว หากช่วยฝ่าบาทได้นางจะขอตั๋วเงินสักหมื่นตำลึง แต่ว่านางจะช่วยฝ่าบาทอย่างไร อยู่ๆ ความฝันที่ว่ามีเงินหมื่นตำลึงมาอยู่ตรงหน้าก็หายวับไป ว่านชิงอีจึงส่งจิตไปคุยกับปิงปิง “เจ้ามีวิธีหรือไม่ช่วยข้าคิดหน่อย” ไม่นานปิงปิงกตอบกลับมา “ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ” “หม่อมฉันจะลองคิดหาวิธีช่วยเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันไม่รับปากนะเพคะว่าช่วยได้หรือไม่ เพราะว่าพิษนี้ขนานหมอหลวงยังตรวจสอบไม่พบ หม่อมฉันเกรงว่าความสามารถของหม่อมฉันอาจมีไม่มากพอ” คราวนี้ว่านชิงเริ่มระวังคำพูดมากขึ้น เพราะกลัวว่าดาบจะมาจ่อที่ลำคออีกครั้ง พระสนมกุ้ยเฟยมองว่านชิงอีอย่างเอ็นดู เด็กสาวคนนี้แม้จะดูเยาว์วัยแต่ก็มีเค้าโครงความสวยงาม อีกปีสองปีนางคงงดมากเป็นแน่ ความสามารถพิเศษของนางใช่ว่าใครจะมีได้ ต่อไปบุรุษคงพากันอยากแย่งชิงนางมาเป็นของตนเป็นแน่ เสียดายที่บุตรชายของนางช่างเย็นชา และอารมณ์ร้อน ดุดันโหดเหี้ยม คงไม่มีสตรีใดอยากเข้าใกล้ ถึงแม้นางจะเอ็นดูว่านชิงอีมากเพียงใด นางก็ไม่อาจเอาความชอบส่วนตัว มาทำให้คนหนุ่มสาวเกิดความไม่สบายใจ ว่านชิงอีลุกขึ้นเดินไปที่เตียงที่มีฝ่าบาทนอนอยู่ ก่อนนางจะเรียกปิงปิงให้ไปช่วยอีกแรง ปิงปิงสัมผัสแขนของฝ่าบาทพร้อมกันกับว่านชิงอี ก่อนจะตั้งจิตสมาธิ “ข้าอยากได้ยาแก้พิษนี้” พอนางกล่าวจบ ย่ามสะพายที่ปิงปิงสวมอยู่ก็สั่นเบาๆ “คุณหนูย่ามสั่นมากเลยเจ้าค่ะท่านดูหน่อยเถิดเจ้าค่ะว่าเป็นเพราะเหตุใด” ปิงปิงรีบส่งยามให้ว่านชิงอี นางจึงรับมาเปิดดู ก็เห็นห่อยาและกระดาษคล้ายจดหมาย นางจึงรีบเปิดอ่าน “เลือดของเจ้าพิเศษมาก ผสมกับยาตัวนี้ต้มดื่มจะได้ผลดี เลือดของเจ้ามีสรรพคุณแก้พิษและต้านพิษได้ดี” ว่านชิงอีอ่านเสร็จก็เนื้อตัวเย็นเฉียบ หากเลือดนางเป็นยา ต่อไปหากมีคนรู้ คงอยากฆ่านางเพื่อเอาเลือดนางเป็นแน่ เรื่องนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้ ว่านชิงอีส่งกระดาษให้ปิงปิง พอนางอ่านเสร็จก็ทำหน้ายุ่งยากใจ มองว่านชิงอีด้วยความสงสาร การช่วยเหลือผู้อื่นโดยใช้เลือดตน เป็นดั่งดาบสองคม เพราะทุกคนมีความโลภและความเห็นแก่ตัวอยู่ในตัวเอง หากรู้ว่าเลือดของนางมีความพิเศษ ทุกคนคงอยากแก่งแย่งมาเป็นของตน ว่านชิงอีรู้สึกว่าโชคชะตากำลังเล่นตลกกับนาง นางไม่มีวรยุทธหรือวิชาป้องกันตัว หากมีคนคิดจะฆ่านาง นางก็คงจบชีวิตลงอย่างง่ายดาย พอนึกถึงตรงนี้ว่านชิงอีก็เศร้าใจอยากบอกไม่ถูก ปิงปิงเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจได้ในทันทีว่านางรู้สึกเช่นไร จึงรีบเข้ามาสวมกอดนางแน่น พระสนมกุ้ยเฟยมองเด็กน้อยวัยห้าหนาว ที่เข้าไปสวมกอดว่านชิงอีอย่างแปลกใจ นางเป็นใครกัน? นางว่าจะถามว่านชิงอีตั้งแต่ตอนเข้ามา เพราะเด็กน้อยนางนี้มีใบหน้าที่น่ารักถูกใจนางเหลือเกิน แต่ทว่าเหตุใดว่านชิงอีถึงดูเศร้านัก เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ “พระสนม องค์ชายเจินซีห่าว หม่อมฉันอยากได้หม้อต้มยา และอยากปรุงยาในห้องนี้คนเดียวได้หรือไม่เพคะ?” “ได้สิ” ทุกคนรับปากและพากันออกไปจากห้อง ว่านชิงอีจึงเริ่มต้มยาและรีบกรีดนิ้วชี้ หยุดเลือดลงไปในหม้อ ผสมกับตัวยาในห่อจากนั้นก็ต้มไปสักพัก พอเสร็จนางก็ไปเปิดประตู “องค์ชายยาต้มเสร็จแล้วเพคะ รอให้เย็นอีกหน่อยก็ให้ฝ่าบาทเสวยได้แล้วเพคะ” พระสนมกุ้ยเฟย เหว่ยอ๋อง เจินซีห่าว รีบพากันเข้าไปในห้องอีกครั้ง เหว่ยอ๋องรีบยกถ้วยมาเป่า เพื่อให้เย็นลงเร็วขึ้น ก่อนเจินซีห่าวจะเข้าไปประคองร่างของฝ่าบาทให้ลุกนั่งพิงตัวเข้า เหว่ยอ๋องค่อยๆ ป้อนยาอย่างช้าๆ ฝ่าบาทรู้สึกตัวอยู่บ้างจึงไม่ลำบากในการป้อนยามากนัก จนยาหมดถ้วยองค์ชายเจินซีห่าวก็ประคองให้ฝ่าบาทนอนลงอีกครั้ง ผ่านไปสักพักฝ่าบาทก็ลุกพรวดขึ้นมาอาเจียนอย่างรุนแรง ก่อนจะหมดสติไปอีกครั้ง หมอหลวงรีบเข้ามาจับชีพจรดูก็บอกให้ทุกคนเบาใจ ผ่านไปหนึ่งก้านธูปฝ่าบาทก็เริ่มขยับตัว ทุกคนที่เฝ้าดูอาการอยู่ก็ดีใจกันอย่างมาก มีเพียงว่านชิงอีที่พอเห็นว่าเลือดนางได้ผล ก็ยิ่งหวาดกลัวและกังวล “องค์ชายให้ฝ่าบาทดื่มยาอีกเพคะ หม่อมฉันต้มไว้หลายถ้วย คิดว่าดื่มอีกสามสี่ถ้วยก็น่าจะดีขึ้นแล้วเพคะ” ว่านชิงอีเอ่ยบอกองค์ชายเจินซีห่าว โดยไม่มองเหว่ยอ๋องเลยสักนิดและไม่คิดจะพูดด้วย หากอาการของฝ่าบาทดีขึ้นนางจะขอตัวกลับ เพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวใดๆ กับราชวงศ์ กลับไปนอนคิดหาวิธีหาเงินสบายใจกว่า หลังจากดื่มยาถ้วยที่สองฝ่าบาทก็อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พระสนมกุ้ยเฟยรีบดึงแขนว่านชิงอีมายืนข้างเตียง เหว่ยอ๋องพอเห็นว่านชิงอีขยับมายืนข้างเตียง ก็มองนางอย่างงงๆ ว่านางคิดจะทำอะไรเพราะเขามองไม่เห็นพระสนม แต่พอเห็นนางจับแขนฮ่องเต้ เขาจึงพอเดาออกว่ามารดาคงอยากพูดคุยกับเสด็จพ่อ ฮ่องเต้พอเห็นดรุณีน้อยมายืนข้างเตียงพร้อมจับแขนของเขา ก็มองอย่างไม่เข้าใจ แต่จู่ๆ เขาก็เริ่มมองเห็นสนมกุ้ยนั่งอยู่ข้างเตียง ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ “ฝ่าบาทเป็นนางที่ทำให้หม่อมฉันได้พบพระองค์อีกครั้ง และเป็นนางอีกเช่นกันที่รักษาพระองค์จากพิษที่ขันทีชั่ววางยาพระองค์ เป็นเพราะฝ่าบาทถูกพิษพร่ำเพ้อพูดถึงหม่อมฉัน เหว่ยอ๋องจึงออกไปนอกวังเพื่อจะให้นักพรตมาดูว่า วิญญาณหม่อมฉันยังวนเวียนอยู่ที่นี่หรือไม่ แต่เขากลับพบแม่นางน้อยผู้นี้จึงพามาที่นี่ ฝ่าบาทนางเก่งมากจริงๆ เพคะ พวกเราเป็นหนี้บุญคุณนางแล้ว” พระสนมเอ่ยยื้ดยาวนำ้ตาไหลอาบใบหน้า ฮ่องเต้ฟังสนมรักเล่าเรื่องราวก็เริ่มปะติดปะต่อจนเข้าใจ ก่อนจะยกยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับว่านชิงอี “ขอบใจเจ้ามาก เจ้าเป็นบุตรสาวของผู้ใด?” “หม่อมฉันว่านชิงอีเป็นบุตรสาวของเสนาบดีว่านฝ่ายกรมพิธีการเพคะ” “บุตรสาวเสนาว่านเองหรอกรึ เขาเคยเล่าให้เราฟังเมื่อสิบสี่ปีก่อน ว่าเคยมีนักพรตได้ทำนายทายทักว่า บุตรสาวคนที่สามจะมีบุญญาธิการมากและผู้คนจะได้พึ่งพานาง เราพึ่งเขาใจก็วันนี้เอง” ฮ่องเต้หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อก่อนเขามองว่าเสนาบดีว่านช่างเหลวไหล เชื่อคำพูดของนักพรตอย่างงมงาย แต่มาวันนี้เขาถึงได้เห็นกับตาตนเองโดยไร้ข้อโต้แย้งใดๆแล้ววันที่เหว่ยอ๋องรอคอยก็มาถึง วันนี้เขาแต่งอาภรณ์สีแดงได้อย่างหล่อเหล่าและสง่างาม ตามมาด้วยเกี้ยวแปดคนหามเพื่อมารับเจ้าสาว และขบวนสินสอดที่ยาวเป็นทาง ผู้คนมายืนรอชมกันอย่างเนืองแน่นพอมาถึงจวนสกุลว่าน เสนาว่านจื่อหยวนและฮูหยินว่านซูอวี้ ก็ช่วยประคองว่านชิงอีออกมาส่งที่หน้าประตูจวน เหว่ยอ๋องกระโดดลงจากหลังม้า เพื่อมารับนางให้ขึ้นเกี้ยว เสนาว่านจับมือของว่านชิงอี วางลงบนมือของเหว่ยอ๋อง ด้วยใจที่ปลาบปลื้มปิติยินดีจนน้ำตาไหล ว่านชิงอีก้าวขึ้นเกี้ยวด้วยความตื่นเต้นยินดี สุดท้ายเขากับนางก็ได้แต่งงานกัน บุรุษที่นางจะฝากชีวิตไว้ด้วยตลอดชีวิตสินเจ้าสาวที่แต่งออกก็มากมายไม่ต่างกับสินเจ้าบ่าว ผู้คนต่างกล่าวชื่นชมถึงความเหมาะสม บางคนก็ยังกล่าวอย่างมีอคติว่า ตำแหน่งชายาอ๋องนั้นไม่คู่ควรกับนาง ว่านชิงอีนั่งฟังในเกี้ยวอย่างไม่ใส่ใจ พวกเขาจะพูดอย่างไรก็ช่าง อย่างไรนางก็ได้แต่งกับเขาอยู่ดี บุรุษผู้นี้เป็นของข้าผู้เดียว ว่านชิงอีระบายยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อมาถึงจวนของเหว่ยอ๋อง เขาก็เดินมายื่นมือให้นางจับเพื่อเดินเข้าไปในจวน เพื่อเริ่มพิธีการตามประเพณี วันนี้ฮ่องเต้มาร่วมงานด้วยตัวเอง และองค์รัชทายา
ว่านชิงอีและเหว่ยอ๋องรีบเร่งมาที่เหมืองหลวงอย่างเร่งรีบ แต่ก็ต้องชะงักกับภาพตรงหน้า เมื่อมีทหารหลายพันนายยืนรออยู่หน้าประตูเมือง แต่ที่ทำให้ว่านชิงอีใจกระตุกจนใจเจ็บ เมื่อร่างที่ถูกจับมัดห้อยไว้บนกำแพงเมืองนั้น คือคนในครอบครัวของนาง ว่านจื่อหยวน ว่านซูอวี้ ว่านชิงหลิน ว่านชิงหลาน เหนือขึ้นไปมีบนกำแพงเมือง มีร่างของฮ่องเต้ถูกจับมัดไว้เช่นกัน เหว่ยอ๋องโกรธจนดวงตาแดงก่ำ สองมือกำแน่นกับอารมณ์ที่ปะทุภายในใจ ฮองเฮาและรัชทายาทก้าวออกมา ปรายตาลงมองด้านล่าง ที่มีเหว่ยอ๋องและว่านชิงอี นั่งอยู่บนหลังม้า สายตาที่มองมานั้นเย็นชาและเย้ยหยัน รัชทายาทเฟยหยาง ภายในใจเจ็บปวดไม่แพ้กัน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อก่อนเขาเคยมีความคิดอยากขึ้นครองบัลลังก์ แต่หลังจากได้รู้จักว่านชิงอี ได้ทำงานร่วมกันกับ เหว่ยอ๋องและองค์ชายซีห่าว ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป แต่ว่าทุกอย่างมันไม่ง่าย เมื่อขึ้นบนหลังเสือก็ยากที่จะลง มารดาของเขานั้นก็คือฮองเฮา วางแผนร่วมมือกับตระกูลโจวมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งดึงสามตระกูลขุนนางมาร่วมด้วย แลกกับผลประโยชน์มากมาย เมื่อเขาขึ้นครองราชย์ อำนาจทุกอย่างก็จะตกเป็นของฮองเฮาและตระกูลโจว และอ
ทางด้านองค์ชายซีห่าว ยามนี้กำลังต่อสู้กับคนร้ายอย่างดุเดือด เขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนร้าย มาดักรอเพื่อฆ่าเขามากขนาดนี้ องครักษ์ที่เขาพามาด้วยสิบคน ก็พยายามต่อสู้และปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถ แต่นักฆ่าที่มาดักรอก็มีจำนวนไม่น้อย ทำให้ฝ่ายขององค์ชายซีห่าวเสียเปรียบพลาดท่าเสียที ได้รับบาดเจ็บกันอย่างสาหัส เรี่ยวแรงก็เริ่มถดถอย เพราะต่อสู้กันมาได้สักพัก องครักษ์ทั้งสิบยามนี้ เลือดอาบไปทั่วทั้งร่างแต่ก็สู้ไม่ถอย เพื่อปกป้องชีวิตขององค์ชาย องค์ชายซีห่าวเองก็ถูกดาบฟันที่แขนเลือดอาบเช่นกัน แต่เขาก็คิดว่าแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเทียบกับพวกเขาที่ีมีแผลเต็มตัว องค์ชายซีห่าวมององครักษ์ด้วยความซาบซึ้งใจ พวกเขายอมต่อสู้แลกชีวิตเพื่อปกป้องเขา บุญคุณครั้งนี้เขาไม่มีทางลืมได้อย่างแน่นอน แต่เขาจะไม่ยอมหลบอยู่ข้างหลังแบบนี้ ยามนี้พวกเขาเริ่มอ่อนแรง เขาจะต้องปกป้องชีวิตพวกเขา “พระองค์จะทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ?” หนึ่งในองครักษ์เดาความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี จึงรีบเอ่ยทักเขาเอาไว้ “อย่าแม้แต่จะคิดพ่ะย่ะค่ะ ถึงพวกกระหม่อมจะตาย ก็ต้องปกป้องชีวิตองค์ชายให้ได้พ่ะย่ะค่ะ” เจินซีห่าวได้ฟังก็ถึงกับพูดไม่ออก ในความจงร
ว่านชิงอีมองเหว่ยอ๋องกับองครักษ์ ที่พากันไปหาฟืนแล้วแบกกลับมาอย่างเอ็นดู ไม่อยากเชื่อว่าจะเห็นมุมนี้ของเขา เมื่อก่อนเขาดูเงียบขรึมและเย็นชา แต่ทว่าเดี๋ยวนี้เขากลับดูอ่อนโยน และเริ่มเป็นกันเองกับคนใต้บังคับบัญชามากขึ้น ที่จริงก็ใช้ว่าคนเราจะเปลี่ยนแปลงตนเองไม่ได้ หากมีแรงจูงใจที่มากพอและคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงมัน นางคิดว่าความรักก็มีส่วนทำให้คนอ่อนโยนลงได้ เพราะหากเรารักใครสักคน เราก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อคนที่เรารัก ว่านชิงอีและฮุ่ยเจียงช่วยกันทำอาหาร อย่างสนุกสนาน ว่านชิงอีเริ่มสังเกตว่าองครักษ์สาวข้างกาย ช่วงนี้เริ่มทำตัวเหมือนสตรีขึ้นมาบ้าง อย่างเช่นเรื่องการแต่งกาย เมื่อก่อนนางทำตัวคล้ายกับบุรุษทุกอย่าง ยามนี้เสื้อผ้าอาภรณ์เปลี่ยนเป็นสวมใส่ดั่งสตรีทั่วไป ว่านชิงอีหรี่ตามองฮุ่ยเจียงอย่างจับผิด หรือว่านางจะมีความรัก ใครกันนะ? หรือว่า? “ฮุ่ยเจียงเจ้าดูสิ อู่ถงแบกฟืนกองใหญ่ขนาดนั้น เดี๋ยวก็ปวดหลังเอาได้หรอก สงสัยจะทำอวดสาว ๆ แถวนี้” ว่านชิงอีแกล้งพูดออกไปแต่ว่าก็ได้ผล แก้มของฮุ่ยเจียงขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ว่านชิงอียกยิ้มหากทั้งสองชอบพอกัน นางก็พร้อมสนับสนุน ความรักเป็น
วันรุ่งขึ้นเหว่ยอ๋องก็มารับว่านชิงอีที่จวน การไปในครั้งนี้นางและเหว่ยอ๋อง ไปในฐานะพ่อค้าที่ต้องเดินทางไปทั่วแคว้น การแต่งกายจึงต้องเหมือนคนธรรมดาทั่วไปคือเรียบ ๆ ไร้สีสันใด ๆ องครักษ์ที่นำไปด้วยก็แต่งกายเหมือนบ่าวรับใช้ บนเกวียนว่านชิงนำสิ่งของเครื่องใช้ใส่ไปมากพอสมควร เพราะนางไม่รู้ว่าจะไปกี่วัน นางจึงบอกให้องครักษ์เตรียมผ้าห่ม และผ้าสำหรับกางกระโจม หากว่าต้องได้นอนตามป่าเขาจะได้ไม่ยุ่งยาก ว่านชิงอีรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากกับการเดินทางครั้งนี้ เพราะเหมือนกับว่านางจะได้ไปท่องเที่ยวเดินป่า และนอนตามป่าเขา ซึ่งในยุคก่อนเป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝันและอยากจะทำสักครั้ง ไม่อยากเชื่อว่าพอได้ทำขึ้นมาจริง ๆ กลับเป็นคนละยุคกัน ภูเขาตงซานหากเดินทางจริง ๆ จะใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ แต่ว่าว่านชิงอีอยากใช้เวลาท่องเที่ยวไปด้วย ซึ่งเหว่ยอ๋องก็เห็นด้วย ดีเหมือนกันเขากับนางจะได้ใช้เวลาร่วมกันบ้าง เพราะส่วนใหญ่เจอกันที่สำนักงาน ก็มีคุยกันบ้างแต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องงานเสียมากกว่า พอรถม้าพ้นเขตเมืองหลวง ก็เป็นไร่นาเรือกสวนของชาวบ้าน ต้นไม้ปกคลุมเขียวขจีไปทั่วบริเวณ ว่านชิงอีเปิดม่านหน้าต่างรถม้า มองธรรมชา
เหว่ยอ๋องก้าวเดินลงไปหาชายนักบวชที่ถูกผูกติดไว้กับเสา จากนั้นเขาก็เดินเลือกว่าจะใช้อุปกรณ์สอบสวนอันใดเป็นสิ่งแรก ผู้คนมองตามทุกอิริยาบถของเหว่ยอ๋องอย่างลุ้นระทึก และหวาดหวั่นกับท่าทางเย็นชาของเขา ก่อนที่เขาจะหยิบตะขอ ที่มีปลายแหลมคมขึ้นมา จากนั้นก็ให้ทหารมาจับเขาอ้าปาก เขาปรายตามองกลุ่มคนที่เป็นนักพรตก็แสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามชายนักบวชตรงหน้า แต่ว่าก็มีเอ่ยถามขึ้นมาก่อนด้วยความสงสัย “ทูลท่านอ๋องเหตุใดต้องสอบปากคำเขาด้วยละพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคำทำนายของเขา กล่าวได้ดี และคล้ายกับท่านโหรหลวงทำนายทุกอย่าง และไม่มีคำกล่าวร้ายต่อท่านหญิงเลยพ่ะย่ะค่ะ?” เหว่ยอ๋องยกยิ้ม “เจ้าพูดถูกทหารไปจับท่านนักพรตมามัดอีกคน ข้าจะไต่สวนพร้อมกัน” คราวนี้ทุกคนยิ่งไม่เข้าใจ กับการกระทำของเหว่ยอ๋อง ในเมื่อชายที่เป็นนักบวช ทำนายออกมาได้ดี แล้วเหตุใดยังคงต้องสอบสวน เขาจะไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่ เหว่ยอ๋องเหลือบตามองทหารที่จับนักพรตมามัดไว้กับเสา คู่กันกับชายนักบวช ก่อนจะวางตะขอในมือลง แล้วหยิบกระบี่ยาวเฟื้อยขึ้นมา ก่อนจะจับกระบี่ลากไปกับพื้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเอ่ยถามนักบวชที่ถูกมัดอยู่กับเสา “ท่านนักบวชคำทำนายของท่านไม







