หลังจากเหว่ยอ๋องสงบสติอารมณ์ลงบ้างแล้ว เขาก็นึกโทษตนเองที่บันดาลโทสะใส่นาง จนเกือบจะฆ่านางไปแล้ว ในเวลานั้นเขาเพียงคิดว่า สิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องไร้สาระเพราะหมอหลวงยังตรวจไม่พบ แล้วนางเอาอะไรมาพูด ที่จริงเป็นเพราะเขาไม่อยากเชื่อว่า คนสนิทใกล้ตัวจะกล้าลงมือกับเสด็จพ่อ จึงบันดาลโทสะใส่นาง ท่าทางของนางหวาดกลัวเขามาก เขานั่งมองนางพูดคุยกับเจินซีห่าวและจับมือเขาหนึ่งข้าง พวกเขาคงกำลังพูดคุยอยู่กับมารดาของเขาสินะ ท่าทางของนางดูผ่อนคลายมากกว่าอยู่กับเขาเสียอีก นางก็แค่สตรีวัยเยาว์ผู้หนึ่ง เขาคงทำให้นางกลัวไปแล้ว
ว่านชิงอีพอได้พูดคุยกับเจินซีห่าวถึงรู้ว่าที่จริงแล้ว เขาเป็นคนคุยสนุกคนหนึ่งเลยทีเดียวเลย เขาเป็นบุตรของนางสนมขั้นผินกับฝ่าบาท แต่เพราะนางเสียชีวิตจากไป พระสนมกุ้ยเฟยจึงนำเขามาดูแลเลี้ยงดูพร้อมกันกับเหว่ยอ๋อง เขาจึงนับถือพระสนมเป็นเสมือนมารดา แต่พระสนมกุ้ยเฟยก็อายุสั้นล้มป่วยและเสียชีวิตเช่นกัน เวลานี้มีว่านชิงอีเป็นตัวเชื่อมเขาจึงมองเห็นพระสนมกุ้ยเฟยอีกครั้ง “คุณหนูว่านพอจะมีวิธีช่วยเหลือฝ่าบาทหรือไม่?” เจินซีห่าวคิดว่าต้องลองถามนางดู เขาเชื่อว่านางต้องมีวิธี “นั่นสิคุณหนูว่านหากเจ้าช่วยฝ่าบาทได้ เจ้าอยากได้อะไรข้าให้เจ้าหมดเลย” ว่านชิงอีพอได้ยินพระสนมเอ่ยเช่นนี้ใจก็เต้นระริกด้วยความดีใจ สกุลว่านของนางรอดแล้ว หากช่วยฝ่าบาทได้นางจะขอตั๋วเงินสักหมื่นตำลึง แต่ว่านางจะช่วยฝ่าบาทอย่างไร อยู่ๆ ความฝันที่ว่ามีเงินหมื่นตำลึงมาอยู่ตรงหน้าก็หายวับไป ว่านชิงอีจึงส่งจิตไปคุยกับปิงปิง “เจ้ามีวิธีหรือไม่ช่วยข้าคิดหน่อย” ไม่นานปิงปิงกตอบกลับมา “ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ” “หม่อมฉันจะลองคิดหาวิธีช่วยเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันไม่รับปากนะเพคะว่าช่วยได้หรือไม่ เพราะว่าพิษนี้ขนานหมอหลวงยังตรวจสอบไม่พบ หม่อมฉันเกรงว่าความสามารถของหม่อมฉันอาจมีไม่มากพอ” คราวนี้ว่านชิงเริ่มระวังคำพูดมากขึ้น เพราะกลัวว่าดาบจะมาจ่อที่ลำคออีกครั้ง พระสนมกุ้ยเฟยมองว่านชิงอีอย่างเอ็นดู เด็กสาวคนนี้แม้จะดูเยาว์วัยแต่ก็มีเค้าโครงความสวยงาม อีกปีสองปีนางคงงดมากเป็นแน่ ความสามารถพิเศษของนางใช่ว่าใครจะมีได้ ต่อไปบุรุษคงพากันอยากแย่งชิงนางมาเป็นของตนเป็นแน่ เสียดายที่บุตรชายของนางช่างเย็นชา และอารมณ์ร้อน ดุดันโหดเหี้ยม คงไม่มีสตรีใดอยากเข้าใกล้ ถึงแม้นางจะเอ็นดูว่านชิงอีมากเพียงใด นางก็ไม่อาจเอาความชอบส่วนตัว มาทำให้คนหนุ่มสาวเกิดความไม่สบายใจ ว่านชิงอีลุกขึ้นเดินไปที่เตียงที่มีฝ่าบาทนอนอยู่ ก่อนนางจะเรียกปิงปิงให้ไปช่วยอีกแรง ปิงปิงสัมผัสแขนของฝ่าบาทพร้อมกันกับว่านชิงอี ก่อนจะตั้งจิตสมาธิ “ข้าอยากได้ยาแก้พิษนี้” พอนางกล่าวจบ ย่ามสะพายที่ปิงปิงสวมอยู่ก็สั่นเบาๆ “คุณหนูย่ามสั่นมากเลยเจ้าค่ะท่านดูหน่อยเถิดเจ้าค่ะว่าเป็นเพราะเหตุใด” ปิงปิงรีบส่งยามให้ว่านชิงอี นางจึงรับมาเปิดดู ก็เห็นห่อยาและกระดาษคล้ายจดหมาย นางจึงรีบเปิดอ่าน “เลือดของเจ้าพิเศษมาก ผสมกับยาตัวนี้ต้มดื่มจะได้ผลดี เลือดของเจ้ามีสรรพคุณแก้พิษและต้านพิษได้ดี” ว่านชิงอีอ่านเสร็จก็เนื้อตัวเย็นเฉียบ หากเลือดนางเป็นยา ต่อไปหากมีคนรู้ คงอยากฆ่านางเพื่อเอาเลือดนางเป็นแน่ เรื่องนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้ ว่านชิงอีส่งกระดาษให้ปิงปิง พอนางอ่านเสร็จก็ทำหน้ายุ่งยากใจ มองว่านชิงอีด้วยความสงสาร การช่วยเหลือผู้อื่นโดยใช้เลือดตน เป็นดั่งดาบสองคม เพราะทุกคนมีความโลภและความเห็นแก่ตัวอยู่ในตัวเอง หากรู้ว่าเลือดของนางมีความพิเศษ ทุกคนคงอยากแก่งแย่งมาเป็นของตน ว่านชิงอีรู้สึกว่าโชคชะตากำลังเล่นตลกกับนาง นางไม่มีวรยุทธหรือวิชาป้องกันตัว หากมีคนคิดจะฆ่านาง นางก็คงจบชีวิตลงอย่างง่ายดาย พอนึกถึงตรงนี้ว่านชิงอีก็เศร้าใจอยากบอกไม่ถูก ปิงปิงเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจได้ในทันทีว่านางรู้สึกเช่นไร จึงรีบเข้ามาสวมกอดนางแน่น พระสนมกุ้ยเฟยมองเด็กน้อยวัยห้าหนาว ที่เข้าไปสวมกอดว่านชิงอีอย่างแปลกใจ นางเป็นใครกัน? นางว่าจะถามว่านชิงอีตั้งแต่ตอนเข้ามา เพราะเด็กน้อยนางนี้มีใบหน้าที่น่ารักถูกใจนางเหลือเกิน แต่ทว่าเหตุใดว่านชิงอีถึงดูเศร้านัก เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ “พระสนม องค์ชายเจินซีห่าว หม่อมฉันอยากได้หม้อต้มยา และอยากปรุงยาในห้องนี้คนเดียวได้หรือไม่เพคะ?” “ได้สิ” ทุกคนรับปากและพากันออกไปจากห้อง ว่านชิงอีจึงเริ่มต้มยาและรีบกรีดนิ้วชี้ หยุดเลือดลงไปในหม้อ ผสมกับตัวยาในห่อจากนั้นก็ต้มไปสักพัก พอเสร็จนางก็ไปเปิดประตู “องค์ชายยาต้มเสร็จแล้วเพคะ รอให้เย็นอีกหน่อยก็ให้ฝ่าบาทเสวยได้แล้วเพคะ” พระสนมกุ้ยเฟย เหว่ยอ๋อง เจินซีห่าว รีบพากันเข้าไปในห้องอีกครั้ง เหว่ยอ๋องรีบยกถ้วยมาเป่า เพื่อให้เย็นลงเร็วขึ้น ก่อนเจินซีห่าวจะเข้าไปประคองร่างของฝ่าบาทให้ลุกนั่งพิงตัวเข้า เหว่ยอ๋องค่อยๆ ป้อนยาอย่างช้าๆ ฝ่าบาทรู้สึกตัวอยู่บ้างจึงไม่ลำบากในการป้อนยามากนัก จนยาหมดถ้วยองค์ชายเจินซีห่าวก็ประคองให้ฝ่าบาทนอนลงอีกครั้ง ผ่านไปสักพักฝ่าบาทก็ลุกพรวดขึ้นมาอาเจียนอย่างรุนแรง ก่อนจะหมดสติไปอีกครั้ง หมอหลวงรีบเข้ามาจับชีพจรดูก็บอกให้ทุกคนเบาใจ ผ่านไปหนึ่งก้านธูปฝ่าบาทก็เริ่มขยับตัว ทุกคนที่เฝ้าดูอาการอยู่ก็ดีใจกันอย่างมาก มีเพียงว่านชิงอีที่พอเห็นว่าเลือดนางได้ผล ก็ยิ่งหวาดกลัวและกังวล “องค์ชายให้ฝ่าบาทดื่มยาอีกเพคะ หม่อมฉันต้มไว้หลายถ้วย คิดว่าดื่มอีกสามสี่ถ้วยก็น่าจะดีขึ้นแล้วเพคะ” ว่านชิงอีเอ่ยบอกองค์ชายเจินซีห่าว โดยไม่มองเหว่ยอ๋องเลยสักนิดและไม่คิดจะพูดด้วย หากอาการของฝ่าบาทดีขึ้นนางจะขอตัวกลับ เพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวใดๆ กับราชวงศ์ กลับไปนอนคิดหาวิธีหาเงินสบายใจกว่า หลังจากดื่มยาถ้วยที่สองฝ่าบาทก็อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พระสนมกุ้ยเฟยรีบดึงแขนว่านชิงอีมายืนข้างเตียง เหว่ยอ๋องพอเห็นว่านชิงอีขยับมายืนข้างเตียง ก็มองนางอย่างงงๆ ว่านางคิดจะทำอะไรเพราะเขามองไม่เห็นพระสนม แต่พอเห็นนางจับแขนฮ่องเต้ เขาจึงพอเดาออกว่ามารดาคงอยากพูดคุยกับเสด็จพ่อ ฮ่องเต้พอเห็นดรุณีน้อยมายืนข้างเตียงพร้อมจับแขนของเขา ก็มองอย่างไม่เข้าใจ แต่จู่ๆ เขาก็เริ่มมองเห็นสนมกุ้ยนั่งอยู่ข้างเตียง ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ “ฝ่าบาทเป็นนางที่ทำให้หม่อมฉันได้พบพระองค์อีกครั้ง และเป็นนางอีกเช่นกันที่รักษาพระองค์จากพิษที่ขันทีชั่ววางยาพระองค์ เป็นเพราะฝ่าบาทถูกพิษพร่ำเพ้อพูดถึงหม่อมฉัน เหว่ยอ๋องจึงออกไปนอกวังเพื่อจะให้นักพรตมาดูว่า วิญญาณหม่อมฉันยังวนเวียนอยู่ที่นี่หรือไม่ แต่เขากลับพบแม่นางน้อยผู้นี้จึงพามาที่นี่ ฝ่าบาทนางเก่งมากจริงๆ เพคะ พวกเราเป็นหนี้บุญคุณนางแล้ว” พระสนมเอ่ยยื้ดยาวนำ้ตาไหลอาบใบหน้า ฮ่องเต้ฟังสนมรักเล่าเรื่องราวก็เริ่มปะติดปะต่อจนเข้าใจ ก่อนจะยกยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับว่านชิงอี “ขอบใจเจ้ามาก เจ้าเป็นบุตรสาวของผู้ใด?” “หม่อมฉันว่านชิงอีเป็นบุตรสาวของเสนาบดีว่านฝ่ายกรมพิธีการเพคะ” “บุตรสาวเสนาว่านเองหรอกรึ เขาเคยเล่าให้เราฟังเมื่อสิบสี่ปีก่อน ว่าเคยมีนักพรตได้ทำนายทายทักว่า บุตรสาวคนที่สามจะมีบุญญาธิการมากและผู้คนจะได้พึ่งพานาง เราพึ่งเขาใจก็วันนี้เอง” ฮ่องเต้หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อก่อนเขามองว่าเสนาบดีว่านช่างเหลวไหล เชื่อคำพูดของนักพรตอย่างงมงาย แต่มาวันนี้เขาถึงได้เห็นกับตาตนเองโดยไร้ข้อโต้แย้งใดๆหลังจากเหว่ยอ๋องสงบสติอารมณ์ลงบ้างแล้ว เขาก็นึกโทษตนเองที่บันดาลโทสะใส่นาง จนเกือบจะฆ่านางไปแล้ว ในเวลานั้นเขาเพียงคิดว่า สิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องไร้สาระเพราะหมอหลวงยังตรวจไม่พบ แล้วนางเอาอะไรมาพูด ที่จริงเป็นเพราะเขาไม่อยากเชื่อว่า คนสนิทใกล้ตัวจะกล้าลงมือกับเสด็จพ่อ จึงบันดาลโทสะใส่นาง ท่าทางของนางหวาดกลัวเขามาก เขานั่งมองนางพูดคุยกับเจินซีห่าวและจับมือเขาหนึ่งข้าง พวกเขาคงกำลังพูดคุยอยู่กับมารดาของเขาสินะ ท่าทางของนางดูผ่อนคลายมากกว่าอยู่กับเขาเสียอีก นางก็แค่สตรีวัยเยาว์ผู้หนึ่ง เขาคงทำให้นางกลัวไปแล้ว ว่านชิงอีพอได้พูดคุยกับเจินซีห่าวถึงรู้ว่าที่จริงแล้ว เขาเป็นคนคุยสนุกคนหนึ่งเลยทีเดียวเลย เขาเป็นบุตรของนางสนมขั้นผินกับฝ่าบาท แต่เพราะนางเสียชีวิตจากไป พระสนมกุ้ยเฟยจึงนำเขามาดูแลเลี้ยงดูพร้อมกันกับเหว่ยอ๋อง เขาจึงนับถือพระสนมเป็นเสมือนมารดา แต่พระสนมกุ้ยเฟยก็อายุสั้นล้มป่วยและเสียชีวิตเช่นกัน เวลานี้มีว่านชิงอีเป็นตัวเชื่อมเขาจึงมองเห็นพระสนมกุ้ยเฟยอีกครั้ง “คุณหนูว่านพอจะมีวิธีช่วยเหลือฝ่าบาทหรือไม่?” เจินซีห่าวคิดว่าต้องลองถามนางดู เขาเชื่อว่านางต้องมีวิธี “นั่นสิคุณหนูว่า
ว่านชิงอีเดินตามเขาออกมาพร้อมกับเสี่ยวหม่านและปิงปิง ที่ยามนี้งงกับสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาสองคนพานางเดินไปที่ลับตาคน ก่อนจะหันกลับมามองนางอย่างพิจารณา สายตาคมกริบดั่งใบมีดจ้องมองนางอย่างจับผิด “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเตี๊ยมกันมา?” ว่านชิงอีรีบนึกหาคำพูดว่าควรจะตอบอย่างไรดี แต่จู่ๆ ดาบก็พาดมาบนคอ ว่านชิงอีตกใจแทบสิ้นสติ นึกหาคำพูดไม่ออกเลยทีนี้เพราะหวาดกลัวสุดขีด “ข้ายังเป็นเด็กก็พูดไปเรื่อยเปื่อยท่านอย่าได้ถือสาเลยเจ้าค่ะ” ว่านชิงอีรีบพูดออกไปใบหน้าซีดเผือด เสี่ยวหมานเองก็หวาดกลัวจนไม่กล้าส่งเสียง แม้จะเป็นห่วงนางมากก็ตาม “แล้วที่เจ้าพูดว่าสามารถมองเห็นวิญญาณ อันนั้นก็พูดไปเรื่อยเปื่อยอีกสินะ” บุรุษหน้าหล่อแต่ดูอำมหิตอีกคนถามขึ้น แล้วจะให้นางตอบอย่างไรดีละ “ชะ..ใช่เจ้าค่ะ” ว่านชิงอีก้มหน้าเอ่ยตอบเสียงอุบอิบ เจินจางเหว่ยแค่นยิ้มมุมปากกับความไร้สาระของนาง “ข้าเกลียดคนชอบโกหกและพูดเล่นไปเรื่อย ข้าจะให้โอกาสเจ้าตอบอีกครั้ง” คราวนี้นำ้เสียงเขาดูเยียบเย็นมากจนนางขนลุก “ข้าเห็นวิญญาณจริงๆ เจ้าค่ะ” คราวนี้ว่านชิงอีรีบตอบเร็วปรือ “พิสูจน์สิ” เจินซีห่าวเอ่ยบอกนางน้ำเสียงกดดัน ว่านช
พอกลับมาถึงจวนว่านชิงอีก็บอกให้เสี่ยวหมาน เอาของสดที่ซื้อจากตลาดไปเก็บที่ครัว ก่อนนางและพี่สาวจะพากันเดินไปพบกับมารดาที่เรือน ว่านซูอวี้แปลกใจที่เห็นสามพี่น้องเดินมาพร้อมกัน แถมยังดูสนิทสนมกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นเมื่อมาถึง ว่านซูอวี้มองนางด้วยสายตาอ่อนโยน “พวกเจ้าไปไหนกันมาหรือ?” “ไปตลาดมาเจ้าค่ะ ท่านแม่พวกข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่านเจ้าค่ะ” ว่านชิงหลินคุณหนูใหญ่ เริ่มเล่าเรื่องราวที่ได้พูดคุยกันกับว่านชิงอี จนยามนี้เข้าใจกันดีแล้ว แม้กระทั่งเรื่องทรัพย์สินของว่านชิงอี ที่นางยินดีเอาไปเป็นส่วนกลางเพื่อใช้จ่ายภายในครอบครัว แต่พอได้ยินเช่นนั้นว่านซูอวี้กลับกังวลและไม่สบายใจ ฮูหยินผู้เฒ่าและสามีนางต้องไม่พอใจแน่ ว่านชิงอีเห็นสีหน้ามารดาก็เข้าใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ท่านไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจะคุยกับท่านพ่อและท่านย่าเองเจ้าค่ะ ข้ามีวิธีพูดให้ท่านทั้งสองยอมแต่โดยดีเจ้าค่ะ” ว่านชิงอีเอ่ยพร้อมยกยิ้มและทำหน้าเจ้าเล่ห์ “แต่ว่าเงินเหล่านี้อาจจะช่วยสกุลเราไปได้ระยะหนึ่ง ท่านพ่อเงินเดือนก็คงไม่พอ เราต้องหารายได้ทางอื่นเพิ่ม วันนี้ข้าเดินสำรวจตลาดก
วันต่อมาว่านชิงหลินและว่านชิงหลาน ก็มาหาว่านชิงอีที่เรือน เพราะเรื่องที่นางสามารถรักษาดวงตาของเสี่ยวหมาน ทำให้ทั้งสองคลางแคลงมาก เมื่อมาถึงก็เห็นว่านชิงอีเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เปลี่ยนไปจากเดิม ผมของนางเพียงแค่ม้วนเป็นก้อนกลมๆ ตรงกลางศีรษะแล้วปักปิ่นเรียบๆ ชุดที่นางสวมใส่ของเรียบๆ ไร้สีสันเหมือนแต่ก่อน “นี่เจ้าเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกหรือ?” ชิงหลินเอ่ยถามขึ้น “เจ้าค่ะพี่ใหญ่จะไปด้วยกันหรือไม่? ข้าอยากไปเดินเที่ยวตลาดและอยากซื้ออะไรมาทำกินด้วย” “ฮึ!นิสัยเจ้าก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยสักนิดวันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นและใช้เงินทองอย่างสุรุ่ยสุร่าย เป็นนิสัยที่เจ้าทำอยู่เป็นประจำ เจ้ารู้หรือไม่ยามนี้จวนของเราใกล้จะถังแตกอยู่แล้ว ทุกอย่างมันเป็นเพราะเจ้า!” ว่านชิงหลานเอ่ยอย่างโกรธเคือง กับนิสัยของว่านชิงอีที่แก้ไม่หาย “ชิงหลานเจ้าใจเย็นก่อนเถิด” ชิงหลินรีบเอ่ยปราม ว่านชิงอีทำหน้างงเพราะนางไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน “ข้าหรือ?” ว่านชิงอีชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “ก็ใช่นะสิ ตั้งแต่เจ้าเกิดมาท่านพ่อ ท่านย่า ก็ดูแลเจ้าอย่างกับองค์หญิง เรือนของเจ้าก็สั่งให้ปลูกแบบพิเศษ เสื้อผ้าอาภรณ
ว่านชิงอีหยิบประคำหยกเจ็ดสีออกมาสวมใส่ ก่อนจะรับรู้ถึงพลังบางอย่างไหลเวียนทั่วร่างก่อนจะหายไป จากนั้นนางก็หยิบสิ่งของที่อยู่ในยามออกมา มีข้าวสารเสก สายสิญจน์ ยันต์ มีดอาคม และหนังสือเก่าโบราณเล่มหนึ่ง พอนางเปิดขึ้นมาอ่านตัวอักษรในหนังสือ ก็ลอยมาเข้าตัวนางจนหมด จากนั้นหนังสือก็หายไป “ปิงปิงแปลกมากเลยหนังสือหายไปแล้ว” “ก็ไม่แปลกนี่เจ้าค่ะ ก็ท่านเป็นเทพผู้พิทักษ์ ย่อมมีอะไรเหนือกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว” ปิงปิงอธิบายอย่างคล่องแคล่ว แต่จู่ๆ ก็มีบ่าวรับใช้หญิงเดินเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัว “คุณหนูสามท่านอยากจะชำระร่างกายเลยหรือไม่ ข้าจะได้เตรียมน้ำเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้หญิงยืนก้มหน้าเนื้อตัวสั่น ว่านชิงอีสังเกตเห็นว่าดวงตาของนางบอดหนึ่งข้าง จึงลุกเดินเข้าไปหา “เจ้าเงยหน้าขึ้น” บ่าวรับใช้หญิงยิ่งตัวสั่นมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เป็นอะไรตัวสั่นมากขนานนี้กลัวข้าเหรอ?” ว่านชิงอีกล่าวจบก็เอื้อมมือไปสัมผัสตัวนางเพื่อปลอบขวัญ แต่ทันใดภาพต่างๆ ในความทรงจำก็วิ่งแล่นเข้ามา ภาพที่ว่านชิงอีตบหน้าและสาดน้ำแกงใส่หน้าบ่าวรับใช้คนนี้ จนนางตาบอดเพราะน้ำแกงเผ็ดร้อนจากเครื่องเทศ นี่มันอะไรกัน!ร่างนี้ร้ายกาจได
พอเข้ามาในเรือนยังไม่ทันได้นั่ง เสียงเอะอะข้างนอกก็ดังเข้ามา ว่านชิงอีกลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย นางเพิ่งจะทะลุมิติมาอยู่ในยุคนี้ อยากหาเวลาปรับตัวปรับใจ กับสถานที่อยู่แห่งใหม่ แต่ก็ยังมีคนตามมาวุ่นวาย ให้นางเดาคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบิดาผู้แสนประเสริฐและท่านย่าผู้แสนใจดี “บุตรสาวสุดที่รักของพ่อ ได้ข่าวว่าเจ้าฟื้นแล้วจริงหรือนี่ ขอบคุณสวรรค์ๆ” ว่านจื่อหยวนพอก้าวเข้ามาเห็นว่านชิงอี ก็รู้สึกดีใจจนบรรยายไม่ถูก จึงรีบคุกเข่าคำนับฟ้าดินและขอบคุณสวรรค์ไม่หยุด เขาเชื่อแล้วว่าคำทำนายของท่านนักพรตเป็นจริง นางตายแล้วฟื้นจะมีใครทำเช่นนี้ได้ หากไม่ใช่คนที่เกิดมาพร้อมบุญญาธิการ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ยิ่งทำให้เขาปักใจเชื่อมากขึ้นเป็นร้อยเท่า ก่อนฮูหยินผู้เฒ่าจะก้าวเข้ามาอีกคน “หลานรักของย่าเจ้าฟื้นจากความตายจริงๆ หรือ มาให้ย่ากอดหน่อย เด็กดีของย่าหมดเคราะห์เสียทีนะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากอดว่านชิงอีพร้อมลูบหัวลูบตัวไปมา ด้วยความรักใคร่และเอ็นดู ว่านชิงอีเริ่มทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้ผู้เป็นย่ากอดอยู่อย่างนั้น “เนื้อตัวเจ้าซีดมาก ซื่อหยวนไปบอกบ่าวในจวนให้ไปตุ๋นน้ำแกงร้อนๆ ให้หลาน