"ที่ทำงานคือที่ไหนเหรอลูก แล้วหนูสมัครงานอะไรไป" ภาสกรผู้เป็นพ่อที่นั่งฟังอยู่นานเอ่ยถามขึ้น อันที่จริงเขาก็อยากให้ลูกสาวอันเป็นที่รักของเขานั่งกินนอนกินอยู่ที่บ้าน
แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้ร่ำรวยจนล้นฟ้า แต่ก็มั่นใจว่าสามารถเลี้ยงให้ลูกสาวอยู่อย่างสุขสบายได้โดยที่ยัยสองไม่ต้องไปทำงาน
แต่ก็นั่นแหละ.. ลูกน่ะเลี้ยงได้แค่ตัว พอโตมาพวกเขาก็คงอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง อีกอย่างนับสองก็เรียนจบมาสองปีตามกำหนดแล้วด้วย เขาคงห้ามนั่นห้ามนี่ลูกตลอดไปไม่ได้
"หนูสมัครตำแหน่งผู้จัดการรีสอร์ตไปค่ะ เป็นรีสอร์ตที่กำลังจะเปิดใหม่ หนูคิดว่าเขาอาจจะต้องการคนเลยลองยื่นใบสมัครไป"
"เฮียเลี้ยงหนูได้นะ ไม่เห็นต้องลำบากไปหางานทำเลย ถ้าหนูอยากทำงานจริง ๆ มาทำตำแหน่งบัญชีอยู่กับเฮียที่กรุงเทพก็ได้ หรือหนูจะนอนตีพุงอยู่คอนโดอย่างเดียวเฮียก็ไม่ว่า คอนโดเก่าของหนูก็ยังไม่ได้ขายนี่นา"
อภิชญาได้แต่หันมองหน้าพ่อและพี่ชายสลับไปมาด้วยความไม่เข้าใจ ปกติแล้วทางครอบครัวควรเร่งให้เธอไปทำงานตั้งแต่เรียนจบมาแล้วด้วยซ้ำ
แต่นี่เธอนอนตีพุงอยู่บ้านมาเป็นเวลาสองปีแล้ว เพราะพ่อเป็นคนขอไว้ว่าอยากให้ลูกสาวพักผ่อนสักหน่อย ไม่อยากให้เธอต้องมากดดันหรือลำบาก ถ้าจะให้เรียนจบสูงมาแล้วไม่ทำงานทำการ จะให้เธอไปเรียนให้ปวดหัวทำไมตั้งแต่แรก!
อภิชญานั่งกินนอนกินอยู่บ้าน เวลาก็ล่วงเลยมาปีที่สองแล้ว เธอรู้สึกว่าตนเองนั้นดูไร้ค่าเพราะไม่มีงานการทำ ไม่มีอะไรที่เป็นของตัวเองเลยสักอย่าง ทั้งที่อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว
หากว่ากันตามตรงผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอคงจะแต่งงานมีลูกกันไปหมดแล้ว หรือไม่ก็คงมีหน้าที่การงานมั่นคงมีอนาคตที่ดีรออยู่ พอตัดภาพมามองที่ตัวเอง เธอจึงรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นบุคคลที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย
"สองอยากลองใช้ชีวิตของตัวเองดูค่ะ อยากลองลำบากหาเงินเองดูบ้าง ถึงมันจะเหนื่อยแต่สองก็ภูมิใจที่เงินนั้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง.. บอกตามตรง ตอนนี้สองสงสัยมากเลยว่าบ้านเราทำงานอะไรกันแน่ ทำไมดูไม่เดือดร้อนเรื่องเงินเลย"
"อะแฮ่ม เฮียก็เปิดอู่ซ่อมรถไง" เฮียหนึ่งกระแอมออกมาเบา ๆ อันที่จริงคนในครอบครัวก็รู้เพียงแค่ว่าเขานั้นเปิดอู่ซ่อมรถ แต่แท้จริงแล้วเป็นอู่สำหรับแต่งรถนั่นแหละ ส่วนใหญ่ก็เป็นสปอร์ตคาร์ ไม่ก็รถแข่งโดยเฉพาะ
รายได้อีกอย่างที่เขาหาได้เป็นกอบเป็นกำก็คือลงแข่งที่สนาม ไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือเถื่อนเขาก็ไม่เกี่ยง บ้างก็วางเดิมพันด้วยเงินสดหลักหลายล้าน บ้างก็เดิมพันด้วยทะเบียนรถของตัวเอง อีกทั้งยังมีธุรกิจที่เขาร่วมเป็นหุ้นส่วนกับเพื่อน ไม่อย่างนั้นมีเหรอที่เขาจะมีเงินเหลือใช้มากขนาดนี้
"มันได้เงินเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ รู้อย่างนี้สองเรียนช่างแบบเฮียดีกว่า"
"พอเลย ถ้าสองมาเรียนช่างอยู่กับเฮีย มีหวังเฮียได้ไล่กระทืบไอ้คนที่มันมาตามจีบสองจนตัวเองโดนไล่ออกแน่นอน" เฮียหนึ่งพูดขึ้นอย่างติดตลก ทำเอาพ่อและแม่ต่างก็หัวเราะไปตาม ๆ กัน
บ้านรัตนกิจโกศล
สปอร์ตคาร์สีดำคันหรูดูน่าเกรงขามแล่นเข้ามาจอดในโรงรถ วายุเหยียบคันเร่งเครื่องยนต์ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นอยู่สองสามที ก่อนจะก้าวขาลงมาจากรถยุโรปราคาราวแปดหลัก ทำเอาคนสวนและแม่บ้านถึงกับสะดุ้งตกใจไปตาม ๆ กัน
ร่างสูงโปร่งเดินเข้าไปภายในบ้านด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถึงจะมีธุรกิจหรืองานยุ่งยังไงก็ต้องหาเวลามากินข้าวกับครอบครัวอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง อันที่จริงการกลับมากินข้าวกับพ่อแม่นั้นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เพราะทุกครั้งที่เขากลับมาพ่อและแม่ก็มักจะพูดเรื่องดูตัวกับแต่งงานอยู่เสมอ
บรรยากาศภายในห้องอาหารเต็มไปด้วยความอึมครึม มีเพียงคุณหญิงทอฝันเท่านั้นที่นั่งยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะลูกชายฝาแฝดทั้งสองกลับมานั่งกินข้าวด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
"อีกสองปีพวกแกก็จะอายุสามสิบกันแล้ว คิดจะมีหลานให้พ่ออุ้มตอนอายุเท่าไหร่กัน" ปิติภัทร ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวและพ่อของสองแฝดเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ตอนนี้ วายุและเหมันต์ ลูกชายทั้งสองของเขาก็เรียนจบมาตั้งนานแล้ว
แต่ยังไม่มีใครเลยสักคนที่จะพาแฟนหรือผู้หญิงเข้ามาแนะนำให้เขารู้จัก ในเมื่อลูกชายทั้งสองมันไม่ยอมหาเมียสักที พ่อคนนี้แหละที่จะเป็นคนหาให้
"ผมยังไม่พร้อมครับพ่อ ตอนนี้ธุรกิจไวน์ก็กำลังไปได้ดี ผมยังอยากโฟกัสกับงานก่อน" ลมหนาว หรือ เหมันต์ รัตนกิจโกศล น้องชายฝาแฝดของวายุเอ่ยตอบผู้เป็นบิดาอย่างฉะฉาน เขาเป็นคนจริงจังกับทุกสิ่งที่ทำ รวมถึงความสามารถในการเข้าสังคมเป็นเลิศ ทำให้ไม่ว่าจะพูดอะไรออกมา ก็ล้วนแต่น่าฟัง และสามารถโน้มน้าวใจคนฟังได้อีกด้วย
"แล้วแกล่ะเจ้าเหนือ" ปิติภัทรหันกลับไปถามลูกชายอีกคนที่นั่งกินข้าวอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
"ผมก็เหมือนกัน ยังไม่พร้อมครับ" วายุตอบกลับเพียงสั้น ๆ ทำเอาผู้เป็นพ่อถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
เขามีลูกชายเพียงแค่สองคนเท่านั้น หลังจากสองแฝดอายุสิบสองขวบ เขาก็ไม่เคยถูกอ้อนอีกเลย อีกทั้งเมื่อโตมาพวกมันยังไม่คิดหาเมียทั้งคู่ รู้อย่างนี้เขาน่าจะมีลูกสาวอีกสักคน แล้วยกมรดกทั้งหมดให้กับลูกสาวซะเลย!
"หนูม่านฟ้าไง ที่ลูกเคยคบกับเธอเมื่อตอนเรียนมัธยม ตอนนี้เธอเป็นดาราดังแล้ว แถมสวยกว่าเดิมอีกด้วย เมื่อหลายวันก่อนเธอก็มาหาแม่ที่บ้านแต่เสียดายที่วันนั้นไม่ใช่วันที่ลูกจะกลับมากินข้าว วันนี้แม่เลยนัดเธอมากินข้าวพร้อมกับเรา เผื่อลูกจะได้คืนดีกับเธอ" คุณหญิงทอฝันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เธอรู้เพียงแค่ว่าม่านฟ้าเป็นผู้หญิงที่ลมเหนือลูกชายของเธอรักมาก และคบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมยันมหาลัย
แต่ว่าทั้งคู่เลิกรากันไปด้วยเหตุผลอะไรนั้นเธอเองก็ไม่รู้ แต่ในเมื่อเวลามันผ่านมานานขนาดนี้แล้ว บางทีถ่านไฟเก่าอาจจะติดง่ายกว่าการบังคับให้ลูกไปดูตัวก็ได้ เธอคิดอย่างนั้น
"อ้าวนั่นไงมาพอดีเลย หนูม่านฟ้าจ๊ะ มาเร็วลูก ลมเหนือกับลมหนาวก็เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง" คุณหญิงทอฝันกวักไม้กวักมือเรียกว่าที่ลูกสะใภ้คนโตของตนให้มานั่งร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกัน
"ผมกลับล่ะ" วายุพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์พลางดันเก้าอี้ลุกขึ้นในทันที แต่ทว่ากลับต้องชะงักเพราะคำพูดของผู้เป็นพ่อ
"นั่งลง อย่าทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าแขกของแม่"
วายุจำใจต้องนั่งลงอีกครั้งแม้จะรู้สึกอารมณ์เสียก็ตาม บอกตามตรงว่าเขาไม่อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้แม้แต่วินาทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าแม่ของเขาจะชอบเธอเสียเหลือเกินปกติท่านอาจจะเปรยถึงอยู่บ่อย ๆ แต่นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่ชวนเธอมาร่วมทานอาหารพร้อมกับเขาแบบนี้
วิลล่าหรูสองชั้นสไตล์โมเดิร์นที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและวิวธรรมชาติ มีผู้เป็นเจ้าของคือ วายุ รัตนกิจโกศล และ ภรรยาอย่างคุณ อภิชญา รัตนโกศล ซึ่งเป็นตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของภาคเหนือ"หล่อจังเลยเว้ยลูกพ่อ เมฆค้าบหมุดค้าบเรียกพ่อหน่อยเร็ว พ่อ ดูปากพ่อแล้วพูดตามนะ พ่อ!" วายุที่เพิ่งกลับจากการประชุมแวะมาเติมพลังใจด้วยการเล่นกับลูกชายฝาแฝดทั้งสองของเขาอภิชญาที่เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่นั่งขำ กับภาพที่เห็น ลูกของเธอเพิ่งจะเกิดมาได้แค่เดือนเดียวเอง แต่คนเป็นพ่ออยากจะให้ลูกพูดซะแล้ว เดี๋ยวเธอจะจับตาดูเอาไว้เลย ถ้าวันหนึ่งลูกอยู่ในวัยช่างจ้อแล้วเขามาบ่นกับเธอว่าลูกพูดมาก เธอจะตีให้แขนเป็นรอยนิ้วเลย"เฮีย..ลูกยังพูดไม่ได้นะคะ"ตั้งแต่เหนือเมฆ กับ เหนือสมุทรคลอดออกมา ที่บ้านหลังนี้ก็ไม่เคยเงียบเหงาอีกต่อไป เรียกได้ว่าหัวกระไดไม่เคยแห้งเลยก็ว่าได้ เมื่อวันก่อนย่าทวดกับปู่ทวดก็เพิ่งกลับไปกรุงเทพ หลังจากมาปักหลักอยู่ที่นี่เกือบสองอาทิตย์ ขนาดคนที่อยู่ไกลยังขยันบินมาหาเหลนขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ใกล้ อย่างคุณปู่คุณย่า แล้วก็คุณตาคุณยายเลย รายนั้นมาแทบจะทุกวัน ทางด้านเพื่อนพ่อและเพื่อนแม่เองก็ไม
ดวงอาทิตย์สีทองอร่ามค่อยๆ ลับขอบฟ้า ทิ้งร่องรอยสีส้มอมชมพูไว้บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ขณะที่เสียงคลื่นซัดสาดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บนชายหาดที่เงียบสงบ วายุและอภิชญาเดินเคียงคู่กันไปตามแนวทรายขาวละเอียด เท้าเปล่าของพวกเขาจมลงในทรายนุ่มราวกับกำลังเดินอยู่บนปุยนุ่นสายลมเย็นพัดโชยมาแผ่วเบา พัดพาเอาความสดชื่นมาด้วย วายุสูดลมหายใจเข้าเสียจนเต็มปอดก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา มันเป็นความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาก้มลงมองผู้หญิงตัวเล็กที่เดินอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าของเธอเปื้อนรอยยิ้ม สดใสราวกับดวงอาทิตย์"สวยจังเลย" เขาเอ่ยขึ้นอย่างเผลอตัว ขณะนั้นเองนับสองก็หันมามองเขาด้วยแววตาแปลกใจ"อะไรสวยคะ""วิวตรงนี้ไง..วิวว่าสวยแล้ว แต่เมียเฮียสวยกว่าอีก" เขาตอบกลับด้วยสีหน้าระรื่นไม่สะทกสะท้าน แถมยังขโมยหอมกอดคนตัวเล็กเสียฟอดใหญ่ ทำเอาอภิชญาหน้าแดงขึ้นมาทันที เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ เพื่อแก้เขินรู้สึกว่าเขาจะปากหวานกว่าปกติอีกนะเนี่ย..ทั้งคู่เดินเล่นต่อไปเงียบ ๆ มีเพียงเสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาชายฟังคอยบรรเลงให้ฟังตลอดทั้งทาง เวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับผู้หญิงที่เขารักนั้น มันช่า
หลังจากที่วายุออกจากโรงพยาบาลเขาก็มีเรื่องที่ต้องเคลียร์ให้เด็ดขาดซึ่งนั่นก็คือเรื่องของน้ำหวาน เขานัดเธอออกมาคุยที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยที่ให้นับสองนั่งอยู่โต๊ะด้านหลังใกล้ ๆ กัน"หวานคุณมีอะไรจะสารภาพมั้ย" วายุถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา บอกตามตรงว่าหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเขาก็มองว่าน้ำหวานเป็นคนดีที่น่าสงสารเหมือนสมัยก่อนไม่ได้อีก เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างอะไรกับงูพิษเลยสักนิด"เฮียพูดเรื่องอะไรคะ" น้ำหวานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ถ้ายอมรับตั้งแต่ตอนนี้ผมจะยอมยกโทษให้ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างผมก็ยังคงช่วย" "เฮียพูดเรื่องอะไรคะหวานไม่เข้าใจ" เธอยังคงยืนยันว่าตนเองไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น วายุที่ทนดูการแสดงต่อไปอีกไม่ไหวจึงได้พูดเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม"คุณบอกว่าคุณท้องได้ห้าเดือนแล้วใช่มั้ย แต่ตอนที่เราไปอัลตราซาวด์ ผลตรวจอายุครรภ์ของคุณมันเพิ่งจะสี่เดือนเองด้วยซ้ำ" วายุพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกชวนให้เสียวสันหลัง"ไหนเฮียบอกว่าเชื่อหวานไงคะ ฮึก.." เมื่อไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง เธอจึงร้องไห้ออกมา เพราะมันเป็นสิ่งที่ได้ผลมาโดยตลอด แต่ทว่าคราวนี้มันกลับไม่เป็นอย่า
"ลูกของผมมีคนเดียวก็คือลูกที่เกิดจากผมกับสองเท่านั้น ส่วนคนอื่นผมพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ลูกของผมแน่นอน และผมก็ป้องกันตลอดด้วย อีกอย่างวันสุดท้ายที่เจอกับน้ำหวานผมตั้งใจจะไปตัดความสัมพันธ์กับเธอก่อนที่ผมจะมาง้อสองอีก ไม่มีทางเป็นลูกผมแน่นอน พ่อครับแม่ครับผมควรทำยังไงดี ผมขาดใจตายแน่ ๆ ถ้าสองหอบลูกหนีผมไป"สองสามีภรรยาได้ยินดังนั้นก็ถึงกับกุมขมับ ทำไมเขาถึงได้ทำอะไรไม่ปรึกษาใครเลยสักนิด อันที่จริงหากเขาเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหนูนับสองตรง ๆ แทนที่จะโกหกกันเพื่อให้เธอสบายใจ เรื่องมันคงไม่บานปลายถึงขนาดนี้"ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แกไปอธิบายกับหนูนับสองเองก็แล้วกัน" ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นพลางใช้นิ้วมือนวดขมับตนเองเบา ๆ บอกตามตรงเขาก็เคืองนิดหน่อยที่พี่ชายของหนูนับสองกระทืบลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาซะน่วมแต่ถ้ามองในมุมของพี่ชายที่มีน้องสาว สิ่งที่หนูนับสองเจอนับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และสิ่งที่เจ้าเหนือทำมันเหมือนเป็นการหยามหน้าคนเป็นพ่อและพี่ชาย เขาจึงไม่คิดที่จะเอาความกับบ้านของหนูนับสอง เพราะเขาเองก็เข้าใจดีว่า ลูกใคร ใครก็รัก"เจ้าชู้นักก็แบบนี้แหละแม่ไม่ช่วยหรอก ทำตัวเองทั้งนั้น" คุณหญิงทอฝันเอ่ย
สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงราวกับฟ้ารั่ว ตั้งแต่เที่ยงคืนมาจนถึงตีสอง ความเย็นยะเยือกราวกับใบมีดกรีดผ่านร่างกายของคนที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านของอภิชญาตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาวายุยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน แม้ว่าร่างกายของเขาหนาวเหน็บจนตัวสั่นเทิ้ม แต่หัวใจของเขากลับร้อนรุ่มด้วยไฟแห่งความหวัง ว่าพ่อของนับสองจะยอมให้เขาได้พบกับเธอถ้าหากว่าเขายอมนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้า อภิชญามองลงมาจากหน้าต่างชั้นสองด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เธอพยายามทำใจแข็ง ปิดผ้าม่านลงและข่มตานอนให้หลับ แต่ภาพของเฮียเหนือที่นั่งตากฝนอยู่หน้าบ้านยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอเวลาล่วงเลยไปจนถึงตีสาม หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอแง้มม่านออกมาดูและพบว่าเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม โชคดีที่ดูเหมือนว่าฝนจะซาลงแล้ว และความอดทนของเธอก็สิ้นสุดลงแล้วเหมือนกัน! อภิชญาไม่สามารถทนดูเขาฝืนทนอยู่แบบนี้ต่อไปได้อีก ถ้าเขายังดื้อดึงอยู่แบบนี้ มีหวังเขาได้ตายอยู่หน้าบ้านเธออย่างแน่นอน นับสองหยิบร่มและเดินลงมาหาเขาในตอนตีสาม ร่างกายของวายุสั่นเทิ้มด้วยความหนาว รอยฟกช้ำตามตัวตอนนี้ม่วงจนเห็นได้ชัด หญิงสาวที่เห็นแบบนั
อภิชญาลืมตาตื่นขึ้นมาที่เตียงของตนเองในตอนเย็น โดยที่ด้านข้างมีเฮียหนึ่งคอยนั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลา เธอเป็นลมไปเพราะเจอกับเรื่องสะเทือนใจ บวกกับอาการอ่อนเพลียจากการพักผ่อนน้อย"หนู..ตื่นแล้วเหรอเป็นยังไงบ้างครับรู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย" เฮียหนึ่งเอ่ยถามอาการของนับสองด้วยความเป็นห่วง ฝ่ามือหนาแตะลงบนหน้าผากมนเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้มีไข้"ค่ะ.. หนูแค่เพลีย ๆ พักสักหน่อยเดี๋ยวก็คงหาย" อภิชญาตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เธอไม่เข้าใจเจตนาของผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด ว่าที่คอยส่งรูปนั่นรูปนี่มาให้เพราะต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นกับเธอก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แม้กระทั่งหน้าตาก็ยังไม่เคยเห็น ถ้าว่ากันตามตรงตัวเธอเองนั้นไม่มีทางที่จะเป็นเมียน้อยของเฮียเหนือได้ เพราะเธอคือคนที่เขาพาไปเปิดตัวกับที่บ้าน ถ้าทั้งหมดนี่เป็นแค่การกลั่นแกล้งหรือเรื่องเข้าใจผิดล่ะ..การที่เธอหนีเขาออกมาเลยแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือเปล่าอย่างน้อยเธอก็ควรฟังเหตุผลจากปากของเฮียเหนือ ก่อนจะตัดสินใจทำอะไร..แต่วันนั้นเขาก็ควรจะพูดความจริงสิ เรื่องที่เขาโกหกเธอมันยังคงไม่เปลี่ยนไป เลิกหาข้ออ้างมาเข้าข้างคนเลวคนนั้นได้แล้ว อภิ