เพราะมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับพลังของเธอที่แยกตัวออกมาเป็นเจ้าแมวสีนิลและยังต้องมาวุ่นวายกับดีนผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้านายของเธออีก จนเธอไม่มีเวลาที่จะตามหาอดีตจอมปีศาจเลย...แม้แต่กลิ่นไอก็ยังเลือนลางหายไปจนเธอเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องเดินทางไปหาที่ไหนและเขาคนนั้นคือใครกันแน่
หลังจากที่ย้ายข้าวของเข้าบ้านต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปอาบน้ำและเข้าห้องของตัวเอง ยังดีที่บ้านหลังใหญ่แบบนี้เธอไม่ได้อยู่คนเดียวถึงจะอยากอยู่คนเดียวมากกว่าก็เถอะ นิลมณีล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างดวงตาสวยลืมตาตื่นขึ้นมาเต็มตา นอนยังไงก็นอนไม่หลับเลย...จนดึกดื่นเงียบสะงัด
กอกแกรก กอกแกรก...
นอนคิดถึงเรื่องอดีตจอมปีศาจอยู่บนเตียงดีๆก็ได้ยินเสียงจากด้านนอกประตู นิลมณีเหลือบสายตามองไปทางประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผีสางอะไรเธอไม่กลัวอยู่แล้วเพราะเธอคลุกคลีกับมันมานานมาก จะมีผีตนไหนกล้าที่จะเข้ามายุ่งกับเธอถึงแม้ตอนนี้เธอจะไม่มีพลังแล้วก็เถอะ แต่เธอมั่นใจว่าจิตใจของเธอแข็งแรงพอสมควรกับเรื่องลี้ลับพวกนี้
กอกแกรก...
เสียงยังคงดังขึ้นไม่หยุดแถมยังกระทบกับประตูไม้ของห้
หลังจากที่วุ่นวายกันแต่เช้าทั้งนิลมณีและดีนก็ต้องไปืำงานที่บริษัทเหมือนเช่นทุกวัน แต่กลับน่าแปลกที่นิลมณีไม่ได้เอ่ยว่าเธอจะไปเองซ้ำยังยอมติดรถไปกับเขา นั่นก็เพราะว่านิลมณีต้องการจะจับตาดูดีน...ในเมื่อสิงห์จอมมารที่เธอตามหาสามารถแฝงเข้าร่างของดีนได้นั่นหมายถึงเธออาจจะมีโอกาสเจออีก...ทั้งสองเดินลงจากรถภายใต้สายตาของคนในบริษัทที่ต่างพากันมองทั้งสองคนอย่าสนใจ และคงไม่พ้นคำครหาว่าทั้งสองนั้นเป็นมากกว่าเจ้านายและเลขา...ทันทีที่เดินเข้าประตูบริษัทมาหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนใหม่ที่นิลมณีไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่อย่าง 'ซันนี่' ก็ตรงปรี่เข้ามาหาเธอก่อนจะหันมองเธอและดีนสลับกันไปมา นิลมณีดูจากสีหน้าก็พอรู้ว่าซันนี่กำลังคิดอะไรอยู่เพียวแต่ซันนี่ไม่กล้าเอ่ยปากถามก็เท่านั้น"เอ่อ...สะ..อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านประธาน คุณนิล" ซันนี่เอ่ยอย่างตะกุกตะกักทำสีหน้าไม่ถูกพร้อมกับก้มโค้งให้ดีนอย่างเกรงๆ นิลมณีพยักหน้ารับพลางจ้องมองซันนี่ที่ยังคงดูสงสัย"ไม่มีอะไรหรอก พอดีเจอกันข้างทาง...บอสใจดีเลยยอมรับมาด้วย" "หืม? ข้างทางเหรอ?...เหอะ" ดีนแค่นยิ้มพลางปราดมองนิลมณี เขาไม่ค่อยถูกใจคำพูดของเธอเสียเท่าไหร่...ทั้
เพราะมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับพลังของเธอที่แยกตัวออกมาเป็นเจ้าแมวสีนิลและยังต้องมาวุ่นวายกับดีนผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้านายของเธออีก จนเธอไม่มีเวลาที่จะตามหาอดีตจอมปีศาจเลย...แม้แต่กลิ่นไอก็ยังเลือนลางหายไปจนเธอเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องเดินทางไปหาที่ไหนและเขาคนนั้นคือใครกันแน่หลังจากที่ย้ายข้าวของเข้าบ้านต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปอาบน้ำและเข้าห้องของตัวเอง ยังดีที่บ้านหลังใหญ่แบบนี้เธอไม่ได้อยู่คนเดียวถึงจะอยากอยู่คนเดียวมากกว่าก็เถอะ นิลมณีล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างดวงตาสวยลืมตาตื่นขึ้นมาเต็มตา นอนยังไงก็นอนไม่หลับเลย...จนดึกดื่นเงียบสะงัดกอกแกรก กอกแกรก...นอนคิดถึงเรื่องอดีตจอมปีศาจอยู่บนเตียงดีๆก็ได้ยินเสียงจากด้านนอกประตู นิลมณีเหลือบสายตามองไปทางประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผีสางอะไรเธอไม่กลัวอยู่แล้วเพราะเธอคลุกคลีกับมันมานานมาก จะมีผีตนไหนกล้าที่จะเข้ามายุ่งกับเธอถึงแม้ตอนนี้เธอจะไม่มีพลังแล้วก็เถอะ แต่เธอมั่นใจว่าจิตใจของเธอแข็งแรงพอสมควรกับเรื่องลี้ลับพวกนี้กอกแกรก...เสียงยังคงดังขึ้นไม่หยุดแถมยังกระทบกับประตูไม้ของห้
ตั้งแต่ที่ดีนแกล้งเธอแบบนั้น นิลมณีก็เดินหน้าบูดบึ้งตลอดการซื้อของจนกลับไปถึงบ้าน ดีนยกข้าวของที่ซื้อมาเข้าบ้านของเธอและยังมีบางส่วนที่ถูกจัดส่งมาจากร้านค้าในห้าง พวกเครื่องใช้ใหญ่ๆ แต่นิลมณีแอบได้ยินพนักงานที่มาส่งของคุยกับดีนเกี่ยวกับเรื่องบ้านของเธอ “ละ...หลังนี้จริงเหรอครับ? พวกคุณโดนหลอกขายหรือเปล่า คนแถวนี้เขารู้กันทั้งนั้น ว่า...” “ว่าอะไรหรือคะ?” อดสงสัยไม่ได้จึงเดินเข้าไปถาม พนักงานส่งของมองหน้ากันไปอย่างช่างใจว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่พอเห็นสายตาที่นิลมณีมองพวกเขาอย่างสงสัยก็ทำให้ยอมพูด “บ้านหลังนี้เจ้าของบ้านคนเก่าอย่างเจ้าขุนมูลนายสมัยก่อนหวงมากจนไม่ยอมไปเกิด...ใครเข้ามาอยู่ก็ต้องย้ายออกหมด ขนาดลูกหลานยังอยู่ไม่ได้เลยครับ” พนักงานส่งของเอ่
ตามจริงแล้วเธอเป็นเลขาของเขาที่แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยด้วยซ้ำ แม้กระทั่งประวัติ ครอบครัว หรืออื่นๆ นอกจากรู้แค่ว่าเขาเป็นประธานบริษัทที่เธอทำงานอยู่และมีเพื่อนชื่ออัคคีซึ่งอัคคีก็ไม่ใช่มนุษย์อีก และดูเหมือนว่าดีนจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำ มันเลยน่าแปลกที่ทุกเรื่องของเจ้านายดูเป็นความลับหรือว่าเป็นเพราะเธอไม่ได้สนใจเขาเท่าไหร่ และอีกอย่าง..แค่คำถามนี้เขากลับทำหน้านิ่งทันทีเลยด้วยซ้ำ นั่นยิ่งทำให้นิลมณีสงสัยกว่าเดิม “ก็แค่...มันใกล้บริษัท”เขาตอบแบบไม่ใส่ใจเท่าไหร่นักก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขกที่เธอพาเดินเข้ามา นิลมณีขมวดคิ้วมุ่น ดีนดูไม่กล้าสบตาเธอเหมือนก่อนหน้านี้ที่เอาแต่จ้องเธอไม่หยุด นิลมณีจึงเดินไปนั่งลงข้างๆเขาพร้อมหันทั้งตัวไปทางเขาตั้งท่าจะถาม “ครอบครัวคุณล่ะคะ? คุณเปิดบริษัท
“เมื่อกี้คุณว่าไงนะครับ?” ดีนหันมองหน้านิลมณีที่กำลังนิ่งค้าง ก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองเขาแล้วยิ้มเจื่อนให้ นิลมณีส่ายหน้าไปมา “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” “แน่ใจนะ?” “ค่ะ” ในเมื่อเธอยืนยันแบบนั้นดีนก็พยักหน้าก่อนจะเดินนำไปยังรถของตนโดยที่เธอเดินตามหลังอย่างเงียบๆ ในหัวของนิลมณีตอนนี้คิดถึงเรื่องผู้หญิงคนเมื่อครู่ตลอดทางที่เดินไปที่รถ ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ เพราะตอนที่เธอหันไปสบตาผู้หญิงคนนั้นรอบตัวก็เหมื
“หรือถ้าจะให้ง่ายก็...อยู่เลี้ยงแมวกับผมไปเลยจะได้ไม่ต้องไปๆมาๆบ่อยๆ” ดีนเอ่ยพลางยกยิ้มขึ้น นิลมณีได้ยินอย่างนั้นใบหน้าถึงกับร้อนผ่าว ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นแล้วยืนกอดอกเบือนหน้าไปทางอื่นและพยายามเก็บสีหน้า แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของเธอก็แดงเรื่อจนเห็นได้ชัดอยู่ดี “ใครเขาอยากมาอยู่กับบอสกันล่ะ เดี๋ยวก็ได้เป็นขี้ปากคนในบริษัทพอดี...ไว้ฉันจะมาบ่อยๆแล้วกันค่ะ” “หืม? เป็นขี้ปากแล้วไง...ในเมื่อสิ่งที่พวกเขาพูดมันก็เป็นเรื่องจริงนี่” ดีนเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน พาลทำให้ภาพเมื่อคืนแล่นเข้ามาในหัวของนิลมณี “บ..บอสเลิกพูดแบบนี้ได้ไหมคะ”&
ลิ้นพันกันจนพูดไม่ถูกแต่เพราะเขายังคงทำหน้านิ่งจึงทำให้นิลมณีขมวดคิ้วกับคำพูดเมื่อครู่ เธอหันหลังแล้วกลับขึ้นรถไปโดยพูดทิ้งท้ายเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ“ช่างมันเถอะค่ะ”“ไม่ใช่อย่างนั้น...เอ่อ ผมหมายถึงไม่ว่าคุณจะเป็นอะไร...”“ไหนว่าจะพาไปหาเจ้าสีนิลไง?” นิลมณีเอ่ยขัดขึ้นมาทันทีไม่ยอมฟังคำแก้ตัวของเขา มีที่ไหน...ว่าผู้หญิงที่ตัวเองนอนด้วยเป็นผีสางเหล่านั้น ถึงจะพูดผิดก็เถอะ...เธอไม่ใช่เปรตเสียหน่อย เธอเป็นแมวดำต่างหากล่ะ คิดๆแล้วก็ปิดประตูรถใส่คนที่ยืนทำหน้าไม่ถูกอย่างอารมณ์เสีย เปรียบกับอะไรไม่เปรียบ...ดีนถอนหายใจกับตัวเองพลางนวดหัวคิ้ว เกือบจะดีอยู่แล้วเชียวแต่เขาดันพลาดเสียได้ เขาตั้งใจจะบอกความจริงใจของเขาแท้ๆ ว่าไม่ว่าเธอจะเป็นใครเขาก็ยังยืนยันที่จะจริงจังกับเธอก็เท่านั้น แต่เพราะเขาไม่เคยเจอคนที่ดูเฉยชาแบบนี้มาก่อน ถึงได้ทำให้เขาที่มีแต่คนเข้าหาดันลิ้นพันกันเพราะความประหม่าเสียได้ดีนเดินอ้อมไปขึ้นรถประจำตำแหน่งคนขับแล้วขับรถออกจากวัดตรงไปยังคอนโดของเขา บรรยากาศภายในรถกลับมาเงียบอีกครั้ง เพราะเขาเองก็ไม่รู้จะพู
และเขาก็พาเธอไปวัดจริงๆ ทั้งสองไหว้พระตามปกติ แม้ในตอนแรกนิลมณีจะยืนชั่งใจอยู่หน้าวัดครู่ใหญ่เพราะเธอไม่แน่ว่าตัวเองจะเข้าในเขตวัดได้หรือไม่ แต่เพราะดีนลากเธอเดินเข้าประตูโบสถ์ไปถึงได้รู้ว่าเธอเข้าวัดได้ อีกใจหนึ่งของเธอก็รู้สึกเศร้าเพราะมันคือสัญญาณบ่งบอกว่า...เธอกำลังจะกลายเป็นมนุษย์ ซึ่งเธอไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น แต่เพราะคำพูดที่เคยให้ไว้กับอัคคีจึงต้องทำนิลมณีใช้เงินก้อนหนึ่งที่เธอกดออกมาบริจาคให้วัดเพื่อสร้างพระพุทธรูปอย่างไม่ลังเล ราวกับว่าถูกชะตาขีดเขียนให้มาวัดที่กำลังจะสร้างพระองค์ใหญ่พอดิบพอดี การที่เธอสมทบทุนไปด้วยเงินก้อนนั้นวัดก็สามารถสร้างพระได้แล้วเหมือนการปิดจ็อบ เธออยากจะหัวเราะให้กับชะตาชีวิตตัวเองแต่ก็ทำได้เพียงยิ้มเจื่อนๆแล้วรับพรก็เท่านั้น และไม่ลืมที่จะนึกถึงเจ้าของสมบัติที่เธอได้มา...“ผมไม่ยักรู้ว่าคนอย่างคุณจะทำบุญหนักขนาดนี้”“คนอย่างฉันมันทำไมเหรอคะ? ทำบุญไม่ได้งั้นสิ”“ก็...ดูไม่เหมือนคนที่ชอบทำบุญ...ตอนนั้นผมชวนคุณไปวัดแต่คุณปฏิเสธท่าเดียว ยังไงก็ไม่ยอมเข้าวัด”“ฉันแค่ไม่อยากท
“คุณนิลมณีจะรับเป็นเงินสดหรือเงินโอนดีครับ” เจ้าของร้านถามด้วยรอยยิ้ม “คะ?” นิลมณีถึงกับงง มันจะเป็นไปได้ยังไงที่เธอจะมีนามสกุลเดียวกับตระกูลเจ้าขุนแบบนั้น นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งสับสนไปหมดจนเผลอทำหน้าเหรอหรา “โอนไหมครับ?” “เอ่อ...ค่ะ...ได้ค่ะ” เธอตอบออกไปทั้งที่ตัวเองยังงุนงงอยู่ ดีนที่นั่งไขว่ห้างกอดอกมองเธอถึงกับคลายวงแขนออกแล้วหันทั้งตัวไปจ้องมองเธอด้วยสายตาเรียบนิ่ง ในขณะที่เจ้าของร้านกำลังก้มลงไปเขียนเช็คเงินสดให้เธออยู่ “คุณร้อนเงินขนาดนั้นเลยเหรอ?” “ไม่ใช่เรื่องของบอสนี่คะ”&nb