น้ำตาของเย่เจียเหอคลออยู่ที่เบ้า โดยที่เธอพยายามไม่ให้มันไหลออกมา "คุณให้ฉันอาบน้ำให้สะอาดก่อนนะ เรื่องนี้ คำสองคำมันไม่ชัดเจนหรอก""เดี๋ยวก่อน ผมมีอะไรจะถามคุณ"ลู่จิ่งโม่ล็อกข้อมือของเธอเอาไว้ โดยที่แรงบีบนั้นมันทำให้เย่เจียเหอถึงกับต้องขมวดคิ้วขึ้นมา"เมื่อคืนวาน คนที่คุณช่วยเอาไว้นั้นคือยายของวังโหรว ตอนที่คุณยายถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลนั่น ท่านก็ได้จากไปแล้ว เย่เจียเหอ เพราะคุณรู้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณยายและวังโหรวมาก่อนหรือเปล่า?"แววตาของลู่จิ่งโม่เย็นเฉียบ และมันก็เต็มไปด้วยความสงสัยและการตรวจสอบที่เข้มข้นเย่เจียเหอสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เบิกตากว้าง และมองมาที่เขาอย่างไม่น่าเชื่อคุณยายคนนั้น เป็นยายของวังโหรวจริงๆหรือนี่?งั้นคำพูดของลู่จิ่งโม่ก็หมายความว่า เขากำลังสงสัยในตัวเธออยู่ โดยที่กำลังคิดว่าเธอใช้การช่วยชีวิตคนมาเป็นข้ออ้างในการแก้แค้นวังโหรวจนทำให้คุณนายของวังโหรวต้องตายแบบนั้นใช่หรือเปล่าและในขณะนี้ เย่เจียเหอก็เหมือนตกไปในถ้ำน้ำแข็งที่หนาวเย็น โดยที่มันสิ้นหวังเอาเสียมากๆโดยที่ความเจ็บปวดแบบนี้ มันทรมานกว่าการถูกทุกคนเข้าใจผิดและตําหนิเป็นร้อยเท่าเธอหัว
ในที่สุด รถก็ได้ขับมาถึงห้องโถงไว้อาลัยรูปถ่ายคุณยายของวังโหรวถูกจัดตั้งเอาไว้ตรงกลางภายในห้องโถงไว้อาลัยมีผู้คนไม่น้อยเลย รวมถึงหญิงวัยกลางคนที่ทุบตีเย่เจียเหอในตอนเช้าด้วยพวกเขาร้องห่มร้องไห้ราวจะขาดใจตายคนเหล่านี้แต่งตัวเลอะเทอะโสมมและกิริยามารยาทดูป่าเถื่อนเอาเสียมากๆ ซึ่งต่างจากวังโหรวราวกับคนละโลกข้างเตาอั้งโล่ วังโหรวสวมชุดขาว คุกเข่าเผากระดาษอยู่ข้างๆเธอหลั่งน้ำตาอย่างเงียบๆ ดูแล้วน่าสงสารอย่างจับใจเย่เจียเหอมองทั้งหมดนี้อย่างเย็นชา แม้ว่าคุณยายของวังโหรวจะเสียชีวิตไปแล้ว เธอก็ไม่สามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจได้แม้แต่น้อยลู่จิ่งโม่ส่งสัญญาณให้เธอเดินตามหลังมาเขาเดินเข้าไปในห้องโถงไว้อาลัยในทันที จากนั้นก็เดินเข้าไปหาวังโหรวและประคองเธอขึ้นมา"โหรวเอ๋อร์ ผมพาเจียเหอมาแล้วนะ"น้ำเสียงของลู่จิ่งโม่อ่อนโยนและดูหวงแหนเอาเสียมากๆ "หวังว่าคุณจะยอมรับคําขอโทษของเธอนะ"วังโหรวแอบชำเลืองไปที่เย่เจียเหอ จากนั้นก็เงยหน้าที่ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมา และพูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า "จิ่งโม่ ฉันไม่เคยคิดที่จะแย่งของของใครมาก่อน แต่ทำไมภรรยาของคุณถึงได้เจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนี้ด้วย?
เย่เจียเหอหัวเราะอย่างน่าเวทนา "บอกคุณแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร? คุณก็เหมือนกับพวกเขาที่คิดว่าฉันมีความผิดและสมควรที่จะได้รับการลงโทษไม่ใช่เหรอ?""เจียเหอ..."ลู่จิ่งโม่ตะโกนเรียกชื่อเธออย่างจนใจ และกระซิบว่า "ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา อย่างน้อยตอนนี้คุณก็ยังเป็นคุณนายของลู่จิ่งโม่อยู่ ผมไม่อนุญาตให้ใครมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของคุณได้!"ทันใดนั้นเย่เจียเหอก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่ใสสะอาดมีประกายน้ำตาแวบเข้ามาคำพูดของเขาเมื่อครู่นี้ มันกลับทำให้เธออุ่นใจและมั่นคงได้ขนาดนั้น"ใครอยากได้ความหวังดีปลอมๆอย่างนั้นของคุณกัน?"แม้จะพูดแบบนี้ แต่น้ำเสียงแบบนั้น มันอ่อนนุ่มและแฝงไปด้วยการออดอ้อนอย่างเห็นได้ชัดและหัวใจของลู่จิ่งโม่ก็เหมือนกับถูกกระแสไฟช็อตขึ้นมาเขามองแผลที่ใบหน้าของเธอ แล้วพูดว่า "ใบหน้าแบบนี้ของคุณ หากคุณปู่มาเห็นเข้า ไม่รุ้จะอาละวาดแบบไหนออกมาอีกนะ?"เย่เจียเหอจับมุมริมฝีปากอย่างขมขื่น "คุณกลัวว่าคุณปู่จะเอาเรื่อง และวังโหรวก็อาจเข้ามาพัวพันด้วย คุณไม่อยากจะให้คุณปู่โกรธเธอใช่ไหมล่ะ!"ลู่จิ่งโม่ก็ยิ้ม และพูดเบาๆ ว่า "มีใครเคยบอกคุณหรือไม่ว่า ผู้หญิงที่ฉลาดเกินไปมักจ
เย่เจียเหอรีบเลื่อนอ่านข้อความ เมื่อมองเห็นข้อความตำหนิที่ผิดเพี้ยนจากความจริงไปนั้น นิ้วมือของเธอก็สั่นเทาขึ้นมาเธอคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันนี้ คนธรรมดาอย่างเธอจะถูกเปิดโปงต่อหน้าสาธารณชนแบบนี้ได้ต่อให้ปกติเธอจะเป็นคนโผงผาง และมีความแข็งแกร่งมากพอแต่เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้ เธอก็ทำอะไรไม่ถูก และข่าวลือที่เต็มไปหมดนี้ ควรจะควบคุมอย่างไรดี?ไม่นานกริ่งประตูบ้านก็ได้ดังขึ้นเย่เจียเหอเปิดประตู และเซี่ยหลิงก็พูดอย่างกระหืดกระหอบว่า "เจียเหอ บทความพวกนั้นเพราะมีคนต้องการใส่ร้ายเธอ ใช่หรือเปล่า? เป็นนังมือน้อยนั่น? ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าเธอจะทำเรื่องแบบนั้นได้ ฉันไม่เชื่ออย่างแน่นอน!"ความไว้วางใจที่แน่วแน่ของเซี่ยหลิงเช่นนี้ทําให้เย่เจียเหอซาบซึ้งใจจนอยากร้องไห้ออกมานอกจากพ่อแล้ว เซี่ยหลิงก็เป็นคนแรกที่เชื่อมั่นในตัวเธอแต่ลู่จิ่งโม่ กลับสงสารผู้กระทําผิดคนนั้นจากนั้นเย่เจียเหอก็ได้เล่าเหตุการณ์วันที่เธอได้ช่วยคนในวันนั้นให้เซี่ยหลิงฟังด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งในที่สุดเธอก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า "เพียงแต่ฉันคิดไม่ถึงเลยว่า คุณยายคนนั้นจะเป็นคุณยายของวังโหรว ท่านน่าจะเป็นเพราะ
เย่เจียเหอคิดว่าผู้ชายคนนี้ได้อยู่เป็นเพื่อนวังโหรวมาสองวันแล้ว ตอนนี้จึงนึกถึงเธอขึ้นมาได้ และเธอก็ได้พูดขึ้นมาว่า "เรื่องนี้คุณไม่ต้องเข้ามายุ่งหรอก แล้วอีกอย่าง ฉันไม่ได้โง่พอที่จะเดินเข้าประตูใหญ่ไปหรอกนะ ข้างห้องทดลองของพวกเรามีประตูเล็กๆอยู่ มีคนรู้น้อยมาก""ฮึ่ม พูดว่าคุณโง่ และคุณก็ไม่ฉลาดจริงๆด้วย"ลู่จิ่งโม่หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วพูดว่า "เมื่อกี้ผมให้คนขับรถไปตรวจทางให้คุณแล้ว ดูก่อนเถอะ!"เมื่อเย่เจียเหอมองดูรูปภาพ เธอก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันทีแม้แต่ประตูใกล้ห้องทดลองที่ปกติไม่มีใครไปเลย กลับถูกนักข่าวเหล่านั้นปิดกั้นอย่างหนาแน่นลู่จิ่งโม่ถามด้วยเสียงที่ทุ้มลึกว่า "ทำไมจู่ๆก็วิ่งมาที่นี่ล่ะ? เวลาไหนแล้ว คุณยังจะสนใจเรื่องการทดลองอีก?"เย่เจียเหอพูดอย่างกลุ้มใจว่า "หนูในห้องทดลองฉันกำลังจะตาย เพื่อนร่วมฉันเตือนให้ฉันมาให้อาหารพวกมันน่ะ""มันสําคัญขนาดนั้นเลยเหรอ?"เย่เจียเหอมองเขาอย่างหมดคำพูดลู่จิ่งโม่โทรหาคนขับรถต่อหน้าเย่เจียเหอ และขอให้เขาถามอย่างชัดเจนว่านักข่าวปรากฏตัวที่ประตูใกล้ห้องทดลองเมื่อไหร่?ได้รับคําตอบว่า เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนและเย่เจียเหอก็เข้าใ
จู่ๆ เธอก็ยิ้มยิงฟันออกมา แล้วพูดว่า "งั้นคุณอยากจะกินอะไรล่ะ? ฉันจะทำให้คุณเอง"ไม่ว่าฝีมือการทำอาหารของเธอจะไม่เป็นเลิศ แต่ก็พอไปวัดไปวาได้ ถือว่ายังโอเคอยู่"แล้วแต่คุณเลย ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ"ลู่จิ่งโม่คลายเนกไท และเดินขึ้นบันไดไปเย่เจียเหอยิ้มอย่างบ้าๆบอๆ และเดินเข้าไปในห้องครัว โดยที่ยังมีถ้อยคำเมื่อครู่นี้ของลู่จิ่งโม่วนเวียนอยู่ในหัวงั้นก็หมายความว่า เขาออกทริปธุรกิจ ไม่ได้อยู่กับวังโหรวผู้หญิงคนนั้นนอกจากนี้ ทันทีที่เขาลงจากเครื่อง เขาก็มาที่มหาวิทยาลัยไห่เฉิงกับเธอเพื่อปกป้องเธออีกด้วยและเธอก็ยิ่งรู้สึกว่า สามีของเธอเริ่มมีความอบอุ่นขึ้นมาเรื่อยๆแล้วในที่สุด เธอก็ทำอาหารออกมาสองสามเมนู หุงข้าวอย่างเรียบร้อย และเตรียมที่จะขึ้นไปเรียกลู่จิ่งโม่ให้ลงมาแต่พอเดินไปถึงประตู เธอก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนและนุ่มนวลของชายหนุ่มดังแว่วมาจากข้างใน"โหรวเอ๋อร์ คุณไม่เป็นอะไรจริงๆเหรอ? จะไม่กินข้าวได้อย่างไรกัน?" แม้เขาจะยังตำหนิอยู่ แต่น้ำเสียงนั้นกลับอ่อนโยนเป็นอย่างมาก "คุณน้ำตาลในเลือดต่ำมาโดยตลอด แล้วทำไมจะต้องทรมานตัวเองแบบนี้ด้วย?"ไม่รู้ว่าทางนั้นได้พูดอะไรอยู่ แต่เ
"เย่เจียเหอ..."ซึ่งลู่จิ่งโม่ก็ไม่ได้ผลักมือเธอออกแต่อย่างใด เพียงแต่สายตาที่ขุ่นมัวมองไปที่เอวของตัวเอง แล้วพูดอย่างคลุมเครือขึ้นมาว่า "มือของคุณวางไว้ที่ไหน?"จากนั้นเย่เจียเหอถึงสามารถดึงสติกลับมาได้ และมือของเธอก็ได้กดไปตรงนั้นของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหม่า รีบดึงมือกลับอย่างฉุกละหุก พร้อมอธิบายอย่างทำอะไรไม่ถูกว่า "ขะ... ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจน่ะ"หลังจากพูดจบ เธอก็รีบลุกขึ้นจากเขาทันทีดวงตาลึกของลู่จิ่งโม่มีรอยยิ้มจางๆ สัมผัสริมฝีปากของตัวเองและดูเหมือนจะมีอุณหภูมิของเด็กสาวตัวเล็กคนนี้อยู่ด้วยความเคอะเขินและกลิ่นหอมหวานแบบนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะคิดไปถึงค่ำคืนหนึ่งในตอนนั้นขึ้นมาอีกครั้งลู่จิ่งโม่ไม่กล้าคิดให้ลึกมากไปกว่านี้ตัวเขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ทั้งๆที่ผู้หญิงคนนั้นคือวังโหรว แล้วจะเป็นเย่เจียเหอไปได้อย่างไร?นี่มันไร้สาระสิ้นดีเย่เจียเหอหลีกเลี่ยงสายตาที่ขี้เล่นของเขา และพึมพำขึ้นมาเบาๆว่า "คุณเป็นคนดึงฉันมาเองนะ ไม่งั้น ฉันจะเผลอไปโดนคุณอย่างไร""ผมตำหนิคุณแล้วเหรอ?" ลู่จิ่งโม่มองแก้มที่อ่อนนุ่มและบอบบางของเธอ ยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปาก
ขณะที่พูดลู่จิ่งโม่ก็ได้เดินมาหาเย่เจียเหอเมื่อเห็นวังโหรว สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด บอกไม่ได้ว่า มันเป็นความประหม่า หรือละอายใจกันแน่ส่วนวังโหรวก็มองเขา เห็นได้ชัดว่าเขาก็เพิ่งที่จะตื่นด้วยเหมือนกันพวกเขาสองคน เมื่อคืนนอนด้วยกันอย่างนั้นเหรอ?มิน่าล่ะลู่จิ่งโม่จึงไม่ได้มาอยู่กับเธอ ที่แท้ก็ถูกเย่เจียเหอ นังจิ้งจอกตัวนี้ขวางเอาไว้นั่นเองวังโหรวเก็บซ่อนความมืดมนภายในดวงตาเอาไว้ จู่ๆก็กรีดร้องออกมาว่า "ว้าย! จิ่งโม่ ทำไมคอและแขนของคุณถึงมีผื่นแดงมากมายขนาดนี้?"ขณะที่พูด เธอก็เริ่มหลั่งน้ำตาอย่างน่าสงสารออกมา "มิน่าล่ะถึงโทรหาคุณไม่ติด ที่แท้คุณก็ป่วยนี่เอง จิ่งโม่ ทำไมไม่บอกกับฉันล่ะ? ยังดีนะที่ฉันมาแล้ว ไม่งั้น แม้ว่าคุณป่วยฉันก็ไม่รู้อะไรเลย"ลู่จิ่งโม่รู้สึกว่าเธอทําเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ จึงพูดขึ้นมาว่า "ไม่เป็นไร แพ้เท่านั้นน่ะ""ทำไมถึงแพ้ขึ้นมาได้ล่ะคะ?"วังโหรวพูดขึ้นมาทันทีว่า "ฉันจำได้ว่าคุณแพ้พริกเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นทุกมื้ออาหารจึงต้องหลีกเลี่ยงพริกพวกนี้ หรือว่า คุณเย่ไม่รู้งั้นเหรอคะ?"เย่เจียเหอยืนอยู่ข้างๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่า