อันอันหันมาอ้าปากค้าง อินจิ๋นเองก็อ้าปากค้างเช่นกันเมื่อเห็นว่าใบหน้างดงามของอันอันที่เขาเคยมองข้าม อีกทั้งริมฝีปากที่เคยเป็นเพียงสีชมพูซีดจางบัดนี้กลับเป็นสีชมพูเข้ม อินจิ๋นเผลอขบเม้มริมฝีปากอย่างลืมตัว เรือนผมยาวสลวยไม่ได้เกล้ามัด ยาวลงมาตัดกับผิวขาวเนียน สายตาคมจ้องมองต่ำลงมายังมือบางที่กุมขมวดผ้าที่อกอิ่ม ยอดประทุมถันดันผ้าผืนน้อยขึ้นมาอวดโฉมสล้างไม่ได้ตกย้อยด้วยอกอิ่มที่หากสัมผัสคงเต็มไม้เต็มมือเต็มปากเต็มคำ ผิวขาวสะอาดตาต่ำลงมาเป็นเรียวขางามที่โผล่พ้นผ้าผืนน้อยที่ปิดไว้เพียงสิ่งสงวน เนื้อเนียนของขาขาวโผล่ออกมาขาวจนอินจิ๋นต้องกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ชุดขันทีรุ่มร่ามที่เคยคิดว่าขัดตา บัดนี้อินจิ๋นกับรู้สึกว่าผ้าผืนน้อยนั่นขัดตายิ่งกว่า หากมีกระบี่ในมือเขาคงฟันมันขาดยับไปแล้ว สะบัดพับผ้าอาภรณ์ในมือห่มคลุมร่างโป๊ให้อันอันเสียก่อนจะเบือนหน้าหนี อันอันใจหล่นลงไปที่ตาตุ่ม
คงอุจาดตาไม่อยากมองจึงทำเช่นนี้ อินจิ๋นเอามือไพล่หลังหันหลังให้อันอัน
“ข้านำอาภรณ์ชุดใหม่มาให้เจ้า เดิมจะให้นางกำนัลนำมาแต่เห็นว่าเรียกหาพวกนางแล้วต่างเงียบงันคงหลับกันจนสิ้น …อีกอย่างข้านอนไม่หลับ”
ยิ่งมาเห็นอันอันแบบนี้เขายิ่งนอนไม่หลับ
“อาภรณ์ชุดใหม่”
อันอันเลิกคิ้ว จะนอนหลับได้อย่างไรก็คืนนี้ไร้นางในคอยปรนนิบัติให้หลับใหลไปเพราะความอ่อนเพลีย
“ข้าเห็นว่าพรุ่งนี้แขกเมืองจะมาเจ้าก็ไม่แคล้วสวมใส่อาภรณ์ชุดขันทีรุ่มร่าม ข้าขัดนัยน์ตายิ่งนัก”
หันมาเผชิญหน้าอีกครั้ง อันอันพยักหน้ายิ้มบางๆ
“อันอันขอบพระทัยฝ่าบาท”
ดึงอาภรณ์ให้รัดกุม ย่อกายลงแทนที่จะประสานมือเหมือนทุกครั้ง อินจิ๋นถอนหายใจกับท่าทีอ่อนหวานที่เขาเพิ่งจะเคยเห็น
“หากไม่มีอะไรแล้ว ข้ากลับก่อน จะเดินออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์เสียหน่อย”ก้าวเดินสวนเข้ามาในห้อง อันอันอ้าปากค้าง
“ฝ่าบาทประตูอยู่ด้านนั้น”
อินจิ๋นยิ้มโชว์เขี้ยวสวยสองฝั่งซ้ายขวา
“อืม… ข้าคง… ง่วงแล้วต้องไปนอนแล้วเจ้าก็นอนเสียพรุ่งนี้มีงานใหญ่รออยู่”
พูดไปยิ้มไป ก้าวออกจากห้องปิดประตูเบาๆ
อันอันทิ้งตัวลงนอน ไม่วายคิดถึงใบหน้ายิ้มหวานที่มีเขี้ยวสองข้าง อยู่ข้างกายอินจิ๋นมา2ปีนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นรอยยิ้มของอินจิ๋น นอกนั้นมีแต่สั่งๆๆ และสั่ง
เข้าสดใส นั่งลงบนโต๊ะแป้งเพียงแค่จะผัดหน้ายังคิดดูก่อน ตัดสินใจลุกขึ้นมาอาภรณ์ชุดใหม่ที่อินจิ๋นนำมามอบให้ ถอนหายใจยาวลองสวมดูรึว่าจะไปกันได้กับอันอันไหม อาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ในแบบฮั่นฝู่ รัดหน้าอกเต่งตึงให้กลมมนน่ามองเนินอกถูกดันขึ้นมาด้านบนเอวคอดกิ่ว ที่ถูกรัดด้วยสายรัดเอวเนื้อผ้าบางเบา พลิ้วไหวปักลายดิ้นสีฟ้าที่ชายเสื้อและกระโปรงขับผิวขาวให้ยิ่งขาวเนียนหากจะแต่งแต้มใบหน้าด้วยสีชาดเสียหน่อย อันอันคงงดงามเกินใคร ทว่ากับไม่ยอมแต่งแต้มสีสันบนใบหน้า ผมยาวสลวยถูกเกล้าไว้เช่นทุกครั้ง ถึงกระนั้นก็งดงามแปลกตากว่าชุดขันที จะติก็ตรงที่ผ้ารัดอกที่รัดจนเนินเนื้อถูกดันให้เชิดสูงเด่นมากเกินไป อันอันดึงเสื้อคลุมสีเดียวกันมาสวมทับเพื่อปกปืดร่องอกและเนินอกเต่งตึงเสีย
ประตูเปิดออกช้าๆ
ร่างสูงในเสื้อคลุมมังกรก้าวเข้ามาข้างใน ตรงเข้ามายืนมองอันอันจากด้านหลัง
อันอันมองจากบานกระจกแล้วหันกลับมาประสานมือตรงหน้า
"อันอันถวายพระพรฝ่าบาท"
สีหน้ายามนี้บ่งบอกว่าไม่ชอบใจนัก เหลือบตามอง อาภรณ์สีขาวกับผิวขาวเรียบเนียน อกอิ่มดันเนื้อผ้าออกมาอวดโฉม แม้จะมีเสื้อคลุม ปิดบังไว้แต่เสื้อคลุมกับบางเบาจนมองเห็นไปถึงไหนถึงไหน แม้จะมองว่างดงาม ทว่ากลับรู้สึกไม่พอใจเมื่ออาภรณ์ชุดนี้ช่างมองแล้วยั่วยวนยิ่ง หากบุรุษอื่นได้เห็นอันอันในอาภรณ์ชุดนี้ เขากลับรู้สึกว่าไม่ชอบใจนัก
"ถอดอาภรณ์นั่นออกเสีย"
อันอันยกมือขึ้นกระชับเสื้อคลุมที่คลุมทับไหล่บางอีกชั้น ดวงตาแสดงความฉงน ไม่เข้าใจในท่าทีขึ้งโกรธของอีกคน
"ข้าบอกให้ถอดอาภรณ์นั่นออกเสีย"
น้ำเสียงอ่อนลงเบือนหน้าหนีจากอกอิ่มที่เขาอยากจะมองมากกว่าเบือนหน้าหนี
"ทำไมกัน ก็อาภรณ์นี่ฝ่าบาทเป็นคนประทานมาให้"
นึกน้อยใจว่า ไม่อยากให้อันอันสวมอาภรณ์งดงามตัวนี้หรือไร อินจิ๋นถอนหายใจยาว
"นั่นล่ะ ข้าไม่อยากให้เจ้าสวมมัน แล้วนี่อาภรณ์ชุดใหม่ที่ข้านำมาด้วยเปลี่ยนไปสวมใส่ตัวนี้แทน”
วางอาภรณ์ลงบนโต๊ะก้าวขาออกจากห้องไปในทันที จะบงการสิ่งใดย่อมได้เสมอก็เขาเป็นฮ่องเต้นี่อันอันจะกล้าขัดบัญชาหรือไร
อันอันหยิบอาภรณ์ตัวใหม่ขึ้นมาสวม อาภรณ์ในแบบจี๋ฝูเผา ผ่าข้างที่มีกระดุมปิดมิดไปถึงลำคอส่วนด้านล่างคลุมยาวมาถึงน่อง
อันอันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก็ดีแล้วแค่นางหน้าพระพักตร์จะงดงามไปทำไมกัน สวมอาภรณ์ในแบบจี๋ฝูเผา ก้าวเดินออกจากห้องไปในทันที
“นายหญิงเจ้าขา ฝ่าบาทเชิญนายหญิงที่ท้องพระโรงทันที”
“ข้าไม่ต้องจัดการเรื่องการต้อนรับหรือไร”
เอ่ยปากถามนางกำนัล
“ร้ายก็รักรักที่สุด ร้ายเพราะเจ้ารักข้า ทำเพื่อข้าจะไม่รักได้อย่างไรในเมื่อใจข้ามีเพียงเจ้าคนเดียว ถึงเจ้าไม่ทำแบบนี้ข้าก้จะรักเจ้าคนเดียวทำเพื่อเจ้าคนเดียวแต่เมื่อรู้ว่าเจ้าทำเพื่อข้่าเพียงนี้ จะไม่ให้รักได้อย่างไร”โน้มตัวลงกดริมฝีปากกับปากอวบอิ่มเนิ่นนาน อันอันยิ้มสุขสมจะไม่ว่าอย่างไรสำหรับอินจิ๋นก็คือฝ่าบาทของอันอันคนเดียวเช่นกัน ที่ทำไปก็เพื่อสิ่งนี้เพื่อให้ได้ครองใจฝ่าบาทเพียงผู้เดียว “เข้าไปข้างในกันหรือยังข้าอยากได้กลิ่นเซียงเฉ่าอีกครั้ง คราวนี้ ยันเย้นยันเช้าไปเลยดีไหม”อันอันยิ้มหวาน อินจิ๋นอุ้มร่างอวบพาเดินเข้าไปในห้องบรรทม เข้าประตูไปตั้งใจจะลงกลอน “อ๋อ เสี่ยวจื้อบอกอาจารย์ไม่ต้องมาคอยแอบดู แอบฟังข้าหรอกข้าใช้ผ้าหนาบุห้องอีกทั้งยังใช้แผ่นไม่สนบุห้องกันเสียงเล็ดลอด ตามที่อาจารย์สอนมาเรียบร้อยแล้ว”ตะโกนสั่งเสี่ยวจื้อที่ปิดปากหาวตาปรือ อันอันหัวเราะคิกคัก อินจิ๋นอุ้มร่างอวบเดินเข้าไที่แท่นนนอนกลิ่นกำยานที่เป็นกลิ่นเซียงเฉ่าหอมตลบอบอวลไปทมั่ว อันอันถอนหายใจสุดดมกลิ่นแห่งความสุขกลิ่นแห่งความทรงจำแห่งความสุข ต่อไปเมื่อได้กลิ่นนี้ครั้งใดก็จะมีแต่ความสุข อินจิ่น ปลดอาภรณ์ของอ
“ก็ ห้องหออยู่ทางด้านขวา แต่นี่มันห้องทางด้านซ้าย”ชี้มือไปยังอินจิ่นที่พยุงอันอันเดินออกมาหน้าตำหนักจากห้องทางขวาให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่สนามหญ้ารับเครื่องเสวยยามสาย“ค่อยๆเดิน ระวังหน่อยอันอัน ให้ข้าช่วย”เลื่อนแท่นนั่งให้อันอันแล้วพยุงอันอันลงนั่งบนแท่นนั่งอย่างอ่อนโยน“เป็นท่านขุนพลที่ชวนข้ามาทางซ้าย”เสืี่ยวจื้อยังบ่นพึมพัม“เฮ้อ บุญมีแต่กรรมบังมาถึงนี่แต่กลับมาผิดห้องผิดฝั่ง”“อ้าว อาจารย์กับเสี่ยวจื้อสองคนมาเสียพร้อมกันอาอาจาย์ลมอะไรหอบท่านมาถึงนี่”อินจิ๋นเอ่ยทักด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ ผิดกับอันอันที่ก้มหน้าด้วยความเขินอาย“ข้ามาเดินสุดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า”จงเจี้ยน รีบแก้ตัว“แต่นี่มันสายแล้ว”เสี่ยวจื้อก้มหน้านิ่ง“ขะข้าแวะมาหาเสี่ยวจื้อ”อินจิ๋นเลิกคิ้วสูง จงเจี้ยนอยบากจะถามเรื่องที่เมื่อคืนที่ผ่านมาใจแทบขาดแต่เกรงใจอันอันยิ่งนัก“เมื่อคืน ฝ่าบาทกับฮองเอาหลหับสบายไหม”อ้อมค้อมก็เป็นอันอันหันสบตาอินจิ่นอายๆ“หลับสบายยิ่งอากาศหนาวนอนสองคนกำลังดี”เสี่ยวจื้อปิดปากหาวบ้าง“ข้ากับท่านขุนพลไม่ได้นอนทั้งคืน”บ่นเบาๆ“เสี่ยวจื้อเจ้าว่าอย่างไรนะ”“ปะปะเปล่าเสี่ยวจื้อมากับข้า”จงเจี้ยนดึงเสื่ยว
ร่างอวบอิ่มที่สวมอาภรณ์ปิดมิดไปถึงคอเสื้อ ผ้าคลุมสีแดงปิดบังใบหน้างดงามริมฝีปากอวบอิ่มแต้มชาดสีแดงสดกัดริมฝีปากเบาๆอย่างใช้ความคิดป่านี้ อินจิ๋นยังำม่ข้ามาทั้งๆที่อันอันนั่งรอตั้งแต่ฟ้ามืด“เสี่ยวจื้อเอามาให้หมด เอาทุกอย่างมารวมกันแล้วก็กินเสียทีเดียวพร้อมกันให้หมด”ฮึกเหิมยิ่งนัก“ฝะฝะฝ่าบาทแต่ ของพวกนี้เป็นยาบำรุงกำหนัดอย่างดีทั้งนั้น เกรงว่าหากกินเข้าไปเพียงนี้ฝ่าบาทจะเอาไม่ลงนะพ่ะย่ะค่ะ เสี่ยวจื้อกลัวว่าจะเกิดปัญหาตามมา” ยื้อสารพัดสารพัน ยาปลุกกำหนัดไว้ในมืออินจิ๋นถอนหายใจ“เสี่ยวจื้อข้าเป็นฮ่องเต้หรือเจ้าเป็นฮ่องเต้”“ฝ่าบาทไม่ได้ พ่ะย่ะค่ะเสี่ยวจื้อหวังที่สุดแล้ว”ล้มลงไปทับยาปลุกกำหนัดไว้ อาศัยร่างกายหนักอึ้งทับไว้“ก็ได้ ข้ากินเท่านี้”วางห่อยาลงบนโต๊ะ เสี่ยวจื้อวิ่งปู๊ดมามาคว้าห่อยา แล้ววิ่งแน่บออกจากห้องไปทิ้ง ห่อยาไว้ให้เพียงหนึ่งห่อ“เสี่ยวจื้อ กลับมานะมานี่เลยนะเสี่ยวจื้อ”“ฝ่าบาท ฮองเฮาทรง ทรง…ทรงให้ข้าน้อยมาทูลว่าหากฝ่าบาทยังไม่ไปที่ตำหนักชิงหนิงกงในตอนนี้ ฮองเอาบอกว่าจะปิดประตูเสียไม่ให้ฝ่าบาทเข้าไป”พูดรัวเร็วก่อนจะก้มหน้าด้วยความกลัวว่าอินจิ่นจะโมโห อินจิ๋นลุกพลวดวิ่ง
“จงเจี้ยน” อินจิ๋นเดินเอามือไพล่หลังเมื่อจงเจี้ยนอยู่เพียงลำพัง“จงเจี้ยนถวายพระพรฝ่าบาท”ประสานมือตรงหน้าด้วยรอยยิ้มใบหน้าอิ่มเอิบ อีกทั้งแววตายังเปล่งประกาย“ข้ามีเรื่องสำคัญ”“ฝ่าบาทหากเป็นเรื่องของฟางหลัน ข้าน้อยพิจารณาแล้วว่าควร ให้นางออกบวชสำนึกผิดบำเพ็ญตนเป็นเวลาสามเดือน ฝ่าบาทเห็นสมควรประการใดหรือคิดว่าโทษที่นางได้รับน้องไปหรือไม่”“แล้วแต่ท่านท่านขุนพล”“ฝ่าบาทวัดที่นางจะเดินทางไปบำเพ็ญเพียรสำนึกตน อยู่ห่างจากวังหลวงเกือบพันลี้ ฝ่าบาทคิดว่าใกล้ไกลเพียงใด”“แล้วแต่ท่านขุนพล”“นายหญิง อันอันขอร้องแทนนางให้นางบำเพ็ญเพียรที่วัด ตำหนักฟ้าไม่ไกลจากวังหลวงแต่ข้าน้อยอยากให้นางสำนึกผิดจนจริงจังเป็นข้าดูแลบุตรีไม่ได้จึงทำให้นายหญิงอันอันต้องพลอย ลำบากไปด้วยฝ่าบาทเห็นว่าควรไม่ควรอย่างไร”“แล้วแต่ท่านขุนพล”“ข้าน้อยเมื่อเสร็จงานสถานปนา ฮองเฮาก็จะเดินทางกลับไปที่ด่านชายแดนตามที่ประสงค์ไว้ในแต่แรก ตั้งใจปกป้องด่านชายแดนแคว้นหานเช่นเดิม”“แล้วแต่ท่านขุนพล”“ฝ่าบาท ฝ่าบาทจะเอาแต่พูดว่า แล้วแต่ข้าไม่ได้ในใจฝ่าบาทคิดเช่นไรจงเจี้ยนจะรู้ได้อย่างไร หรือว่าฝ่าบาทยังโกรธเคืองจงเจี้ยน ที่ผ่านมาไม่พู
จงเจี้ยนเปิดผ้าคลุมหน้าของชิงซี ก่อนจะรวบร่างบางกระโจนขึ้นบนแท่นนอน“ท่านพี่ท่านอย่าใจร้อนยังไม่ทันปลดแกะอาภรณ์”“ไม่จำข้าอยากจะเห็นเจ้าควบม้าเสียเต็มที่แล้ว คิดถึงท่าทีควบม้าของเจ้าครั้งใดข้าน้ำลายไหลทุกที”“ที่ชิงซีควบ เพราะว่าม้าหนุ่มงุ่นง่าน ไม่ได้ดั่งใจชิงซีอยากให้ทุกอย่างเสร็จสมจึงต้องลงทุนลงมือเอง”“นี่เจ้าตำหนิข้าหรือ ดีข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าม้าแก่เช่นข้าชำนาญศึกไกลใกล้ ไม่ยอมให้ใครดูถูก การศึกหนักหนากว่านี้ยังผ่านมาได้ เรื่องเอาใจภรรยาก็ไม่ให้น้อยหน้าใคร”ดึงเอวบางเข้าหาตัว เปิดกระโปรงขึ้นกระแทกบั้นเอวแรงสุดแรงจนชิงซีแทบจะสำลัก“ท่านขุนพลลลลล อ่าท่านขุนพลท่านขุนพลของข้าช่างองอาจเสียจริงอ่าาาา”เสียงครางระงมลั่นไปทั่วห้องแต่จะบอกไว้ก่อนอย่าหวังว่าใครจะได้ยิน ในเมื่อชิงซี ให้คนผ้าหนามาบุไปทั่วห้องอ้างว่าเพราะอากาศหนาวแล้วยังบุด้านในสุดอีกชั้นด้วยแผ่นไม้แปะทับเพื่อการนี้ ไม่ว่าจะส่งเสียงดังเพียงใด ก็หาเล็ดลอดออกไปด้านนอกได้ไม่ บทรักหฤหรรษ์ท่ามกลางความสุขสมของคนทั้งคู่จึงไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมหรือเขินอายในเมื่อเขินอายกันมามากพอแล้วควรจะตักตวงความสุขกันเสียทีที่หัวใจสองดวงตรงกัน ทุก
“พวกเจ้าไปนำตัวนางจากตำหนักข้ามา ที่นี่”สั่งคนสนิทและองครักษ์เบาๆอินจิ๋นถอนหายใจโล่งอก“อินจิ๋นขอบพระทัยฝ่าบาทที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์สองแคว้น”ชิงไฉ่โบกมือไปมา“ข้าผิดกับฝ่าบาท คนของแคว้นฉีผิดกับฝ่าบาทจึงต้องขออภัย หาใช่ดันทุรังไม่”คนสนิทมาพยุงชิงกวานให้ลุกขึ้นยืนทั้งยังก้มหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลายคล้ายกับดังถูกตบหน้าต่อธารกำนัล ร้ซึ่งคนคอยปกป้อง ชิงไฉ่ฮ่องเต้ที่เคยปกป้องมาตลอดบัดนี้กลับมีเพียงออกตัวก็เท่านั้น“ไท่จือไปเถิด”ส่ายหน้าไปมาก่อนจะทะลึ่งพลวดดึงมีดสั้นที่พกติดตัวมาตลอดออกมาจากแขนเสื้อ พุ่งตัวเข้าหา ชิงไฉ่ที่ก้าวลงมาจากบัลลังก์เพื่อให้เกียรติกับอินจิ๋น มีดในมือ จ่อที่คอหอยของชิงไฉ่ มืออีกข้างล็อกแขนไว้แน่น หลายคนในที่นั้นต่างตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก“ชิงกวาน กล้าทำเรื่องเลวทรามเพียงนี้เชียวรึ ตายไปเป็นผีจะกล้ามองหน้าบรรพบุรุษหรือไร”ชิงไฉ่ตวาดลั่นหาได้สะทกสะท้านไม่ จงเจี้ยนขยับเข้าไปช้าๆ ด้วยสัญชาตญาณของ นักรบยามคับขัน“เสด็จพ่ออย่าบีบคั้นข้า ข้าไม่ได้อยากทำแบบนี้ ข้าเป็นองค์ชายเพียงคนเดียวสิ่งที่ต้องการหรือไม่ก็คือบัลลังก์ เสด็จพ่อทำใจเถิดว่าอย่างไรบัลลังก์นี้ก็จะต้องเ