“ขอรับ! บ่าวขอหาที่จอดรถม้าก่อน” คนรถลุกลี้ลุกลนรับคำ ดึงสายบังเหียน ฟาดแส้ลงม้าบังคับเข้าไปจอดหน้าร้านขายผ้า เพื่อจะลงไปซื้อกระโถนในตลาดให้ผู้เป็นนาย
อาการเวียนหัว มวนท้องอาเจียนเกิดจากอาการแพ้ท้องที่มีมากกว่าปกติ รวมกับสภาวะจิตใจที่กดดัน ต้องนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกับจิ้นฝาน และเจอเรื่องราวกระตุ้นความรู้สึกก่อนหน้านั้นที่โรงเตี๊ยม จึงส่งผลให้ร่างกายของนางแปรปรวนเช่นนี้
ส่วนจิ้นฝานที่นั่งกอดอกมาตลอดทางชำเลืองมองไป๋ซิงหนี่ว์ที่นั่งก้มหน้าเอาผ้าเช็ดปิดปากอย่างรำคาญใจ
ไม่รู้ว่าครานี้น้องสาวของสหายเขาเป็นอะไรไปอีก ครั้งที่แล้วก็ทำให้ไป๋มี่อิงจมน้ำเกือบตาย เหตุไฉนถึงเป็นสตรีที่ชอบเรียกร้องความสนใจไม่หยุดไม่หย่อน
ไป๋จิวเซียนนั่งนิ่งพลันก็เอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศขมุกขมัวของบุคคลทั้งสองภายในรถ
“เป็นอันใดหรือ คุณหนูรอง”
“ข้าเมารถม้าเพียงเล็กน้อย อาหารก่อนหน้าที่เพิ่งกินเข้าไปคล้ายจะออกมา” ข้าตอบเขา
จิ้นฝานที่ได้ยินคำตอบของนางมุ่นคิ้วเข้า ชำเลืองสายตาไปมองเล็กน้อย และก็ละความสนใจจากนางไปมองทางอื่นต่อ
จากนั้นไม่นานคนรถก็กลับมาพร้อมกับกระโถนใบน้อย ก่อนจะยื่นส่งไปให้ไป๋ซิงหนี่ว์ด้านในรถม้า
ข้ารับกระโถนมา กำมันเอาไว้แน่นในมือ กลืนน้ำลายลงคอรอบที่สอง แล้วอาหารก็ตีพุ่งขึ้นมาทางปากทันที
ภาพลักษณ์ใดๆ ที่เคยรักษา ยามนี้ปลดระวางลง โก่งคออ้าปากเอาอาหารที่กินไปก่อนนั้นออกมาจนหมดท้อง
“เอ่อ...แวะโรงหมอก่อนดีไหม” จิวเซียนที่ได้ยินและสูดดมกลิ่นเหม็นเปรี้ยวแปลกๆ จึงเอ่ยทัก
“ข้าดีขึ้นมากแล้ว...ขอบใจที่ท่านเป็นหะ...” ปึง!! ข้ายังกล่าวไม่ทันจบก็มีเสียงเปิดรถม้า ตามมาด้วยเสียงปิดประตูดังขึ้นขัดจังหวะการพูด
ข้าจึงช้อนสายตาขึ้นไปมองที่นั่งอันว่างเปล่า ไร้ร่างบุรุษโฉดผู้นั้น
แค่นี้ทำเป็นทนไม่ได้ ข้าต้องอาเจียนเช่นนี้เป็นเพราะใครกัน! ข้าเอ่ยขึ้นในใจอย่างนึกโมโห
จิ้นฝานย้ายที่ออกมานั่งด้านข้างคนรถ ถ้าจะให้เขานั่งสูดดมกลิ่นเสียของไป๋ซิงหนี่ว์ตลอดทางก็คงจะไม่ไหว
การเดินทางแสนอึดอัดได้จบลง ข้าเดินลงจากรถม้าเรียกให้บ่าวพาไป๋จิวเซียนกลับเรือน ส่วนตนเองก็เดินออกมาโดยไม่คิดจะร่ำลาคุณชายจิ้น หรือหันไปมองเขาแม้แต่หน่อย
จิ้นฝานกอดอกหรี่ตามองไป๋ซิงหนี่ว์เดินเชิดเข้าประตูไป ไม่คิดจะกล่าวขอบคุณเขาแม้แต่น้อย
เขาเลื่อนหน้ากลับมามองไปทางถนนเบื้องหน้า และส่ายหน้าไปมาเบาๆ
หนึ่งเดือนถัดมา
วันนี้เป็นประเพณีล่าสัตว์ที่เกาะเหวินเฉิง ข้าตื่นตั้งแต่ยามเหมา เลือกชุดอยู่นานสองนาน
ถึงแม้ว่าท้องจะไม่ได้ใหญ่มากจนมองออก แต่ก็ควรป้องกันสายตาสาดส่องจับผิดของผู้คนไว้ก่อน
คล้ายเหมือนจะคิดมากไปเองที่ระแวงเกินเหตุ ข้าจะเอ่ยอันใดให้ฟัง
‘บัณฑิตที่ว่าฉลาด แต่กลับถูกตำหนิเรื่องหน้าตาและวิธีการพูด’ ความหมายที่สื่อถึงอยู่ในประโยคนั้นทั้งหมด
“เจ้าหนู ถ้าแม่ใส่ชุดนี้เจ้าจะอึดอัดไหมน้าา…” ข้าก้มไปกล่าวกับลูก
นานวันเข้าก็เริ่มทำใจยอมรับ ขบคิดตามคำกล่าวของเจี่ยเจีย ว่าต้องเรียนรู้จะมองปัญหาให้กระจ่าง
อีกทั้งหากมามัวนั่งทุกข์ใจ เจ้าหนูนี่ในท้องอาจจะเป็นอันตรายเอาได้
ข้าเลือกหยิบเสื้อแขนยาวสีขาวใส่ไว้ด้านใน และเลือกหยิบกระโปรงที่พองมากเป็นพิเศษสวมทับอีกรอบ
กระโปรงสีเขียวอ่อนนี้จะสวมขึ้นเหนือหน้าอกและมีเข็มขัดคาดรัดเอาไว้อีกที จึงไม่มีปัญหาว่าเจ้าหนูจะอึดอัด
ข้าหมุนกายหน้ากระจกทองเหลือง หันข้างมองท้องตนเองที่ถูกอำพรางไปกับชุด นับว่าพอใจยิ่งนัก
“ลูกพร้อมหรือยัง” ข้ายกแขนขึ้นลูบท้อง พร้อมเอ่ยกับเขา และผ่อนลมหายใจออกมา
การแสดงออกเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นการหลอกตนเองหรือเปล่า แต่ถึงกระนั้นช่วงหนึ่งเดือนมานี้ก็ไม่ได้สะดุ้งตื่นกลางดึกอีกแล้ว
เอาเถิด...ความทุกข์นี้ใช่ว่าจะอยู่กับข้าตลอดไป คิดเสียว่ามันแค่ช่วงเวลาหนึ่ง มินานก็ผ่านพ้นไป
ส่วนเสี่ยวเมิ่งที่เก็บของใส่หีบเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ก็เดินมาเคาะประตูห้องคุณหนูรอง ก่อนจะกล่าวออกไป
“คุณหนู ข้าเก็บของเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“เสร็จแล้วรึ…เช่นนั้นมาช่วยทำผมให้ข้าที” ข้าตะโกนตอบนางกลับ
เสี่ยวเมิ่งผลักประตูเข้าไปในห้อง มองหญิงสาวที่แต่งกายสวยงาม ประทินโฉมดวงหน้าออกมาดูอิ่มเอิบราวกับคนมีความสุขดี จึงเอ่ยทักตามประสาคนช่างจ้อ
“วันนี้คุณหนูแต่งกายสวยงามมากนัก”
“ช่างกล่าววาจาประจบยิ่งนัก...รีบมาทำผม” ข้ากล่าวเลียนแบบนาง ก่อนจะเร่งรัดให้รีบเดินเข้ามา
เสี่ยวเมิ่งเริ่มคุ้นชินกับนิสัยของคุณหนูรอง ต่อหน้าไป๋มี่อิง ไป๋ซิงหนี่ว์จะมีนิสัยขี้อ้อนเอาแต่ใจนิดๆ หน่อยๆ แต่พอมาอยู่กับบ่าวก็จะเถรตรง คิดเช่นไรก็กล่าวออกไปเช่นนั้นเลย
นางติดออกไปทางสตรีมากความปากจัดอยู่เล็กน้อย อีกทั้งชอบแสร้งวางท่าต่อหน้าผู้คน เจ้าแผนการแบบเด็กสาว แตกต่างจากไป๋มี่อิง พี่สาวต่างมารดา ที่เจ้าแผนการแบบจอมบงการผู้อื่น แต่ถึงกระนั้นความร้ายกาจของนางใช่ว่าจะเหมือนมดกัดเสียที่ไหน
“ปากเขายังเล็ก เมื่อโตขึ้นมาหน่อยสองเดือนสามเดือนได้ เขาก็จับดูดถึงลานนม...แต่จะว่าไปแล้วนั้นเหมือนตอนที่เสี่ยวฝานดื่มนมข้าไม่มีผิด” ฮูหยินหม่านกล่าวขึ้น ทำสีน่าปลื้มปริ่มมองเอ้อเหอเสี่ยงพอสิ้นคำกล่าวของท่านแม่ ในหัวก็แล่นภาพดวงหน้าคุณชายจิ้นซ้อนทับกับลูกขึ้นมาทันที ข้าอุตส่าห์ลืมไปแล้วเพราะความเจ็บ ไฉนความคิดนี้ถึงวกกลับมาได้อีกกันเมื่อสลัดภาพคุณชายจิ้นออกจากหัว ภาพอาเอ้อยามขยับปากดูดนมกลับทำให้ข้ามีความสุขถึงแม้ว่าจะเจ็บจนร้องไห้ก็ตามทีกินเก่งเช่นนี้ต้องเหลือให้น้องอีกสองคนด้วยรู้หรือไม่ ข้าเอ่ยกับเขาในใจ แล้วเหลือบตาไปมองอาลิ่ว อาปา ที่กำลังร้องไห้อยู่ ดูท่าหนทางให้นมลูกวันนี้ยังอีกยาวไกลนัก…เรือนซิ่วของจิ้นฝานด้านข้างจะมีต้นไม้ใหญ่ ถ้ายืนใต้ต้นไม้นั้นจะมองทะลุหน้าต่างเรือนเข้าไปด้านในเป็นห้องนอน และมองเห็นจิ้นฝานที่กำลังผลัดเปลี่ยนมาสวมเป็นชุดขุนนางในยามนี้ ขยับปากกล่าวกับสวี่เจียวไปด้วย ไม่รู้ว่าเขากล่าวอะไรออกมาถึงทำให้สวี่เจียวตกใจอยู่ไม่น้อยนํ้าเสียงของคนทั้งสองเบาราวกับสายลม แต่เนื้อหาของบทสนทนาน่าจะดูตกใจอยู่มาก จนทำให้สวี่เจียวที่ยืนถือเสื้อคลุมนั้นถึงกับมือไม้อ่อนทำเส
พลันเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้อง เสียงหยอกล้อผสมกับเสียงร้องไห้ก็ดังกระทบเข้ามาที่หูจากห้องด้านข้าง ตอนแรกที่ได้ยินก็ไม่คิดว่าจะดังถึงขั้นแสบหูเช่นนี้ “คุณชายน้อยลิ่วร้องโยเยไม่หยุดเลยเจ้าค่ะ” เสียงที่ดังลอดออกมาคือแม่นางเฉินข้าจึงผลักประตูเข้าไปในห้องเห็นคุณชายจิ้นนั่งนิ่งยกนํ้าชาขึ้นจิบอย่างสงบ ปรายตามองมาทางข้า ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาท่านแม่กล่อมเด็กอ่อนใบหน้าที่เหมือนกับคุณชายจิ้น ฮูหยินเฒ่ามีสีหน้าตระหนกไม่ต่างกัน อุ้มเด็กน้อยที่มีใบหน้าเหมือนคุณชายจิ้น แม่นางเฉินหางตาตก สีหน้าอมทุกข์ อุ้มเด็กหน้าเหมือนคุณชายจิ้นคุณชายจิ้นหนึ่ง คุณชายจิ้นสอง คุณชายจิ้นสาม คุณชายจิ้นสี่ บ้าจริง! บุตรชายแฝดสามคนได้พ่อของเขามาทั้งหมดราวกับคุณชายจิ้นแยกร่าง และย่อส่วนลงให้ตัวเล็กลงขนาดกะทัดรัด“หนี่ว์เอ๋อร์ตื่นแล้วหรือ พวกเขากำลังหิวนมพอดีเลย” ฮูหยินหม่านกล่าว ก่อนหน้านี้ก็ให้แม่นมป้อนไปแล้ว กินจุบจับไปห้าหกทีก็ไม่ยอมกินอีก“เห็นตัวเล็กหน้าซื่อๆ แต่กลับเลือกกินตั้งแต่เด็ก” ฮูหยินเฒ่ากล่าวบ่น ใช้นิ้วเขี่ยลงไปที่หน้าผากปาเหอเสี่ยง หรือเจ้าแปดที่ร้องไห้ลั่นในอ้อมแขนของนาง“เหมือนพ่อเขา
“ดูเล็กไปหมดเลยขอรับ จมูก ปาก หู” จิ้นฝานกล่าวไปตามที่เห็น ภาพน้องสาวน้องชายของเขาที่เคยอุ้มยามเด็กเลือนรางไปตามกาลเวลา พอมาวันนี้ความรู้สึกนั้นก็ย้อนกลับมาอีกครั้งมันหอมหวานไปด้วยความสุขความยินดีอยู่ด้านในอกของเขาคล้ายจะล้นทะลักออกมาข้างนอก“อาฝาน เจ้าต้องเป็นนักคัดลอกฝีมือดีเป็นแน่” ฮูหยินเฒ่ากล่าวเย้า“ทำไมหรือเจ้าคะ” ฮูหยินหม่านเอ่ยถามอย่างสงสัยในคำกล่าวนั้น“เจ้าดูเสีย ราวกับเอาหน้าอาฝานมาแปะไว้” ฮูหยินเฒ่ากล่าว หลุบตาลงมองเหลนชายที่อุ้มเอาไว้“ฮ่าๆ” ฮูหยินหม่านได้ยินก็ลั่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ หันไปลูบหัวบุตรชายพร้อมกับกล่าวไปด้วยว่า“สงสัยว่าตอนทำ เจ้าคงจะขยันปั้นน่าดู”จิ้นฝานที่ได้ยินก็หลุบตาลงมองเอ้อเหอเสี่ยง คืนนั้นมันบางเบาราวกับหมอก พร่ามัวอยู่ในความทรงจำ ครุ่นคิดเท่าไรก็ครุ่นคิดไม่ออก ส่วนไหนของคุณหนูรองหน้าตาเป็นแบบไหนเขาเองก็จำไม่ได้ พอตื่นขึ้นมาก็รู้เพียงแค่ว่าปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว ยิ่งช่วงเอวมิต้องกล่าวถึงเมื่อแวะหามาลูกแล้วนั้นก็ถึงคราไปหาแม่ของลูกชายที่ห้องนอนใหญ่ด้านข้าง เขานั่งลงบนเตียงลูบหัวฮูหยินน้อยที่นอนหลับอย่างเบามืออยู่เนิ่นนาน…สัมผัสเบาๆ ที่หัว
“ฮึ เวลาผ่านไปเร็วนัก ยามนั้นท่านยังเป็นเด็กหนุ่ม มาบัดนี้เติบโต ดูทระนง และสง่าสมฐานะเสนาบดีฝ่ายขวาในอนาคตอย่างยิ่ง” เสนาบดีจางกล่าว สายตามองลึกเข้าไปในดวงตาดุดันของชายหนุ่มที่ยืนเบื้องหน้า“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น” จิ้นฝานตอบเสียงนิ่ง หน้านิ่งกวาดตามองเหล่าฮูหยินของเสนาบดีจางที่นั่งตัวสั่นภายในห้องนับผ่านทางสายตาขุนนางเฒ่าผู้นี้มีภรรยาสิบคน แต่กลับมีบุตรเพียงไม่กี่คนเท่านั้น บุตรชายห้าคน บุตรสาวคนเล็กอีกหนึ่งคนที่ยังไม่แต่งออกไป“ข้าขอสนทนากับท่านในฐานะที่เคยเป็นเจ้านายกับลูกน้องกันมาหลายปีหน่อยเถิด ไท่จื่อจะลงโทษตัดสินตระกูลจางถึงโทษขั้นไหน” เสนาบดีจางถามเสียงอ่อน ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหมดหวัง“โทษประหารเก้าชั่วโคตร โทษของผู้ที่คิดคดก่อกบฏไม่มีผ่อนปรน” จิ้นฝานตอบตามตรง หลุบตาลงมองชายชราที่นั่งมือสั่น วางกับพนักแขน“แต่พวกนาง และพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าจะรับโทษไว้ทั้งหมด” เสนาบดีจางที่นั่งก้มหน้าลงเอ่ยขึ้น“ท่านเป็นถึงเสนาบดี คงจะทราบดีว่าโทษนี้ไม่อาจเลือกปฏิบัติได้ เมื่อทำผิดใหญ่หลวง ย่อมต้องรับผิดชอบทั้งหมดร่วมกัน” จิ้นฝานตอบเสียงนิ่ง“คุณชายจิ้น...” เสนาบดีจางเงยหน้าขึ้นสบดวงต
จิ้นฝานมองมือของนางที่ยกค้างกลางอากาศแล้วยิ้มออกมา ก่อนจะหลับตาลงและขยับหน้าไปแนบกับฝ่ามือของนางอย่างช้าๆ นิ่งค้างสักพัก แล้วดึงหน้ากลับมาลืมตาช้าๆ มองภาพสะท้อนตัวเองบนดวงตาคู่หวานของนาง“เจอกันวันพรุ่ง” จิ้นฝานกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้าย หมุนกายกลับหลังแล้ววิ่งออกไปอย่างรีบร้อนข้ายืนนิ่ง และสูดลมเข้าจมูก เมื่อครู่นี้...เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น สัมผัสนั้นราวกับความฝันเสี่ยวเมิ่งยืนมองฮูหยินน้อยที่ยืนอึ้งไปครู่หนึ่ง นางจึงส่ายหน้าเบาๆ ในท่าทีของนายท่าน จะไม่ให้ฮูหยินตกใจได้อย่างไร อยู่ๆ ก็ใช้ข้ออ้างมาขอเบี้ย เพื่อมาลาภรรยาก่อนจะออกไปทำงานใหญ่ ยังมิวายหยอดสาวงามหนึ่งที แล้วรีบวิ่งหนีไปเสียดื้อๆ ลูกเล่นเขานับว่าแพรวพราวขึ้นทุกวัน“เสี่ยวเมิ่ง เจ้าเห็นเหมือนที่ข้าเห็นหรือไม่...” ข้าเอ่ยเสียงขาดหายหันหลังกลับไปถามนางด้านหลัง“นายท่านตั้งใจจะแวะมาลาฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งกล่าวไปตามตรง“เขาต้องเพี้ยนไปเป็นแน่” ข้าเอ่ย เอามือที่สัมผัสหน้าคุณชายจิ้นก่อนหน้านี้มากุมเอาไว้ แล้วเดินเข้าเรือนไปตอนนี้คล้ายกับว่าในหัวใจเหมือนมีกลีบบุปผาเบ่งบานอยู่เต็มไปหมด จะให้บรรยายออกมานั้นข้าเองก็ไม่อาจเข
๑๑ฝูงลิงเมื่อดอกเหมยโรยราร่วงหล่นลงพื้นจนหมดต้นแล้วนั้น มันก็เริ่มผลิใบอ่อนขึ้นมาใหม่มีสีเขียวเต็มต้น จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงผลัดใบออก บ่งบอกถึงฤดูกาลที่เปลี่ยนไปอีกหนึ่งฤดู ยามนี้ข้านั่งเล่นตรงระเบียง เอนตัวพิงหมอนด้านข้าง นั่งดูสีใบไม้ในสวนผ่านแสงจันทร์สีนวลในคืนนี้ท้องของข้าขยายใหญ่มาก ไม่ใช่มากธรรมดา มันใหญ่มากของมาก มิใช่แฝดสองที่คิดเอาไว้ ท่านหมอกล่าวบอกว่าน่าจะแฝดสามหรือไม่ก็แฝดสี่ได้ ถ้าดูจากขนาดท้องนี้ก่อนหน้านี้สองเดือนเกือบสามเดือนได้ คุณชายจิ้นมาขอยุติข้อตกลงไว้ชั่วคราวก่อน เพราะเขาติดทำภารกิจ ต้องกลับเรือนดึกดื่นเกือบเช้าทุกวัน จึงไม่อยากเข้ามากวนข้ากับลูกยามดึกข้าเองก็ไม่ติดใจอันใด เพราะรู้ว่าเขานั้นกำลังยุ่งวุ่นวายกับเรื่องในวังหลวง จึงกลายเป็นว่าเห็นหน้าเขาไม่เกินสิบครั้งได้กระมังที่ผ่านมา แต่ละครั้งที่เจอก็ตอนมาขอเบี้ยรายเดือนของเขา เดือนไหนเบี้ยหมดไวก็อาจจะเจอสองครั้งสามครั้งต่อเดือน ไม่รู้ว่าเอาเบี้ยไปเททิ้งหรืออย่างไร หมดเร็วยิ่งนักส่วนเจ้าโซว่ก็ตัวโตขึ้น มันเป็นพันธุ์ผสมหมาป่า รูปร่างจึงใหญ่กว่าสุนัขบ้าน มีเรียวขาที่ยาวตัวสูงปราดเปรียวสีขาวฟูฟ่อง แต่กลับมีนิสัย