เจ้าแห่งภูตผีปีศาจอย่างนางแมวดำในตำนานพื้นบ้านของทางภาคเหนือ ได้ตกต่ำที่สุดหลังจากถูกดูดกลืนพลังไป เธอได้หลุดเข้ามาในเมืองมนุษย์เพื่อซ่อนตัวหลบหนีรักษาตัวเอง แต่เขาที่เดินทางมาเจอกับนางแมวผู้แสนร้ายกาจในคราบเจ้าเหมียวน้อยน่าสงสารจึงได้เก็บไปเลี้ยง "น่าสงสารจริงเจ้าแมวขี้เรื้อน" ...ไอ้หมอนี่...ปากหรือนั่น เดี๋ยวแม่จะตะปบให้เป็นลายทางเลย... ได้แต่คิดในใจแต่ทำอะไรไม่ได้เมื่ออยู่ในร่างเจ้าเหมียวน้อยที่อ่อนแรง คงจะต้องยอมๆไปก่อนอย่างช่วยไม่ได้...ความวุ่นวายจึงบังเกิดขึ้นกับชีวิตของชายหนุ่มไปตลอดกาล....
Lihat lebih banyakเอี๊ยดดดดดด!!
เสียงล้อเสียดสีกับพื้นถนนดังเข้ามาถึงในตัวรถ คนในรถตัวโยกโยนไปตามแรงเบรกอย่างกะทันหันนั้น คิ้วเข้มเรียวสวยได้รูปขมวดแน่นพร้อมกับชะเง้อคอมองด้านหน้าด้วยความสงสัย
“ไอหยา!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ขอโทษครับท่าน...อยู่ๆแมวก็ตัดหน้ารถ”
“หืม? แมว?”
“ครับ...แมวดำ นั่นไงครับมันนอนอยู่หน้ารถเรา” เพิ่มพูนพูดพลางชีนิ้วไปยังหน้ารถที่ไฟรถส่องอยู่ ดีนชะเง้อคอมองก็เห็นแมวสีดำสนิทนอนแน่นิ่งอยู่หน้ารถจริงอย่างที่เพิ่มพูนว่า ก่อนที่เพิ่มพูนจะเปิดประตูแล้วรีบลงจากรถไปเพื่อดูแมวตัวนั้น...และแน่นอนว่าดีนเองก็ลงจากรถเช่นกันด้วยสีหน้าหงุดหงิด
สองขายาวก้าวไปใกล้แมวตัวนั้นเพียงสองสามเก้า หลุบสายตาคมมองเจ้าแมวสกปรกมอมแมมและเปียกชุ่มไปด้วยเลือดเต็มตัว แม้ว่าตัวมันจะเป็นสีดำแต่รอยเปียกนั้นเลอะพื้นถนนพอให้รู้ว่ามันคือเลือดจากตัวเจ้าแมวน้อยที่นอนแน่นิ่งอยู่
เพิ่มพูนก้มลงมองเจ้าแมวที่ยังคงหายอยู่อย่างอิดโรยนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะหันไปหาเจ้าของตนแล้วเอ่ยขึ้น
“ยังไม่ตายครับท่าน”
“.......”
“ขืนปล่อยมันไว้แบบนี้มันตายแน่ๆครับ” เพิ่มพูนเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสาร ดีนยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงหลุบสายตาคมมองเจ้ามองนั้นด้วยแววตาเรียบนิ่ง
“ก็แค่แมวขี้เรื้อนตัวเดียว...”
“ขนสวยขนาดนี้ผมว่ามันไม่ได้ขี้เรื้อนนะครับ มันแค่บาดเจ็บ”
“ผมไม่สนใจหรอก” ดีนพูดพลางหันหลังเดินกลับไปยังรถที่ตนพึ่งจะลงมา ภายในใจลึกๆแอบรู้สึกผิดไม่น้อยหากทิ้งมันเอาไว้ อย่างไรก็เป็นรถเขาที่มันกระโดดเข้ามาตัดหน้าเหมือนกับว่ามันจงใจอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านประธาน....”
“...เก็บมันไปสิ รักษาหายแล้วค่อยเอามันไปปล่อย”
...ไอ้มนุษย์โสโครกนี่!! ปล่อยข้านะ!!... เสียงที่เอื้อนเอ่ยของเธอในตอนนี้กลายเป็นเพียงเสียงร้องเหมียวๆ สายตาดุดันน่าเกรงขามกลับกลายเป็นสายตาออดอ้อนซึ่งชายหนุ่มมองว่าแมวตัวน้อยนี้คงกำลังดีใจที่เขาจะเก็บมันกลับไปเลี้ยง
“รู้ว่าดีใจ ช่วยเลิกร้องได้ไหม ปกติฉันไม่เลี้ยงสัตว์ แต่เห็นว่าแกน่าเวทนาหรอกนะ”
...ใครอยากให้มาเวทนากันยะ!!....เฮ้ย!!... ไม่ทันที่จะได้ร้องเหมียวเถียงชายหนุ่มต่อ ผู้ติดตามอย่างเพิ่มพูนก็จัดการจับเธอเข้าไปวางที่ข้างคนขับทันที
ชายหนุ่มรีบกลับเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่เมื่อมาถึงก่อนผู้ติดตามจะนำลูกแมวตัวสีดำสนิทนั้นไปวางไปบนโซฟา ตอนนี้เจ้าลูกแมวกลับมันคอพับไปแล้ว เมื่อเห็นอย่างนั้นเขาก็ตกใจสุดขีด ก่อนจะพยายามใช้ปลายนิ้วคลำหาหัวใจของเจ้าแมวน้อยโดยที่ลืมไปว่าเขานั้นแพ้ขนสัตว์
....นี่แกจับตรงไหนกับฮะ?!!.... นิลมณีถึงกับสะดุ้งก่อนจะร้องเหมียวออกมา ชายหนุ่มเห็นว่ามันร้องเหมือนปกติก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจไม่ต่างจากผู้ติดตามของเขา นิลมณีมองใบหน้าชายหนุ่มตรงหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง พึ่งเห็นชัดๆก็ตอนนี้ว่าเขาหล่อเหลาไม่หยอก เธอเบือนหน้าหนีเล็กน้อยก่อนจะมองไปรอบๆห้องอย่างสงสัย ดูจากบ้านหลังใหญ่ที่เรียกได้ว่าคฤหาสน์คงจะแพงน่าดู นั่นแสดงว่าเขาคงไม่ใช่เพียงพนักงานบริษัทธรรดาๆแน่ๆ
“หิวไหมเจ้าแมวขี้เรื้อน ฉันให้เพิ่มพูนแวะซื้ออาหารเปียกมาให้แกด้วยนะ” เขาพูดขึ้นพลางเอื้อมมือไปอุ้มเจ้าแมวน้อยจากอ้อมแขนของผู้ติดตามอย่างเพิ่มพูน
“เอ่อ...คุณดีนครับ คุณแพ้...” เพิ่มพูนพยายามที่จะร้องห้ามเพราะเจ้านายของตนแพ้ขนสัตว์แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
ว่าแล้วเขาก็วางเจ้าแมวตัวน้อยลง ก่อนจะหันไปค้นถุงสีขาวขุ่นใบหนึ่งแล้วหยิบอาหารเปียกที่เขาพึ่งแวะซื้อมาจากมินิมาร์ทใกล้ๆบ้าน นิลมณีมองชายหนุ่มที่กำลังเทอาหารเปียกให้เธอด้วยใบหน้าที่ดูขยะแขยงอาหารเปียกนั้น ก่อนที่เขาจะยกจานอาหารเปียกมาให้เธอแต่ทว่าเธอกลับเบือนหน้าหนีแล้วพยายามเดินไปทางอื่นแต่ทว่า...
ตุ้บ! เหมี๊ยวววว!!
“เจ้าแมวโง่ เดินยังไงให้ตกโซฟาวะ” นิลมณีร้องเสียงหลง ร่างกายบอบช้ำอยู่แล้วแต่เพราะเชิดหน้าหลับตาเดินหนีอาหารที่เขาให้จนไม่ทันสังเกตว่าตัวเองอยู่ขอบโซฟา ก้าวพลาดร่วงลงกระทบพื้นเข้าอย่างจังโดยไม่ทันได้ตั้งท่า ไม่หนำซ้ำยังโดยมนุษย์ผู้ชายมองว่าโง่เสียอีก
....หายดีเมื่อไหร่ แม่จะตะปบให้แขนลายเลย... ได้แต่คิดอยู่ในใจพร้อมจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มที่อุ้มเธอขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนชายหนุ่มจะมองสายตาของเธอไม่ออก เพราะมันดูน่ารักไปเสียหมดเมื่ออยู่ในร่างนี้
“จะตั้งชื่อแกว่าอะไรดี แมวดำตาสีฟ้า...อืมมมม...” ชายหนุ่มอุ้มเจ้าเหมียวเข้าไปใกล้จ้องมองสำรวจเจ้าแมวเหมียวแล้วทำหน้าท่าทางครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
...ข้าชื่อนิลมณี...
“อืมมมม....”
...เจ้ามนุษย์โง่ ข้าบอกว่าข้าชื่อนิลมณี!!...
“รู้แล้วๆ เลิกร้องได้แล้วเจ้าดำ”
...ดำบ้านแป๊ะแกดิไอ้มนุษย์หน้าอาหารเปียก!...
“แกร้องแบบนี้แสดงว่าไม่ชอบ...ตัวผู้หรือตัวเมียวะเนี่ย” ชายหนุ่มคิดชื่อไม่ออกจึงคิดว่าต้องรู้ก่อนว่าแมวตัวนี้ตัวผู้หรือตัวเมียถึงจะคิดชื่อได้ ว่าแล้วก็พลิกเจ้าเหมียวหงายท้องพยายามจ้องมองระหว่างขาเล็กๆของเจ้าแมว แต่เจ้าแมวเหมียวกลับเอาหางปิดเสียอย่างนั้น
...อะ...ไอ้บ้า! คนบ้าอะไรมาดูจิมิคนอื่น!... นิลมณีร้องท้วงขึ้นมาในใจ ทั้งโกรธทั้งเขินจนแทบอยากจะฉีกร่างชายตรงหน้าทิ้งไปเสีย ที่บังอาจมาหยามศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงอย่างเธอ ถึงเธอจะเป็นปีศาจแต่เธอก็ไม่เคยมีชายใดมาแตะต้อง...
“เอาหางออกสิ ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ยังไง”
...ไม่เฟ้ย! อ๊าย! อย่านะ!! อ๊ะ!!.... ร้องเหมียวห้ามพลางดิ้นไปมาแต่ก็ไม่พ้นมือใหญ่ของชายหนุ่มตรงหน้า ปลายนิ้วเรียวเขี่ยหางของเธอออกก่อนจะตรวจดูว่าแมวตัวนี้เป็นตัวผู้หรือตัวเมีย
“ตัวเมีย...งั้นชื่อสีนิล” พูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่งด้วยชื่อที่คิดขึ้นมาง่ายๆ ส่วนนิลมณีนั้นรู้สึกโกรธจนตัวสั่นแถมยังเขินจนแทบจะมุดหน้าหนี ราชาปีศาจอย่างเธอต้องมาเจอชายชาวมนุษย์ทำแบบนี้รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
“สีนิลคือชื่อเธอ ส่วนฉันชื่อดีน ต่อไปฉันจะเป็นคนเลี้ยงเธอเอง” เมื่อรู้ว่าเจ้าแมวเหมียวเป็นตัวเมียก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกเธอเหมือนผู้หญิงคนหนึ่ง สำหรับดีนนั้นคิดว่าอย่างน้อยก็มีเพื่อนไว้แก้เหงาและคอยอยู่ด้วย เพิ่มพูนที่ยืนเงียบอยู่นานได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับถอนหายใจ เพราะดูท่าทางเจ้านายของตนจะไม่แพ้ขนแมวตัวนี้จึงโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณดีน” เพิ่มพูนเอ่ยขึ้น ดีนจึงหันไปพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนักราวกับว่าตอนนี้เขาได้ของเล่นชิ้นใหม่ เป็นแมวตัวน้อยที่เขาคิดอยากจะเลี้ยงมาตลอดเพียงแต่ว่าเขากลับเป็นโรคแพ้ขนสัตว์ แต่พอเป็นแมวตัวนี้เขากลับไม่มีอาการใดเลยจึงค่อนข้างเห่อไม่น้อย เพิ่มพูนเมื่อได้รับอนุญาตก็ยอมเดินออกไปแต่โดยดี ทิ้งให้ดีนอยู่กับเจ้าแมวน้อยตามลำพัง
ด้วยความที่ตัวเขาเองค่อนข้างเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดคุยกับใครในที่ทำงาน เวลาพูดออกไปคนส่วนใหญ่จะรับไม่ได้เพราะพูดขวานผ่าซากจึงไม่ค่อยมีใครอยากจะคุยกันเสียเท่าไหร่ ถึงเขาจะเป็นถึงประธานแต่ลูกน้องก็ไม่ได้เข้าหามากมายนอกเสียจากว่าเป็นผู้หญิง ที่ตั้งใจจะเข้าหาเขาเพราะต้องการอย่างอื่น
...ก็ไม่โง่เท่าไหร่นี่นา...สีนิล...ฮึ...ถึงจะดูเชยสะบัดก็เถอะ... เธอคิดอย่างหงุดหงิดใจ แต่ก็ยังดีที่ชื่อที่เขาตั้งนั้นมันคล้ายชื่อเธออยู่บ้าง เพราะอย่างไรเขาคงจะเรียกแค่นิลสั้นๆพยางค์เดียวแน่ และอีกอย่างที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้เธอคิดว่าตัวเองต้องรักษาตัวให้หายดีก่อน การที่ถูกรับมาเลี้ยงก็คงจะดีกว่าอยู่ข้างถนน
“เธอไม่กินอาหารเปียก แล้วเธอจะกินอะไรละเนี่ย...หรือเพราะป่วยงั้นเหรอ พรุ่งนี้ฉันค่อยพาเธอไปหาหมอล่ะกัน ยังไงคืนนี้เธอต้องไปนอนกับฉันในห้อง เผื่อตอนดึกเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะได้ดูแลทัน”
ดีนพูดขึ้นพร้อมกับอุ้มร่างแมวของเธอไปยังห้องนอนของเขา ดีนหยุดตรงข้างเตียงก่อนจะยกแมวที่อุ้มขึ้นมามองด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง นิลมณีคาดเดาความคิดของเขาไม่ออกเลยแม้แต่น้อย เห็นเพียงแค่เขามองที่เตียงและตัวเธอสลับกันไปมา
“สงสัย...เธอต้องอาบน้ำก่อนถึงจะนอนเตียงเดียวกับฉันได้” ว่าแล้วก็คว้าผ้าขนหนูในตู้ออกมาสองผืนเอามาพาดบ่าทั้งที่มือหนึ่งอุ้มแมวสีดำตัวเดิมนั่นคือนิลมณีไว้ แล้วพาเข้าห้องน้ำไป นิลมณีเห็นอย่างนั้นก็ร้องเสียงแมวออกมาลั่นห้อง พยายามดีดดิ้นให้หลุดแต่ก็ไม่ทันแล้ว เพราะดีนปิดประตูล็อคกลอนห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว
ดีนที่สลบสไลเริ่มรู้สึกตัวขึ้น แม้ว่าเขาจะมีพญาสิงห์อดีตจอมราชาที่มีพลังเหลือล้นกว่าปีศาจและจอมราชาทั้งปวงแต่ด้วยร่างกายของดีน ภาชนะของเขาเป็นมนุษย์เมื่อหลับใหลไปก็ไม่สามารถออกตัวแสดงอิทธิฤทธิ์ใดๆได้ นอกเสียจากว่าขาดสติแต่ยังคงลืมตาอยู่ถึงจะสามารถปกป้องได้ เขามองไปรอบๆตัวช่างเป็นที่ที่น่ากลัวและดูสกปรกไม่น้อย มองยังไงก็ไม่ใช่โลกที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่แน่นอน รู้ตัวอีกทีก็หันไปมองมือของตนเองที่ไขว้หลังอยู่ ไม่ว่าจะพยายมขยับแค่ไหนก็ไม่สามารถขยับแขนของตนได้ มีบางอย่างรัดข้อมือของเขาเอาไว้แน่น รวมถึงช่วงลำตัวของเขาเช่นกัน “เปล่าประโยชน์...ยิ่งเจ้าขยับ หางของข้าก็จะรัดเจ้าแน่นกว่าเดิม”เสียงที่คุ้นหูเหมือนกับเสียงที่เอ่ยทักทายเขาก่อนจะสลบไปเรียกให้เขาเงยหน้าขึ้นมองข้างกายก็พบว่ามันเป็นบัลลังก์กระโหลกเก่าๆ พร้อมกับหญิงสาวในชุดที่แปลกตานั่งไขว่ห้างอยู่และปรายสายต
ดีนนั่งเงียบตลอดทางหลังจากขึ้นรถ ในหัวคิดแต่เรื่องของนิลมณีทั้งที่ยังดีๆอยู่เลยแล้วจู่ๆเธอก็เปลี่ยนไปราวกับมีเรื่องอะไรในใจที่พึ่งฉุกคิดได้อย่างไรอย่างนั้น ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเธอตคงไม่มีท่าทีแบบนั้นกับเขา...คิดไปพลางขวดคิ้วมองออกไปภายนอกรถ ...มันน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือผู้ติดตามของเขาที่ตอนนี้เอาแต่เงียบกริบไม่พูดไม่จาอะไร เป็นปกติต้องแซวเขาแล้ว แต่วันนี้กลับนิ่งเงียบไปจนดีนต้องหันไปมองผู้ติดตามของตนผ่านกระจก ถึงอย่างนั้นก็ยังดูปกติหรือว่าเขาคิดมากไปเอง “วันนี้ไม่แซว?” “.....” สิ่งที่ได้หลังจากถามออกไปก็ยังคงเป็นความเงียบ ไม่แม้แต่จะเห็นรอยยิ้มของเพิ่มพูนผ่านกระจกเลย เขาดูขับรถอย่างตั้งใจมากเกินไปจนเหมือนหุ่นยนต์ และที่สำคัญ...เพิ่มพูนหรือลุงเพิ่มไม่เคยไม่ตอบคำถามเขาผู้ซึ่งเป็นเจ้านายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ประธานหนุ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนไปของบรรยากาศในรถ เขาเหลียวมองออกไปนอกรถอีกครั้งแต่ครั้งกลับไม่ใช่ทางที่จะบริษัท บรรยากาศราวกับหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งทั้งที่ไม่คิดว่าจะถนนแบบนี้หรือบรรยากาศแบบ
ร่างกายที่อ่อนล้าค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ความปวดร้าวเมื่อยล้าแล่นเข้าสู่ร่างกายจนเธอถึงกับกัดฟันแน่น เขาไม่ปล่อยให้เธอได้พักเลยทั้งคืนจึงเป็นเหตุทำให้เธอปวดร้าวตามร่างกายแบบนี้ นิลมณีอดไม่ได้ที่จะหันไปมองชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างๆตาขวาง “เอาแรงมากจากไหนนักนะ” เธอพึมพำเบาๆพลางเบือนใบหน้าที่ร้อนผ่าวไปทางอื่นโดยไม่ทันสังเกตคนที่นอนอยู่ข้างๆที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดิบพอดี “ยังมีแรงเหลืออีกเยอะนะ จะต่อรอบเช้าด้วยเลยไหมล่ะครับคุณเลขา” เสียงทุ้มที่ตอบกลับเธอมาทำให้เธอหันหน้าไปทางเขาทันทีพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังร่างกายที่เปลือยเปล่านั้น ดีนหยัดตัวลุกขึ้นนั่งพลางบิดขี้เกียจไปมาโดยไม่สนใจว่าผ้าห่มมันร่นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว อีกนิดเดียวก็จะเห็นของลับของหวงอยู่แล้วแท้ๆ นิลมณีรีบเบือนหน้
ริมฝีปากหยักได้รูปไม่รอช้ารีบประกบริมฝีปากกระจับนั้น เรียวลิ้นหนาเริ่มรุกล้ำเข้าไปในโพรงแม้ในตอนแรกจะปิดแน่นสนิท นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่มีความรู้เรื่องนี้ ครั้งก่อนเธอมึนเมาและถูกปลุกเร้าด้วยฤทธิ์บางอย่าง แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป.. “อือ!” เสียงครางหวานเล็ดลอดผ่านลำคอเพราะตอนนี้ภายในร่างกายของเธอรู้สึกแปลก ตอบสนองรสจูบของเขาอย่างห้ามไม่ได้ อีกทั้งลิ้นเรียวเล็กของเธอถูกดูดกลืนราวกับกำลังจะถูกเขาครอบงำ...ยากที่จะปฏิเสธมัน รสจูบที่จาบจ้องและรุนแรงทำให้เธอแทบหายใจไม่ทัน “อื้อ...” เสียงค้านดังขึ้นผ่านลำคอเมื่อรู้สึกถึงมือหนาที่ค่อยลูบไล้ปลดเปลื้องเสื้ออาภรณ์ของเธอ ทุกการสัมผัสของเขาราวกับมีมนต์สะกด ความรู้
“ยังไงคุณก็จะไม่บอกผมใช่ไหมครับว่าคุยเรื่องอะไรกัน?” เมื่อเท้าก้าวเข้าบ้านมาดีนก็เอ่ยถามนิลมณีทันทีเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินนำเตรียมจะขึ้นไปห้องของตัวเองที่ชั้นสอง นิลมณีชะงักฝีเท้าเธอหันกลับไปมองเขาด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้า ที่รู้สึกเหนื่อยเพราะเธอคิดเรื่องทางเลือกที่อัคคีให้มาไม่หยุดไม่ว่าจะมองหาทางไหนก็มืดมันแปดด้านจนไม่รู้จะทำยังไงแล้วและอยากอยู่เงียบๆกับตัวเองสักพัก “บอสคะ คุณมีคฤหาสน์หลังใหญ่ให้อยู่ มีผู้ติดตามตลอด มีลูกน้องมีคนขับรถ...ทำไมบอสไม่กลับไปอยู่บ้านของตัวเองล่ะคะ” “หืม? ก็เพราะแมว...คุณชวนผมมาอยู่ที่นี่เองไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้จะไล่กันแล้วว่างั้น?” “ลองคิดดูนะคะ ถ้าเกิดวันนี้ซันนี่มาเที่ยวที่บ้านจริงเธอก็ต้องรู้...นั่นหมายถึงคนในบริษัทรู้ ถึงวันนี้
'ข้าจักให้เวลาเจ้าได้คิดเสียหน่อย...แล้วค่อยกลับมาให้คำตอบ'คำพูดของอัคคียังคงก้องอยู่ในหูของเธอ จากที่ได้คุยกับอัคคีแล้วนั้นหากต้องการพลังของเธอคืนเพื่อจะช่วยพวกพ้องเหล่าภูติผีปีศาจก็ต้องดึงดวงจิตของพญาสิงห์ อดีตจอมราชาองค์ก่อนแยกออกจากร่างของดีน แต่ขณะเดียวกันนั้น.... ...ร่างของดีนก็อาศัยดวงจิตของพญาสิงห์เพื่อดำรงชีวิตอยู่เช่นกัน... ...ด้วยสัญญาแลกเปลี่ยนที่มีให้กัน....เพราะเหตุนี้หากทำพิธีดึงดวงจิตออกมาดีนก็จะต้องตาย...แต่ทำไมเธอถึงได้ลังเลกันล่ะ ในเมื่อต่อให้เขาตายก็ไม่มีผลกับเธอ แถมยังดีกับด้วยซ้ำ...ไม่มีผลกับเธอจริงๆน่ะหรือ? ยิ่งคิดใบหน้าสวยก็ยิ่งเคร่งเครียด ความเจ็บปวดแผ่ซ่านเข้าที่หัวใจจนแทบหายใจไม่ออก...แค่คิดว่าเขาจะหายไปตลอดกาล..."คุยเรื่องอะไรกันถึงทำให้เลขาจอมเย็นชาของผมทำหน้าเคร่งเครียดแบบนี้ได้" เสียงของดีนเรียกให้เธอตื่นจากภวังค์ความคิด เธอหันไปมองเขาที่ตอนนี้นั่งไขว้ห้างเท้าแขนกับกระจก มือท้าวคางจ้องมองเธอราวกับกำลังสนุกที่เห็นสีหน้าของเธอเป็นแบบนี้...เขาผู้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย..."ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ"นิลมณีตอบพลางสะบัดหน้าหนีสายตาคมของเขา ท่าทางของคนทั้ง
Komen