รู้ดีว่าถึงแม้อยากจะรับเพียงใดอันอันก็ไม่มีทางทำผิดต่ออินจิ๋นก็ในเมื่อสิ่งที่ได้มาจากอินจิ๋นมากจนไม่ควรรับจากคนอื่นอีก
“นายหญิง แต่ท่านขุนพล”อึกอักด้วยความลำบากใจ
“เขาให้เจ้าเท่าไหร่ จึงอาสามาพูดแทนท่านขุนพล ข้าไม่รับสินบนแต่นำคำพูดของข้าไปบอกเขา เผื่อว่าโอกาสหน้าอันอันจะได้ พึ่งพาท่านขุนพลบ้าง”ขันทีหนุ่มน้อยนามเสี่ยวจื้อก้มหน้ามองพื้น
“ขอรับนายหญิง”อ้อมแอ้ม
“อืมบอกเขาว่า ฝ่าบาทนิยมหญิงงามที่ชดช้อยยามเยื้องย่างเหมือนไม่ได้ก้าวเดิน สะโพกกลมกลึง แต่ไม่ต้องผายออกจนเกินงาม ถันต้องเต่งตึงดันอาภรณ์ขึ้นมาอวดโฉมและที่สำคัญที่สุด จะต้องอ่อนหวานเขินอายแต่จะต้องปรนิบัติฝ่าบาทด้วยความเต็มใจยิ่ง แค่นี้หวังว่าท่านขุนพลจะจัดการให้บุตรีของเขา เป็นอย่างคำพูดของข้าที่ฝากบอกไป สักวันข้าก็คงส่งนางเข้าปรนิบัติฝ่าบาท หากจัดการตามที่ข้าบอกไม่ได้ข้าเองก็จนปัญญา”
เสี่ยวจื้อถอนหายใจประสานมือ ก้าวเดินจากไปในทันที อันอันถอนหายใจ
หญิงที่ฝ่าบาทนิยม และต้องการในทุกคืนมีบุคลิกคล้ายกันแทบทุกคนแต่ที่สำคัญที่สุดจะต้องมีท่าทียั่วยวนที่ไม่ยั่วยวน อันอันอาศัยสายตาผู้หญิงด้วยกันจึงมองออกว่าใครที่พร้อมจะยั่วยวนฝ่าบาทด้วยความไม่ยั่วยวนของนางพูดง่ายๆ คือแสร้งเดียงสายามอยู่ต่อหน้าอินจิ๋นแต่ต้องไม่เจนจัดหรือเนียมอายจนเกินไปเมื่ออยู่บนแท่นนอน นั่นคือต้องเป็นธรรมชาติที่สุด
อันอันยิ้มให้กับตัวเอง อันอันเคยตกตะลึงกับมัดกล้ามที่อกกว้างของอินจิ๋นเคย ..ลอบกลืนน้ำลายกับริมฝีปากอิ่มที่ขยับขึ้นลงยามที่ยื่นหน้าเข้ามาพูดคุยกับอันอัน บุรุษผู้นี้มิใช่แค่เพียงสูงส่งแต่ทว่ามีแรงดึงดูดบางอย่างที่แค่เพียงเข้าใกล้กลับรู้สึกว่าใจสั่นระรัว
แต่ดูอันอันสิ หาได้มีสิ่งที่อินจิ๋นนิยมไม่ มีเพียงความรู้ใจเท่านั้นที่อันอันมีให้อันอันรู้ใจอินจิ๋นดีกว่าใครในวังหลวงแห่งนี้ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เรื่องไหนอันอันก็จัดการได้หมดจด อินจิ๋นเคยเปรยๆ ยามที่เมามายว่าหากไม่มีอันอันอินจิ๋นคงไม่อาจจัดการทุกอย่างได้เพียงลำพัง
“นายหญิงเจ้าขา ฝ่าบาทให้ข้าน้อยมาบอกนายหญิงว่าพรุ่งนี้ราชทูตจากแคว้นฉีจะเดินทางมาถวายเครื่องบรรณาการ นายหญิงจะต้องเขาร่วมแสดงความยินดี และต้อนรับองค์หญิงใหญ่ของแคว้นฉีที่จะมาพร้อมกับขบวนทูต ครั้งนี้ฝ่าบาทให้นายหญิงจัดการเรื่องการต้อนรับ"
อันอันถอนหายใจ งานใหญ่อีกแล้ว
“เข้าใจแล้ว วันนี้ดึกแล้วข้าเหนื่อยเหลือเกินเจ้าไปนอนเสียข้าเองก็อยากจะพัก”
หันหลังเดินเข้าห้องไม่รอให้นางกำนัลย่อกาย ก็นางอายุไล่เลี่ยกับอันอัน ใครบ้างจะไม่เกรงกลัวอันอัน ในเมื่อฝ่าบาทถือหางนางเพียงนั้น
ปิดประตูเบาๆ ปลดอาภรณ์ให้ลงไปกองกับพื้นอาภรณ์ชุดขันทีรุ่มร่ามกับมวยผมที่ต้องเกล้ารวบจนตึงเปรี๊ยะเพื่อความเป็นระเบียบ ใบหน้าที่ขาวซีดไร้การแต่งแต้มดังเช่น หญิงทั่วไปในวังหลวง
วันนี้อากาศไม่เย็นอย่างเช่นทุกวัน อันอันแช่น้ำอุ่นจนพอใจ ก้าวขาขึ้นจากน้ำหมดเวลากับการแช่น้ำอุ่นเสียนาน ดึงผ้าผืนน้อยพันสิ่งสงวนไว้เสีย ประทุมถันที่ดันผ้าผืนน้อยบางเบาออกมายอดประทุมถันที่เต่งตึงสีชมพูระเรื่อ รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปากอันอันรู้ได้ทันทีว่าตัวเองเข้าสู่วัยสาวสะพรั่ง แต่หากยังอยู่ในวังหลวงก็คงหา บุรุษมาชอบพอได้ยาก อาศัยรับใช้ใกล้ชิดอีกหลายปีกว่าจะได้ออกไปใช้ชีวิตนอกวังหลวง เมื่อนั้นร่างกายก็คงโรยรา ไร้คนหมายปอง ทรุดกายลงนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งผมยาวสลวยเปียกชื้นด้วยหยดน้ำเกาะพร่างพราว ใบหน้าซีดขาวแต่ได้รูปริมฝีปากสีชมพู อันอันหยิบสีชาดสีเข้มกว่าริมฝีปากเล็กน้อยที่วางทิ้งไว้เสียนานขึ้นมาขบเม้ม ริมฝีปากกลายเป็นสีชมพูเข้มกลีบดอกเหลียนฮวาในทันที เลือนนิ้วมือไปบนริมฝีปากอวบอิ่ม จับแปรงสางผมขึ้นมาสางผมยาวสลวยไม่ต้องเกล้ามัด ใบหน้างดงามในกระจกเงาริมฝีปากสีชมพูน่ามอง ผมยาวสลวยระอยู่บนไหล่ขาวเนียนและแผ่นหลังขาวผ่อง ลำคอระหง กับดวงตากลมโต
“เจ้าก็งดงามเหมือนกันอันอัน”
ยิ้มให้ตัวเองในกระจกก่อนจะลุกขึ้นตั้งใจสวมอาภรณ์ในชุดบางเบาจะได้หลับสบายผ่อนคลายให้สมกับที่เหนื่อยมาทั้งวัน
เสียงประตูเปิดออกทันทีอันอันยังอยู่ในสภาพที่ใช้ผ้าผืนน้อยปิดบังเพียงสิ่งสงวน
หะแรกคิดว่าเป็นนางกำนัลที่ตั้งใจเข้ามาเพื่อแจ้งข่าวของอินจิ๋นที่มักจะมีข่าวมาแจ้งบอกอันอันไม่ว่าเวลาไหน นางเข้ามาโดยวิสาสะคงเห็นว่าไฟในห้องยังสว่างอยู่
“ อืมป่านนี้เจ้ายังต้องส่งข่าวให้ข้าอีกหรือ”
หันหลังหยิบอาภรณ์ พูดไปยิ้มไป แต่ไม่ลืมใช้มือกุมรอยขมวดผ้าผืนน้อยที่อกอิ่มไว้แน่นหมิ่นเหม่ว่ามันจะหลุดเสียให้ได้ นางไม่ได้นอนอันอันก็ยังไม่ได้นอน คิดตำหนิอินจิ๋นที่มักจะมีคำบัญชายามดึกเสมอ คิดได้ตอนไหนก็บัญชาในตอนนั้น คนที่ต้องทำตามคืออันอัน
“.......”
ตาคมจ้องมองร่างอวบอิ่มด้านหลังตาไม่กะพริบรอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก
“ข้าไม่เคยเห็นเจ้าในแบบนี้”
“ร้ายก็รักรักที่สุด ร้ายเพราะเจ้ารักข้า ทำเพื่อข้าจะไม่รักได้อย่างไรในเมื่อใจข้ามีเพียงเจ้าคนเดียว ถึงเจ้าไม่ทำแบบนี้ข้าก้จะรักเจ้าคนเดียวทำเพื่อเจ้าคนเดียวแต่เมื่อรู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้่าเพียงนี้ จะไม่ให้รักได้อย่างไร”โน้มตัวลงกดริมฝีปากกับปากอวบอิ่มเนิ่นนาน อันอันยิ้มสุขสมจะไม่ว่าอย่างไรสำหรับอินจิ๋นก็คือฝ่าบาทของอันอันคนเดียวเช่นกัน ที่ทำไปก็เพื่อสิ่งนี้เพื่อให้ได้ครองใจฝ่าบาทเพียงผู้เดียว “เข้าไปข้างในกันหรือยังข้าอยากได้กลิ่นเซียงเฉ่าอีกครั้ง คราวนี้ ยันเย้นยันเช้าไปเลยดีไหม”อันอันยิ้มหวาน อินจิ๋นอุ้มร่างอวบพาเดินเข้าไปในห้องบรรทม เข้าประตูไปตั้งใจจะลงกลอน “อ๋อ เสี่ยวจื้อบอกอาจารย์ไม่ต้องมาคอยแอบดู แอบฟังข้าหรอกข้าใช้ผ้าหนาบุห้องอีกทั้งยังใช้แผ่นไม่สนบุห้องกันเสียงเล็ดลอด ตามที่อาจารย์สอนมาเรียบร้อยแล้ว”ตะโกนสั่งเสี่ยวจื้อที่ปิดปากหาวตาปรือ อันอันหัวเราะคิกคัก อินจิ๋นอุ้มร่างอวบเดินเข้าไที่แท่นนนอนกลิ่นกำยานที่เป็นกลิ่นเซียงเฉ่าหอมตลบอบอวลไปทมั่ว อันอันถอนหายใจสุดดมกลิ่นแห่งความสุขกลิ่นแห่งความทรงจำแห่งความสุข ต่อไปเมื่อได้กลิ่นนี้ครั้งใดก็จะมีแต่ความสุข อินจิ่น ปลดอาภรณ์ของอ
“ก็ ห้องหออยู่ทางด้านขวา แต่นี่มันห้องทางด้านซ้าย”ชี้มือไปยังอินจิ่นที่พยุงอันอันเดินออกมาหน้าตำหนักจากห้องทางขวาให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่สนามหญ้ารับเครื่องเสวยยามสาย“ค่อยๆเดิน ระวังหน่อยอันอัน ให้ข้าช่วย”เลื่อนแท่นนั่งให้อันอันแล้วพยุงอันอันลงนั่งบนแท่นนั่งอย่างอ่อนโยน“เป็นท่านขุนพลที่ชวนข้ามาทางซ้าย”เสืี่ยวจื้อยังบ่นพึมพัม“เฮ้อ บุญมีแต่กรรมบังมาถึงนี่แต่กลับมาผิดห้องผิดฝั่ง”“อ้าว อาจารย์กับเสี่ยวจื้อสองคนมาเสียพร้อมกันอาอาจาย์ลมอะไรหอบท่านมาถึงนี่”อินจิ๋นเอ่ยทักด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ ผิดกับอันอันที่ก้มหน้าด้วยความเขินอาย“ข้ามาเดินสุดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า”จงเจี้ยน รีบแก้ตัว“แต่นี่มันสายแล้ว”เสี่ยวจื้อก้มหน้านิ่ง“ขะข้าแวะมาหาเสี่ยวจื้อ”อินจิ๋นเลิกคิ้วสูง จงเจี้ยนอยบากจะถามเรื่องที่เมื่อคืนที่ผ่านมาใจแทบขาดแต่เกรงใจอันอันยิ่งนัก“เมื่อคืน ฝ่าบาทกับฮองเอาหลหับสบายไหม”อ้อมค้อมก็เป็นอันอันหันสบตาอินจิ่นอายๆ“หลับสบายยิ่งอากาศหนาวนอนสองคนกำลังดี”เสี่ยวจื้อปิดปากหาวบ้าง“ข้ากับท่านขุนพลไม่ได้นอนทั้งคืน”บ่นเบาๆ“เสี่ยวจื้อเจ้าว่าอย่างไรนะ”“ปะปะเปล่าเสี่ยวจื้อมากับข้า”จงเจี้ยนดึงเสื่ยว
ร่างอวบอิ่มที่สวมอาภรณ์ปิดมิดไปถึงคอเสื้อ ผ้าคลุมสีแดงปิดบังใบหน้างดงามริมฝีปากอวบอิ่มแต้มชาดสีแดงสดกัดริมฝีปากเบาๆอย่างใช้ความคิดป่านี้ อินจิ๋นยังำม่ข้ามาทั้งๆที่อันอันนั่งรอตั้งแต่ฟ้ามืด“เสี่ยวจื้อเอามาให้หมด เอาทุกอย่างมารวมกันแล้วก็กินเสียทีเดียวพร้อมกันให้หมด”ฮึกเหิมยิ่งนัก“ฝะฝะฝ่าบาทแต่ ของพวกนี้เป็นยาบำรุงกำหนัดอย่างดีทั้งนั้น เกรงว่าหากกินเข้าไปเพียงนี้ฝ่าบาทจะเอาไม่ลงนะพ่ะย่ะค่ะ เสี่ยวจื้อกลัวว่าจะเกิดปัญหาตามมา” ยื้อสารพัดสารพัน ยาปลุกกำหนัดไว้ในมืออินจิ๋นถอนหายใจ“เสี่ยวจื้อข้าเป็นฮ่องเต้หรือเจ้าเป็นฮ่องเต้”“ฝ่าบาทไม่ได้ พ่ะย่ะค่ะเสี่ยวจื้อหวังที่สุดแล้ว”ล้มลงไปทับยาปลุกกำหนัดไว้ อาศัยร่างกายหนักอึ้งทับไว้“ก็ได้ ข้ากินเท่านี้”วางห่อยาลงบนโต๊ะ เสี่ยวจื้อวิ่งปู๊ดมามาคว้าห่อยา แล้ววิ่งแน่บออกจากห้องไปทิ้ง ห่อยาไว้ให้เพียงหนึ่งห่อ“เสี่ยวจื้อ กลับมานะมานี่เลยนะเสี่ยวจื้อ”“ฝ่าบาท ฮองเฮาทรง ทรง…ทรงให้ข้าน้อยมาทูลว่าหากฝ่าบาทยังไม่ไปที่ตำหนักชิงหนิงกงในตอนนี้ ฮองเอาบอกว่าจะปิดประตูเสียไม่ให้ฝ่าบาทเข้าไป”พูดรัวเร็วก่อนจะก้มหน้าด้วยความกลัวว่าอินจิ่นจะโมโห อินจิ๋นลุกพลวดวิ่ง
“จงเจี้ยน” อินจิ๋นเดินเอามือไพล่หลังเมื่อจงเจี้ยนอยู่เพียงลำพัง“จงเจี้ยนถวายพระพรฝ่าบาท”ประสานมือตรงหน้าด้วยรอยยิ้มใบหน้าอิ่มเอิบ อีกทั้งแววตายังเปล่งประกาย“ข้ามีเรื่องสำคัญ”“ฝ่าบาทหากเป็นเรื่องของฟางหลัน ข้าน้อยพิจารณาแล้วว่าควร ให้นางออกบวชสำนึกผิดบำเพ็ญตนเป็นเวลาสามเดือน ฝ่าบาทเห็นสมควรประการใดหรือคิดว่าโทษที่นางได้รับน้องไปหรือไม่”“แล้วแต่ท่านท่านขุนพล”“ฝ่าบาทวัดที่นางจะเดินทางไปบำเพ็ญเพียรสำนึกตน อยู่ห่างจากวังหลวงเกือบพันลี้ ฝ่าบาทคิดว่าใกล้ไกลเพียงใด”“แล้วแต่ท่านขุนพล”“นายหญิง อันอันขอร้องแทนนางให้นางบำเพ็ญเพียรที่วัด ตำหนักฟ้าไม่ไกลจากวังหลวงแต่ข้าน้อยอยากให้นางสำนึกผิดจนจริงจังเป็นข้าดูแลบุตรีไม่ได้จึงทำให้นายหญิงอันอันต้องพลอย ลำบากไปด้วยฝ่าบาทเห็นว่าควรไม่ควรอย่างไร”“แล้วแต่ท่านขุนพล”“ข้าน้อยเมื่อเสร็จงานสถานปนา ฮองเฮาก็จะเดินทางกลับไปที่ด่านชายแดนตามที่ประสงค์ไว้ในแต่แรก ตั้งใจปกป้องด่านชายแดนแคว้นหานเช่นเดิม”“แล้วแต่ท่านขุนพล”“ฝ่าบาท ฝ่าบาทจะเอาแต่พูดว่า แล้วแต่ข้าไม่ได้ในใจฝ่าบาทคิดเช่นไรจงเจี้ยนจะรู้ได้อย่างไร หรือว่าฝ่าบาทยังโกรธเคืองจงเจี้ยน ที่ผ่านมาไม่พู
จงเจี้ยนเปิดผ้าคลุมหน้าของชิงซี ก่อนจะรวบร่างบางกระโจนขึ้นบนแท่นนอน“ท่านพี่ท่านอย่าใจร้อนยังไม่ทันปลดแกะอาภรณ์”“ไม่จำข้าอยากจะเห็นเจ้าควบม้าเสียเต็มที่แล้ว คิดถึงท่าทีควบม้าของเจ้าครั้งใดข้าน้ำลายไหลทุกที”“ที่ชิงซีควบ เพราะว่าม้าหนุ่มงุ่นง่าน ไม่ได้ดั่งใจชิงซีอยากให้ทุกอย่างเสร็จสมจึงต้องลงทุนลงมือเอง”“นี่เจ้าตำหนิข้าหรือ ดีข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าม้าแก่เช่นข้าชำนาญศึกไกลใกล้ ไม่ยอมให้ใครดูถูก การศึกหนักหนากว่านี้ยังผ่านมาได้ เรื่องเอาใจภรรยาก็ไม่ให้น้อยหน้าใคร”ดึงเอวบางเข้าหาตัว เปิดกระโปรงขึ้นกระแทกบั้นเอวแรงสุดแรงจนชิงซีแทบจะสำลัก“ท่านขุนพลลลลล อ่าท่านขุนพลท่านขุนพลของข้าช่างองอาจเสียจริงอ่าาาา”เสียงครางระงมลั่นไปทั่วห้องแต่จะบอกไว้ก่อนอย่าหวังว่าใครจะได้ยิน ในเมื่อชิงซี ให้คนผ้าหนามาบุไปทั่วห้องอ้างว่าเพราะอากาศหนาวแล้วยังบุด้านในสุดอีกชั้นด้วยแผ่นไม้แปะทับเพื่อการนี้ ไม่ว่าจะส่งเสียงดังเพียงใด ก็หาเล็ดลอดออกไปด้านนอกได้ไม่ บทรักหฤหรรษ์ท่ามกลางความสุขสมของคนทั้งคู่จึงไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมหรือเขินอายในเมื่อเขินอายกันมามากพอแล้วควรจะตักตวงความสุขกันเสียทีที่หัวใจสองดวงตรงกัน ทุก
“พวกเจ้าไปนำตัวนางจากตำหนักข้ามา ที่นี่”สั่งคนสนิทและองครักษ์เบาๆอินจิ๋นถอนหายใจโล่งอก“อินจิ๋นขอบพระทัยฝ่าบาทที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์สองแคว้น”ชิงไฉ่โบกมือไปมา“ข้าผิดกับฝ่าบาท คนของแคว้นฉีผิดกับฝ่าบาทจึงต้องขออภัย หาใช่ดันทุรังไม่”คนสนิทมาพยุงชิงกวานให้ลุกขึ้นยืนทั้งยังก้มหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลายคล้ายกับดังถูกตบหน้าต่อธารกำนัล ร้ซึ่งคนคอยปกป้อง ชิงไฉ่ฮ่องเต้ที่เคยปกป้องมาตลอดบัดนี้กลับมีเพียงออกตัวก็เท่านั้น“ไท่จือไปเถิด”ส่ายหน้าไปมาก่อนจะทะลึ่งพลวดดึงมีดสั้นที่พกติดตัวมาตลอดออกมาจากแขนเสื้อ พุ่งตัวเข้าหา ชิงไฉ่ที่ก้าวลงมาจากบัลลังก์เพื่อให้เกียรติกับอินจิ๋น มีดในมือ จ่อที่คอหอยของชิงไฉ่ มืออีกข้างล็อกแขนไว้แน่น หลายคนในที่นั้นต่างตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก“ชิงกวาน กล้าทำเรื่องเลวทรามเพียงนี้เชียวรึ ตายไปเป็นผีจะกล้ามองหน้าบรรพบุรุษหรือไร”ชิงไฉ่ตวาดลั่นหาได้สะทกสะท้านไม่ จงเจี้ยนขยับเข้าไปช้าๆ ด้วยสัญชาตญาณของ นักรบยามคับขัน“เสด็จพ่ออย่าบีบคั้นข้า ข้าไม่ได้อยากทำแบบนี้ ข้าเป็นองค์ชายเพียงคนเดียวสิ่งที่ต้องการหรือไม่ก็คือบัลลังก์ เสด็จพ่อทำใจเถิดว่าอย่างไรบัลลังก์นี้ก็จะต้องเ