LOGINการเดินทางผ่านถนนคดเคี้ยวข้างทาง เป็นทะเลทรายมีต้นไม้ประปราย ตลอดเส้นทางมีรถวิ่งสวนเลนมาทำให้รู้ว่าเมืองไฮดริกไม่ได้เงียบเหงา เกือบห้าชั่วโมงคนตัวเล็กต้องทนเมื่อยแต่ทัศนียภาพรอบๆ ช่วยผ่อนคลายได้ดี ทันทีที่รถเคลื่อนผ่านถนนลาดยางท่ามกลางตึกขนาดใหญ่และรถมากมาย สาธารณูปโภคทันสมัยไม่แพ้ประเทศเจริญแล้ว
รถจอดเทียบหน้าโรงแรมไฮดริก นิลลนาก้าวลงแล้วกวาดตามองรอบๆ มันสวยงามราวกับเทพนิยายจริงๆ ทั้งๆ ที่เป็นเมืองร้อนมีทะเลทรายล้อมรอบแต่ที่นี่กลับมีความเย็นแผ่ทั่วทุกอณู กระเป๋าสัมภาระถูกวางลงมีพนักงานของโรงแรมยืนรอต้อนรับด้านหน้า
“ผมขอตัวก่อนนะครับ คงต้องกลับโรงแรมเลย”คนขับรถบอก
“กลับเลยเหรอคะ ไม่เหนื่อยเหรอ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมชินแล้ว แขกที่โรงแรมผมก็มาส่งแบบนี้บ่อยๆ”เขายิ้ม
“ขอบคุณมากนะคะ”
“ครับ”
คนขับรถเปิดประตูแล้วเคลื่อนเจ้ารถจิ๊บออกจากด้านหน้าโรงแรม
“จะเข้าพักที่นี่ใช่ไหมครับ”พนักงานเอ่ยถาม
“ใช่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะยกกระป๋าไปให้นะครับ”
ร่างบางสาวเท้ามายังล็อบบี้หินแกรนิตสีดำ มีพนักงานสาวสองคนยืนทำหน้าที่ประจำ เป็นสาวผิวน้ำผิ้ว รูปร่างสูงโปร่งในสูทสีน้ำเงิน ใบหน้าคมสวย ดูโฉบเฉี่ยว
“จองห้องพักเหรอคะ”พนักงานถามน้ำเสียงหวาน
“ใช่ค่ะ ขอเป็นห้องเดี่ยวนะคะ”
“รอสักครู่นะคะ”
พนักงานกดคอมพิวเตอร์ค้นหาข้อมูลครู่หนึ่ง แล้วช้อนสายตามองแขก
“ได้แล้วค่ะ ห้องเดี่ยวนะคะ ชั้นสิบห้าห้องหนึ่งห้าศูนย์สามค่ะ”
พนักงานสาวหยิบกุญแจให้พร้อมคีย์การ์ด เธอรับมาแล้วจัดการรูดบัตรเครดิต ก่อนสาวเท้าไปยังตัวลิฟต์ นิลลนากวาดสายตามองความโอ่อ่าราวกับราชวัง พื้นหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ โถงทางเดินสีทอง ด้านบนเป็นโคมไฟระย้างดงามจับตา ภาพวาดปฏิมากรรมเกี่ยวกับเทพกรีก คนตัวเล็กหยุดเท้าตรงลิฟต์โดยมีพนักงานตามมาติดๆ เมื่อมันเปิดออกเธอก้าวยืนแล้วกดชั้นที่ต้องการ เพียงครู่หนึ่งลิฟต์จอดชั้นสิบห้า ร่างบางสาวเท้าไปยังห้องพักแล้วเปิดประตูออก พนักงานนำกระเป๋าเข้าวางแล้วก้มศีรษะทำความเคารพ นิลลนาเลยให้ทิปเพื่อเป็นการขอบคุณ แล้วปิดประตูลงตามเดิม
ทันทีที่อยู่คนเดียวความอยากรู้เริ่มกระตุ้น นิลลนาสำรวจห้องพักตนเองมองดูเตียงสีเสามีม่านมีขาว พื้นเป็นกำมะหยี่สีแดง ใกล้หัวเตียงมีโต๊ะไม้สักวางโคมไฟรูปดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว หน้าต่างกระจกปิดด้วยม่านสีขาวถูกเปิดออก เผยทัศนียภาพของเมืองไฮดริกอย่างเต็มตา ดวงตาเรียวสวยเบิกกว้างระบายยิ้มด้วยความสุขใจ ที่นี่ให้ความรู้สึกดีกับเธอจริงๆ คนตัวเล็กหันกลับมาค้นข้าวของตนเองวางเรียงราย กล้องถ่ายรูปอุปกรณ์จำเป็นสำหรับทิปนี้ และชุดต้องทะมัดทะแมงพอในการเดินทางไปไหนมาไหน เมื่อจัดเตรียมเรียบร้อยหญิงสาวรีบหยิบผ้าคลุมอาบน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว เพราะเดินทางมาทั้งวันแถมอากาศค่อนข้างร้อนเหนียวตัวหมดแล้ว หยาดน้ำกำลังพร่างพรมทำให้เธอรู้สึกสดชื่น ออกจากห้องน้ำหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนส์รัดรูปมาสวม ส่องความเรียบร้อยกับกระจกอีกครั้งแล้วหยิบกล้องถ่ายรูป เธอไม่มีทางพลาดบรรยากาศยามค่ำคืนของที่นี่แน่ แต่ที่สำคัญต้องหาอะไรรองท้องเสียก่อน
นิลลนาเดินผ่านห้องอาหารโรงแรมอย่างไม่สนใจแม้มีเงินเท่าไหร่ก็ตาม เรื่องน่าสนใจมันคืออาหารพื้นเมืองตามถนนคนเดินในตลาดถัดไปอีกมุมถนน สองเท้าย้ำลงบันไดอย่างเร่งรีบสาวเท้ายังจุดหมาย เห็นแสงไฟดวงเล็กๆ ตามร้านแผงลอยระยิบระยับ กล้องถูกยกขึ้นมาถ่ายภาพอันงดงามแล้วเจ้าของมันจึงดื่มด่ำกับบรรยากาศ ถนนคนเดิมมีสินค้าจำพวกเครื่องประดับพื้นเมือง ผ้าคลุมหน้า กำไลข้อมือ สร้อยคอ และเสื้อผ้าของชนพื้นเมือง แต่ตอนนี้ท้องของเธอร้องเลยเร่งฝีเท้าไปยังกลิ่นหอมกรุ่น เห็นไส้กรอกเนื้อถูกย่างอยู่บนเตาเลยซื้อเสียหนึ่งไม้รองท้องเสียก่อน มองอีกทางเห็นอิทผาลัมสดน่าทาน แต่ตัดสินใจซื้อน้ำทับทิมชิมสักแก้วแก้กระหายมันอร่อยมากทีเดียว
อาหารที่นี่ส่วนมากเป็นนมแพะแม้แต่นมอูฐก็มี พวกผักและผลไม้ค่อนข้างเยอะ น่าแปลกอากาศร้อนขนาดนี้แต่พวกเขาสามารถผลิตพืชผลทางการเกษตรได้อย่างไร ยิ่งทำให้ชวนสงสัย เมื่ออิ่มท้องคนตัวเล็กยกเรียวแขนดูเวลาใกล้ห้าทุ่มแล้วแต่ยังไม่ง่วงเลย อาจเพราะมันต่างจากไทย คงต้องกลับเพราะตลาดกำลังวายแล้ว ร่างบางเดินทางกลับโรงแรมด้วยความอิ่มเอม เธอเดินมาถึงลิฟต์จังหวะนั้นไม่ได้ให้ความสนใจรอบข้างเพราะมัวแต่ดูภาพในกล้อง
“อุ้ย!”เธอชะงักช้อนสายตามองคนที่ตนเองชนด้วยความตกใจ “ขอโทษนะคะ”
หญิงสาวนิ่งงันดวงตาคมกริบนัยน์ตาสีอำพันนั้นราวกับมีมนต์ให้หยุดนิ่ง มือบางสั่นเทาขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ และร่างกายกำลังถูกโอบประคองไม่ให้ล้มลง เธอจึงรู้ตัวว่าตนเองกำลังถูกคนอื่นทำรุ่มร่ามอยู่ ร่างบางเบี่ยงหนีให้พ้นอ้อมแขนของชายแปลกหน้า อันมีหน้าตาหล่อเหลาและผิวพรรณผิดกว่าคนปกติโดยทั่วไป แต่ทว่าเธอไม่จำเป็นต้องสนใจแม้ตื่นตาตื่นใจในแรกเห็นก็ตาม
“ฉันไม่ได้ตั้งใจค่ะ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”นิลลนาบอกพร้อมก้มหน้ารับผิด
“ไม่ครับ” น้ำเสียงทุ้มเยือกเย็นตอบกลับ “แล้วคุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
คนตัวเล็กส่ายหน้าปฏิเสธ พยายามไม่สบตาคู่สนทนาเพราะคิดว่าตนคงเสียเปรียบ ดวงตาคมกริบเหมือนมีแรงดึงดูดใจเลยสั่นสะท้าน
“ไปกันเถอะดีล คุณมีประชุมพรุ่งนี้นะ”
นิลลนาหันมองชายหนุ่มอีกคน หน้าตาคมเข้มไม่แพ้กัน ดวงตาสีดำสนิท มีหนาวเคราเขียวขรึมเหมือนเพิ่งโกนใหม่ ท่าทางดูเหมือนบอดี้การ์ดประจำตัวชายที่ชื่อดีล
“รู้แล้วอัสลัน” เธอเห็นเขาตอบเพื่อน แล้วหันมาสบตาต่อ “คุณเป็นนักท่องเที่ยวใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”นิลลนาตอบเสียงแผ่ว รู้สึกเกร็งความจริงเขาควรไปเสียทีตามความต้องการของเพื่อน
“เป็นคนเอเชียเหรอ มาจากประเทศอะไรล่ะ”
“ประเทศไทย”
มือบางอันสั่นเทาถูกกุมแล้วดึงขึ้นมาจุมพิตอย่างกะทันหัน นิลลนาตาโตด้วยความตกใจรีบชักมือกลับหน้าตาตื่น
“คุณทำอะไร!”เธอร้องถาม
“จูบมือคุณไง ผมพอใจคุณไม่รู้เหรอ”
นิลลนาหน้าแดง ทำไมเขาถึงทำอะไรรวดเร็วราวกับผู้หญิงเป็นเหมือนตุ๊กตาไปได้ เพิ่งรู้จักมาทำสนิทสนมขนาดนี้มากเกินไป
“แต่ฉันไม่ชอบค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”หญิงสาวตัดบทแล้วเดินหนีไปทันที
ข้อมือบางถูกรั้งไว้ทันที แล้วตวัดให้หันกลับมา โน้มใบหน้าเข้าใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นรดใบหน้า นิลลนาตระหนกยกมือดันออกห่างแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจับไว้แน่นไม่ยอมให้ทำตามใจ
“ปล่อยฉันนะคะ!” เธอส่งเสียงบ่งบอกถึงความไม่พอใจ
“ผมมีอะไรไม่ดีงั้นเหรอ คุณถึงไม่อยากคุยด้วย”
นิลลนากัดฟันแน่น ต่อให้หน้าดีหล่อเหลาแค่ไหน หากมารยาททรามเธอก็ไม่มีวันญาติดีด้วยหรอก
“ไม่ดีทั้งหมดนั่นแหละค่ะ ปล่อยฉันได้แล้ว ฉันไม่ชอบ คุณเป็นใครมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้!” คนตัวเล็กพยายามบิดแขนตนเองให้พ้นจากการฉุดรั้งของอีกฝ่าย แล้วหันหน้าหนีตลอดเวลา
“คุณรู้หรือเปล่าว่าคุณกำลังพูดอยู่กับใคร ผู้หญิงคนไหนเห็นหน้าผมก็ต้องการผมกันทั้งนั้น”
“แต่ไม่ใช่ฉัน!” หญิงสาวเถียงกลับตวัดสายตามอง จังหวะนั้นใบหน้าเขาเคลื่อนใกล้จนริมฝีปากแทบชิดกัน
ร่างบางชะงักดวงตาเรียวสวยเบิกกว้าง สะบัดข้อมือสุดแรงกระชากออกจากเขา
เพียะ!
ฝ่ามือเธอตวัดลงบนใบหน้าหล่อเหลา เห็นแววตาเขาวาวโรจน์ กัดฟันแน่นจ้องมองมา นิลลนารู้สึกตัว เธอไม่ได้ตั้งใจ เขาผิดที่ทำราวกับเธอเป็นผู้หญิงหากิน
“นี่เจ้า กล้าดียังไงมาตบข้า รู้หรือเปล่าว่าข้าเป็นใคร!”
เขาตวาดจนเธอสะดุ้ง ไม่คิดว่าน้ำเสียงจะทรงพลังขนาดนี้ ปกติเธอไม่เคยกลัวใครเลย แต่ชายแปลกหน้าคนนี้กลับทำให้เธอรู้สึกถึงอำนาจที่ไม่มีทางต่อกร
“ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณเป็นใคร แล้วฉันก็ไม่สนด้วย โดนแค่นี้ยังน้อยไป ฉันไม่ใช่ผู้หญิงหากิน คุณไม่มีสิทธิ์มาทำรุ่มร่าม!” หญิงสาวต่อว่าน้ำเสียงสั่น แม้กายจะสะท้านแต่จำต้องหาทางปกป้องศักดิ์ศรีตนเอง
อัสลันรีบเข้าห้าม พร้อมส่งสายตาไปถึงหญิงเอเชียเพื่อส่งสัญญาณให้หนีไป เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่ ลิลลนารีบหนีออกมาจากตรงนั้นทันที สายตาของเขาน่ากลัวมากเหลือเกิน ที่ต่อปากต่อคำก็เล่นเอาแทบยืนไม่อยู่
“เจ้าจะหนีไปไหน ข้าไม่มีวันให้อภัยเจ้า ไม่เคยมีใครกล้าตบหน้าข้า!”
นิลลนาได้ยินเสียงตะโกนไล่หลังเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเธอเข้าใจมันดี แต่คำพูดแบบนี้ราวกับผู้รากมากดีเก่า แต่ตอนนี้เธอไม่อยากมัววิเคราะห์เรื่องไร้สาระ หาทางหนีจากชายแปลกหน้าคนนั้นดีกว่า
“ดีลใจเย็นก่อน ที่นี่ท่านไม่ควรเปิดเผยตัว” อัสลันเตือน กางมือกั้นไม่ให้ดีลไล่ตามหญิงไทย
“อัสลันฉันต้องการผู้หญิงคนนั้น!” ดีลเข่นเขี้ยวกำมือแน่น
คนถูกสั่งชะงัก เขาไม่อยากทำร้ายเธอ ผู้หญิงคนนั้นแค่ไม่รู้ว่าชายที่ยืนต่อหน้าเขาคือใคร เธอเลยเผลอทำสิ่งผิดพลาดครั้งใหญ่
“จะดีเหรอดีล ผมว่าอย่าทำอะไรเธอเลย”
“ฉันต้องการผู้หญิงคนนี้!” ดีลไม่ยอมลดละ
“หาเอาใหม่ดีกว่าดีล คุณแค่ปรายตามองสาวๆ ก็ตามเป็นทิวแถวแล้ว แค่ผู้หญิงไทยคนเดียวอย่าไปยุ่งเลย ปล่อยให้เธอท่องเที่ยวที่นี่ดีกว่า เผื่อคนเอเชียจะมาอีก”
ดีลหันมองอัสลัน สีหน้าฉายฉัดว่าไม่รับฟังความคิดเห็นใดๆ
“ข้าต้องการผู้หญิงคนนั้นหาทางเอาตัวนางมาให้ได้อัสลัน กล้าหยามกันขนาดนี้ สตรีนางนั้นต้องได้รับโทษ!”
“แต่...” อัสลันอ้าปากจะค้าน
“ทำตามคำสั่งแค่นั้น” ดีลตัดบท
“ครับ”
เธอถูกวางหน้าฉากแล้วทรงหยิบเสื้อผ้าในตู้ส่งให้ นิลลนารีบเปลี่ยนแล้วเดินออกมา คิ้วบางขมวดด้วยความสงสัยว่าพระองค์จะทรงทำอะไร ทรงเอื้อมพระหัตถ์กุมมือเธอไว้แล้วรั้งให้เดินตามทหารหน้าตำหนักรีบก้าวติด ทรงหันพระวรกายแล้วตรัสสั่ง“ไม่ต้องตามมา”“แต่ฝ่าบาท”ทหารสองนายไม่อาจละเลยหน้าที่“ได้ยินที่เราสั่งไหม”“พะยะค่ะฝ่าบาท”นิลลนาถูกพามาถึงคอกม้าหญิงสาวยืนมองด้วยความแปลกใจ ฝ่าบาทจะทรงทำอะไรดึกคื่นป่านนี้ยังจะพาขี่ม้าเที่ยวอีกอย่างนั้นหรือ“ฝ่าบาทจะทรงไปไหนหรือเพคะ ดึกมากแล้ว”หญิงสาวพยายามปราม บทพระองค์จะทรงห่ามก็ทำอะไรไม่ฟังใครเลย“เราจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง เจ้าต้องชอบมากแน่”ม้าสีขาวขนาดใหญ่ถูกรั้งออกมาจากคอก ท่าทางมันดูไม่ค่อยคุ้นชินกับคนสักเท่าไหร่ แต่กับฝ่าบาทดูเชื่องอย่างประหลาด“มันชื่อสปีด เป็นม้าที่วิ่งเร็วและมีพละกำลังมากแต่ค่อนข้างไม่คุ้นกับใคร มีเราขี่มันได้คนเดียว”ทรงขึ้นขี่ม้าแล้วยื่นพระหัตถ์มาให้เธอจับนิลลนาลังเลเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็จำยอม เอวบางถูกรวบบังเหียนกระตุกม้าเริ่มวิ่งออกนอกอาณาเขต ทรงเคลื่อนม้ามายังผืนทรายกวางยามค่ำคืนอากาศเริ่มหนาวแต่เธอกลับรู้สึกอบอุ่นภายใต้อ้อมพระกรของพระอง
ทรงทอดพระเนตรนาฬิกาฝาผนัง บ่งบอกเวลาเกือบสี่ทุ่ม ทรงหยุดพระหัตถ์ซึ่งกำลังทรงพระอักษร บิดพระวรกายเพื่อไล่ความขบเมื่อยแล้วลุกยืน คำพูดของนางยังคงดังก้อง ค่ำคืนนี้จะเสด็จไปเยือนตำหนักบุปผชาติ และนิลลนาจะต้องเป็นของพระองค์เพียงคนเดียว องครักษ์คู่กายในวันนี้ไม่ใช่อัสลัน พระองค์ต้องการให้พักผ่อนเพราะคงเจอเรื่องเครียด ทรงสาวพระบาทตามทางเดินอันมีแสงไฟสีส้มอ่อนสลัวๆ ตลอดเส้นทางพระราชดำเนิน ทรงทอดพระเนตรหิ่งห้อยซึ่งกำลังล่องลอย บางครั้งในพระอุระรู้สึกแน่นขึ้นมาการเกิดเป็นกษัตริย์นั้นทำให้พระองค์ต้องทรงเด็ดขาด เรื่องส่วนตัวมาทีหลัง เคยเหงา เหว่หว้าเปล่าเปลี่ยนแต่กลับทรงคิดเรื่องเหล่านั้นได้ชั่วระยะเดียวเท่านั้น เมื่อต้องหันกลับมาทอดพระเนตรประชาชนอีกมากมาย บางครั้งพระองค์อยากทรงหนีไปให้ไกลให้พ้นสภาวะกดดัน อยากอยู่ในที่สงบเงียบไม่มีผู้ใดรบกวน อยากมีใครสักคนร่วมมองฟ้าดูดาวด้วยกันตลอดจนชั่วชีวิตตำหนักบุบผชาติมีแสงไฟเปิดตลอดเส้นทาง ทรงเสด็จมาถึงหน้าประตูตำหนักข้ารับใช้รีบเปิดให้ ทหารทำหน้าที่ยืนยามด้านหน้า ร่างบางในชุดนอนสีขาวแนบกายยืนสั่นสะท้านทั้งที่เตรียมตัวเตรียมใจเหตุใดถึงยังหวาดกลัว ทันที่ประ
“ถ้าฉันสั่งให้พวกเธอทำ จะทำหรือเปล่า ถ้าหากต้องโทษฉันจะรับเอง!”เห็นข้ารับใช้ในตำหนัก ชวนให้หงุดหงิด ร่างบางสาวเท้าตรวจอาหาร ไม่มีใครทำเธอจัดการเองก็ได้“จัดอาหารมา ที่เหลือฉันจัดการเอง!”ฮายิรีบจัดแจงช่วยบรรดาป้าๆ ในครัวจัดอาหารใส่ถาด นิลลนารับแล้วก้าวยาวไปยังห้องของนาเดียทันที ประตูห้องเปิดออก เธอวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะหัวเตียง นาเดียขยับกายหันมองด้วยความตกใจ“เกิดอะไรขึ้นคะ!”“นาเดีย ฉันพยายามขอร้องให้คนในตำหนักช่วยแล้วล่ะแต่ไม่ได้ผล เธอรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่ายังไงก็ไม่มีใครเต็มใจยกอาหารมาให้น่ะ”คนฟังแววตาหม่นลง ไม่คิดว่าพระสนมจะลงมือยกอาหารมาให้ด้วยตนเอง“ทำไมคุณถึงต้องลงทุนยกมาเองด้วยคะ ถ้าฉันพอลุกได้ ไปหาทานในห้องเครื่องเองก็ได้ค่ะ”“พูดแบบนี้อีกแล้วนาเดีย ไม่อยากเถียงด้วยแล้วทานเถอะ”นาเดียรับช้อนแล้วตักอาหารเข้าปากน้ำตาคลอ หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงต้องนอนซมในห้องไม่มีคนดูแล พระสนมดีกับเธอเช่นนี้คงหาไม่ได้อีกแล้ว ไม่อยากให้นางจากไปเลยก๊อก! ก๊อก!เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นอีกครั้ง ร่างบางรีบสาวเท้ามาเปิดเห็นราชองครักษ์หนุ่มยืนอยู่ ในมือถือบางอย่าง“เอ่อ...”อัสลันอึกอัก“มีอะไรหรือเปล
ร่างบางลุกยืนแล้วหุนหันวิ่งออกนอกห้องโถงทันที กษัตริย์มาซาฮาฟทอดพระเนตรแผ่นหลังบอบบางแล้วหรี่พระเนตรลงครุ่นคิดบางอย่าง นิลลนารีบเปิดประตูห้องข้ารับใช้คนสนิทเห็นร่างอรชรนอนคว่ำหน้าบนเตียงเสียงสะอื้นยังดังแว่ว ร่างบางรีบทรุดกายลงข้างเตียงน้ำตาเอ่อ“นาเดีย...”เธอเรียกชื่อข้ารับใช้เสียงแผ่วครั้นได้ยินเสียงเรียกเธอรีบพลิกกายเพื่อหันมอง แต่ทว่าร่างกายอันบอบช้ำไม่อำนวย“โอ้ย!”“อย่าขยับนาเดีย ไม่เป็นไรไม่ต้องหันมาหรอก”“ฉันขอโทษนะคะ ที่ทำให้คุณต้องเดือดร้อน ทำให้คุณต้องฝืนใจยอมฝ่าบาท”“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะนาเดีย ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษที่ทำให้นาเดียเดือดร้อนเพราะความเห็นแก่ตัว”นิลลนาบอกเสียงเครือ“คุณไม่ผิดหรอกค่ะที่คิดอยากหนี นาเดียเองก็อยากให้คุณได้กลับบ้าน แต่นาเดียไม่มีอำนาจมากพอจะช่วยเหลือคุณ ขอโทษนะคะทั้งที่คุณมองนาเดียเหมือนเพื่อนคนหนึ่งแท้ๆ แต่นาเดียกลับทำให้คุณต้องเสียสละตัวเอง”ยิ่งพูดยิ่งเหมือนตัวเองทำให้เจ้านายต้องทุกข์ทรมาน เธอรู้สึกผิดมากจริงๆ ที่เกิดมาต่ำต้อยไม่อาจช่วยเหลือใครได้นิลลนาโน้มกายโอบกอดเพื่อนสาวด้วยความปวดร้าว เธอไม่เคยคิดเลยว่าข้ารับใช้คนสนิทจะรู้สึกกับเธอเช่นนี้ ถูก
นิลลนาช้อนสายตามองแววตาแค้นเคือง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะฝ่าบาทเพียงพระองค์เดียว“เรื่องนี้หม่อมฉันผิดคนเดียวคนอื่นไม่เกี่ยว ฝ่าบาททรงปล่อยคนอื่นไปได้ไหม!”“เจ้ามีสิทธิ์ต่อรองกับข้าด้วยเหรอนิลลนา”“หม่อมฉันไม่ได้ต่อรอง เพียงแค่ร้องขอต่อฝ่าบาทเท่านั้น”หญิงสาวตอบกลับน้ำเสียงแข็ง“นี่หรือคือการร้องขอ”ทรงเลิ่กพระขนงเพื่อเปิดศาสน์ท้ารบต่อสตรีตัวเล็กด้านหน้าริมฝีปากบางเม้มสนิทข่มกลั้นความรู้สึกในอกเอาไว้ หากตัวคนเดียวเธอคงโวยวายไม่กลัวตายไปแล้ว แต่ทำไม่ได้เพราะมีหลายชีวิตพ่วงท้ายมาด้วย“ฝ่าบาทต้องการอะไรจากหม่อมฉันหรือเพคะ ในเมื่อพระองค์มีสตรีมากมายคอยปรนนิบัติจะเสียหม่อมฉันไปสักคนจะเป็นไรไป”เธอบอกแล้วกวาดตามองรอบห้องโถงซึ่งล้วนแล้วแต่มีหญิงงามมากมายยืนห้อมล้อมอยู่“เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าต้องการอะไร เจ้าก็คือเจ้านิลลนา คนอื่นมาทดแทนไม่ได้ ถ้าหากทดแทนได้ข้าจะกักขังเจ้าไว้ทำไมอีก”คำตรัสทำเอานางสนม และบรรดาหญิงสาวถวายตัวกัดฟัน อารีมากำมือแน่นด้วยความปวดร้าวในอก ทรงยังไม่รู้พระองค์อีกเหรอว่าทำไมถึงได้รั้งหญิงชาวไทยนางนี้ไม่ยอมปล่อย ไม่อยากเชื่อเลยว่าฝ่าบาทจะทรงปันใจให้นาง แล้วเธอเล่าเป็นตัวอะไร
“ไม่เป็นไรหรอกเรายินดี”หญิงสาวหันมองนาเดียแล้วกุมมือไว้แน่น“นาเดียฉันไปก่อนนะ สักวันเราคงได้พบกัน”“รักษาตัวดีๆ นะคะ”นาเดียบอกเสียงเครือ น้ำตาเอ่อ“จ้ะ”รถถูกเปิดประตูออกนิลลนารีบขึ้นนั่ง ทหารทำหน้าที่ขับเคลื่อนออกจากบริเวณนั้นทันที นาเดียสะอื้นไห้ด้วยความอาลัยผสมความหวาดหวั่นใจ หากฝ่าบาททรงทราบเรื่องราวคงลุกลามใหญ่โต เธออาจต้องโทษประหารก็เป็นได้“กลับเข้าด้านในกันเถอะ เรื่องนี้อย่าแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”อารีมาสั่งเสียงเด็ดขาด“พะยะค่ะพระสนม”“ได้ยินหรือเปล่านาเดีย”นาเดียชะงักหันมองแล้วถอนสายบัว “เพคะพระสนม”ผู้ร่วมแผนการสาวเท้าไปยังวังหลังเตรียมแยกย้ายกัน แต่ทว่ากลับต้องหยุดชะงักเมื่อแสงไฟสาดส่องทั่วบริเวณตามด้วยทหารจำนวนมากยืนล้อมอยู่ อารีมาปากสั่นใบหน้าซีดเผือด อัสลันก้าวมาหยุดยืนตรงหน้าทุกคนก่อนลอบชำเลืองนางในดวงใจ“ท่านกำลังทำอะไรอัสลัน นี่พระสนมเอกกล้าดียังไงขวางทาง”ข้ารับใช้คนสนิทรีบประกาศ“ที่กระหม่อมกล้าเพราะมีราชโองการจากฝ่าบาทมาพะยะค่ะพระสนม”อัสลันกางราชโองการทันที สนมเอกแทบทรุดกองกับพื้น“ข้าทำอะไรผิดพวกเจ้าถึงมาจับตัวเช่นนี้”อารีมายังคงหาทางรอด“พระสนมเอกน่าจะรู้อยู่แก่







