Share

๑ เผชิญดาวร้าย / 1

Author: LIttlelion
last update Last Updated: 2025-06-07 21:48:01

๑  เผชิญดาวร้าย 

         ประเพณีล่าสัตว์รัชศกโหยวเหยียนที่ฉือเอ้อ จัดขึ้นที่เกาะเหวินเฉิงได้เริ่มขึ้น ณ บัดนี้

ท่าเรือแม่น้ำฮวงมีเรือห้าลำขนาดใหญ่ยักษ์จอดเทียบท่าเอาไว้อยู่ ตระกูลไป๋ ได้แก่ ไป๋มี่อิง ไป๋ซิงหนี่ว์ และฮูหยินทั้งสอง เดินทางโดยเรือของไท่จื่อ สหายคนสนิทของไป๋มี่อิง ไปยังเกาะเหวินเฉิงเพื่อเข้าร่วมประเพณีล่าสัตว์ปีนี้

บัดนี้ข้ากำลังเผชิญหน้ากับความกลัวและความชังจากบุรุษที่มาจากคนเดียวกัน เบื้องหน้าเป็นเขาที่ยืนอยู่อีกฝั่งสะพานไม้ข้ามขึ้นไปบนเรือที่จะพาล่องไปยังเกาะเหวินเฉิง เขาอยู่ในอาภรณ์สีเขียวเข้ม กลืนไปกับสีผิวสองสี ดวงหน้าคมกำลังเหม่อมองไปยังด้านหลังของข้า มีเจี่ยเจียกับคุณชายเยี่ยเดินตามหลังขึ้นมา ดวงตาดุดันคู่นั้นมักจะทอดมองพี่สาวต่างมารดายามที่นางเผลอไผลหรือไม่รู้สึกตัว แต่ถ้าหากสังเกตมองดีๆ คุณชายจิ้นจะจับตาดูนางอยู่ตลอดยาม เท่าที่ข้าพอจำความได้ในตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ความรักของเขาที่มีต่อนางมากมายเพียงใดมิอาจล่วงรู้ได้ รู้เพียงว่ามันมากถึงขั้นก้าวข้ามศีลธรรมขั้นพื้นฐานในใจ ลงมือข่มเหงสตรีที่ตนเองรัก เผอิญว่าความรักของเขาดันตกมาอยู่ที่ข้า แต่สำหรับข้าคือความโชคร้าย

ข้าจมอยู่กับฝันร้ายมาเกือบสองเดือน และยังมีบางครั้งที่นอนร้องไห้ก่อนนอน มาวันนี้มีเพียงต้องลุกขึ้นมาสู้กับความกลัวของตนเอง

แผ่นหลังของข้าเหยียดตรงขณะก้าวเท้าเดินผ่านตัวเขาไป โดยไม่สนใจว่าเขาจะมีตัวตนอยู่หรือไม่ สำหรับตัวข้า เขาเป็นเพียงคนเลวไร้ค่าผู้หนึ่ง ที่เอาชนะความเลวภายในจิตใจตัวเองมิได้ ถ้ามิใช่ข้า ก็ต้องเป็นเจี่ยเจียที่ถูกเขาทำร้ายแทน

เจ้าคนบาปหนา...จะต้องทนทุกข์ให้กรรมตามสนอง ข้ากล่าวแช่งเขาขึ้นมาอีกรอบ และสะบัดหน้าเดินเข้าไปด้านใน

ยามนี้ฟ้าดับแสง มีเพียงตะเกียงและแสงเทียนถูกจุดขึ้นให้ความสว่าง ก่อนหน้านี้ได้ขึ้นไปบนเรือชั้นสอง ให้เสี่ยวเมิ่งนำข้าวของภายในหีบออกมาจัดเตรียมเอาไว้ด้านนอก เพื่อให้ใช้สอยได้ง่ายมากขึ้น

ข้าอยู่นอนกลางวัน จนลากยาวมาถึงยามเย็น ถึงจะลุกขึ้นมาอาบน้ำ แล้วลงไปทานมื้อค่ำกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โดยมีโต๊ะที่ว่างเว้นให้นั่งได้แค่โต๊ะทางขวาของบุรุษทรามผู้นั้นเท่านั้น จึงจำใจเดินเข้าไปนั่ง หันเหความสนใจทั้งหมดไปที่เวทีขนาดย่อมเบื้องหน้านี้

โดยมีพระชายาไท่จื่อนั่งดีดพิณอยู่ตรงกลาง นิ้วมืออวบสั้นกรีดตวัดไปมาบนเส้นพิณอย่างอ่อนช้อย เกิดเป็นท่วงทำนองละมุนหู

“คุณหนูรอง ยาบำรุงหลังมื้อค่ำเจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งเดินถือยาบำรุงเข้ามาให้นายหญิงของตนเองที่นั่งหลังตรง วางมือบนตักอย่างเรียบร้อย ชมการแสดงจากพระชายาอยู่

“ต้องดื่มหลังอาหารทุกมื้อเลยหรืออย่างไรกัน” ข้ากล่าวบ่น หลุบตามองถ้วยยาขนาดเท่ากำปั้นมือที่เพิ่งถูกวางลงบนโต๊ะ มีไอร้อนระเหยขึ้นมา

“ทุกมื้อเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่กำชับมา” เสี่ยวเมิ่งที่ฉีกยิ้มกว้างอยู่เอ่ยตอบ

“ยามข้าอ้าปาก กลิ่นปากที่ออกมาล้วนแต่เป็นกลิ่นยาทั้งสิ้น” ข้ากล่าวขึ้นอีก ไม่รู้ว่าเจี่ยเจียไปสรรหายาบำรุงเหล่านี้มาจากไหนกัน ดื่มทุกวี่ทุกวันก็ไม่หมดเสียที

“หึ” พลันเสียงเค้นขึ้นจมูกของจิ้นฝานที่นั่งโต๊ะด้านข้างก็ดังขึ้น สายตาทอดมองพระชายาของสหายรักอีกคนอย่างสุนทรี

แต่ทว่าหูกลับไปได้ยินเสียงสนทนาของสตรีโต๊ะด้านข้างอย่างห้ามไม่ได้ ไป๋มี่อิงเอาใจใส่น้องสาวเป็นอย่างมาก ทั้งรักทั้งเอ็นดู ดูตอนนี้ยังจัดหายาบำรุงมาให้นางกิน เหตุไฉนไป๋ซิงหนี่ว์ยังคิดไม่ซื่อและกลั่นแกล้งพี่สาวของนางได้ลงคออีก

ตลอดหลายปีมานี้ไป๋มี่อิงเป็นหัวข้อสนทนาอย่างสนุกปากของเหล่าสตรีในเมืองหลวง ถึงแม้ว่าจะงามมากเพียงใด แต่รสนิยมในการแต่งกายกลับไม่เอาไหน นางเป็นตัวตลกในงานเลี้ยงสังคมให้ผู้คนซุบซิบดูแคลนอยู่ตลอด ถึงแม้ว่านางจะยินยอมให้ไป๋ซิงหนี่ว์จับแต่งกายก็ตามที โชคดีหน่อยช่วงหลังมานี้ พอแต่งเยี่ยเปาเข้าตระกูล ก็ลดการแต่งกายแปลกๆ ลงไปได้เยอะ

ข้าเหลือบตาไปมองตามเสียงราวกับหัวเราะเยาะในคอของคุณชายจิ้น ดวงหน้าราบเรียบแต่มุมปากหนึ่งข้างถูกยกขึ้น พลันสายตาอันดุดันที่มองพระชายาเบื้องหน้าเขาก็ได้ปรายมามองข้าด้วยหางตา และชักกลับไป

ข้าเม้มปากเข้าอย่างไม่ชอบใจ เสียงฮึที่ดังขึ้นก่อนหน้านี้ราวกับว่ามันกำลังต้องการส่งสาส์นบางอย่างมาให้ เป็นเพราะว่าเมื่อครู่สนทนาเสียงดังจนไปรบกวนความสุขของเขาหรืออย่างไร

“คุณหนูเจ้าคะ...” เสี่ยวเมิ่งยกมือขึ้นป้องปาก ขยับกายเข้าไปกระซิบด้านข้าง

“ว่าอย่างไร เหตุใดต้องกล่าวเสียงเบา” ข้าละความสนใจจากคุณชายจิ้น หันไปกล่าวกับเสี่ยวเมิ่งด้วยความสงสัย

“เมื่อกลางวันมีหีบแปลกปลอมติดเข้ามาด้วยเจ้าค่ะ ข้าลืมบอกคุณหนูไป เห็นว่าท่านนอนพักกลางวันอยู่ และข้าหลงลืมไปด้วย เพิ่งจะนึกออกเมื่อครู่นี้...” เสี่ยวเมิ่งกล่าวเสียงอ่อย

“แล้วมันเป็นหีบอันใด” ข้าถามนาง

“เอ่อ...เหมือนเป็นหีบอาภรณ์ของบุรุษ แต่มิรู้ว่าเป็นของผู้ใดกันแน่” เสี่ยวเมิ่งตอบเสียงเบา

“เรื่องเล็กแค่นี้ เหตุใดถึงแก้ไขเองมิได้ ยกออกมาตามหาเจ้าของก็สิ้นเรื่อง” ข้ามุ่นคิ้วเข้า และกล่าวว่าปัญหาเล็กเท่าหัวเข็ม นางยังแก้ไขไม่ได้อีก แค่ขนมันออกมาจากห้องตามหาเจ้าของก็จบเรื่องแล้ว คนบนเรือมิใช่ร้อยสองคนเสียที่ไหนกัน

“คุณหนูรองก็รู้ว่าบ่าวโง่เขลา” เสี่ยวเมิ่งทำหน้าสลดเอ่ยเสียงเบาต่ออีก

“เฮ้อ รีบไปจัดการเสีย” ข้าไม่รู้จะว่าอันใดต่ออีก เมื่อนางยอมรับออกมาเองก็คร้านจะกล่าวดุออกไป

“มันเป็นอาภรณ์บุรุษเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวเมิ่งกล่าวท้วงขึ้นอีก ก้มหน้างุดมองอกตนเอง

“ข้าจะฟังเสียงพิณ ไฉนต้องมานั่งฟังเสียงเจ้าแทน มันแค่อาภรณ์ของบุรุษอยู่ในหีบ หาใช่อยู่บนเตียงเสียที่ไหนกัน และผู้ใดจะไปคิดถึงขั้นนั้นได้ แค่หีบมันขนมาผิดห้องก็เท่านั้น” ข้ากล่าวบ่น

“คุณหนูรอง ข้ามิกล้า ถ้าทำให้ชื่อเสียงท่านเสื่อมเสียขึ้นมาจะเป็นความผิดข้าได้ คุณหนูใหญ่อาจลงโทษ…” เสี่ยวเมิ่งกล่าวต่อ ชำเลืองตาขึ้นมองเล็กน้อย

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บางเบาดั่งสายหมอก   ๒ ความจริงที่มาพร้อมความจำใจ / 3

    ส่วนตัวข้าก็สบายตัว ทานอาหารได้คล่องคอมากขึ้น ถึงแม้จะยังมีอาการแพ้ท้องอยู่ก็ตามที หรืออาจจะเป็นเพราะคำแนะนำก่อนหน้านี้ที่ช่วยทำให้สบายใจมากขึ้นก็อาจเป็นไปได้ คำแนะนำของเขาคล้ายกับยาในรูปแบบหนึ่งเจิ้งเหรินอี้ที่นั่งฝั่งตรงข้ามเห็นสีหน้าชื่นมื่นสดใสขึ้นของคุณหนูรองไป๋ ก็ก้มหน้าลงยกจอกชาขึ้นดื่ม แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย และทอดสายตามองดูนางรำด้านหน้าต่อส่วนจิ้นฝานลุกจากที่นอน จัดอาภรณ์เข้าที่แล้วก็เดินออกจากกระโจมเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้เขาเดินไปนั่งโต๊ะด้านหน้าสุด ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างโต๊ะของเสนาบดีฝ่ายขวา และยังได้เอ่ยทักทายเสนาบดีจางออกไปสองสามประโยค“ซือจื๋อมานั่งโต๊ะเดียวกันเถิด” เสนาบดีจางเอ่ยเรียกอย่างเป็นมิตร“ขอรับ” จิ้นฝานรับคำ ลุกขึ้นไปร่วมโต๊ะและนั่งหลังตรง หลุบตามองบ่าวที่กำลังเทสุราลงจอกให้เขาเหตุใดต้องเป็นสุรา เพราะอากาศหนาวสุราจึงช่วยดับความหนาวภายในร่างกายลงได้หลายส่วน พวกเขาจึงนิยมนั่งจิบกันเรื่อยๆ ขณะล้อมวงสนทนาสายลมยามดึกพัดผ่าน ทำให้เปลวไฟในคบเพลิงวูบไหว สายลมนี้พัดเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ของสุราในมือจิ้นฝานลอยเข้าจมูกมันเป็นกลิ่นหอมที่เหม็นชวนให้ลมในท้องก่อตัวเป็นพายุ ร

  • บางเบาดั่งสายหมอก   ๒ ความจริงที่มาพร้อมความจำใจ / 2

    “ซิงหนี่ว์ เมื่อครู่คุณชายจิ้นมองทางนี้ด้วย” หลิงจูเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ เขย่าแขนเสื้อสหายเบาๆ“เหอะๆ” ข้าเพียงหัวเราะแห้งในคอ เขยิบกายหันหลังให้กับคุณชายจิ้นแทน วันนี้อากาศสดใส ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ นับว่าเป็นวันดี เช่นนั้นแล้วจำเป็นต้องมองแต่สิ่งที่สบายใจและเป็นมงคล หากเห็นของอัปมงคล วันนี้อาจจะวิบัติเอาได้ทางด้านจิ้นฝานรับสุราต้มร้อนๆ ขึ้นมาเป่าไปได้สองลม เพื่อให้ความอบอุ่นคลายหนาวยามเช้า พลันก็ย่นคิ้วเข้า ขยับจอกสุราขึ้นมาจ่อจมูก ทำสีหน้ากระอักกระอ่วน และวางลงไปบนโต๊ะตามเดิมเสนาบดีจางเห็นท่าทางไม่สู้ดีของเขาจึงเอ่ยทักออกไปด้วยความสงสัย“สุรามิถูกปากหรือซือจื๋อ”“กลิ่นมิค่อยถูกจมูกขอรับ” จิ้นฝานตอบไปตามตรง“กลิ่นก็ปกติดีนี่” เสนาบดีจางเอ่ย ยกจอกสุราขึ้นมาดม เงยหน้าขึ้นมองจิ้นฝานอย่างแปลกใจ และเอ่ยขึ้นมาใหม่“ซือจื๋อลองยกขึ้นมาดมดูใหม่เถิด ถ้ากลิ่นยังเหมือนเดิมอาจจะเป็นจอกสุราที่ล้างไม่สะอาดกระมัง จะได้ให้บ่าวมาเปลี่ยนให้ใหม่”“ขอรับ” จิ้นฝานที่คิ้วยุ่ง หลุบตาลงยกจอกสุราขึ้นมาดมเฮือกหนึ่ง ท้องไส้ก็พลันปั่นป่วนขึ้นมาเสียดื้อๆท่านเสนาบดีจางทำตาโต ตกใจมองสีหน้าดำแดงที่เปลี่ยนมาอมเขียวร

  • บางเบาดั่งสายหมอก   ๒ ความจริงที่มาพร้อมความจำใจ / 1

    ๒ความจริงที่มาพร้อมความจำใจเขาผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบาและยืดกายขึ้น ปล่อยมือของนางวางลงช้าๆ และกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น“มีอาการทุกวันไหม”“เกือบทุกวันเจ้าค่ะ” ข้าตอบอย่างเข้าใจในคำถามของเขา“มีอาการอันใดอีกนอกจากอาเจียน” เจิ้งเหรินอี้กลับมาทำสีหน้ายิ้มแย้มตามเดิมเอ่ยถามนางอีก“ไม่ค่อยอยากอาหาร ส่วนมากที่กินเข้าไปคือต้องกินอย่างหลีกเลี่ยงมิได้” ข้าตอบเสร็จก็เม้มปากเข้า มองสีหน้าเป็นมิตรของบุรุษตรงหน้า“อืม...อาการข้างเคียงช่วงนี้ท่านมีเรื่องให้คิดหนักหรือ หยินภายในจึงมิสมดุลเช่นนี้” เจิ้งเหรินอี้กล่าวช้าๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนลงและฟังรื่นหู“มีเจ้าค่ะ จะส่งผลร้ายหรือไม่เจ้าคะ” ข้าเอ่ยถามอย่างร้อนใจ"มากเกินจำเป็นก็ส่งผลร้าย ขนาดคนที่มีร่างกายดีก็ทรุดได้เช่นกัน” เจิ้งเหรินอี้กล่าวจบ ริมฝีปากบางก็ปิดสนิท และยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เข้าใจในความทุกข์ของนางที่เก็บเอาไว้“ข้า…” เสียงแผ่วเบาลอดออกจากปาก หลุบตามองท้องตนเอง พยายามจะไม่คิด แต่มิอาจลบล้างความคิดและความทรงจำได้เลย และเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยกับหมอเจิ้ง“ข้าควรจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ”“คุณหนูไป๋หมายถึงร่างกายหรือสภาพจิตใจ” เจิ้งเหรินอ

  • บางเบาดั่งสายหมอก   ๑ เผชิญดาวร้าย / 12

    “โป๊ยกั๊กนี่นำไปต้มดื่มทุกวันกับน้ำชา ไม่เกินสามวันจะเป็นปกติตามเดิม เจ้าเพียงแค่ข้อเท้าเคล็ดเท่านั้น ข้านำติดกายมาด้วยเพียงเล็กน้อย ถ้าหมดก็ไปขอเอาได้จากในครัว” เจิ้งเหรินอี้กล่าว“จริงหรือเจ้าคะ!” เสี่ยวเมิ่งกล่าวขึ้นเสียงดังอย่างดีใจ นางเพียงข้อเท้าเคล็ดเท่านั้น นึกว่าจะหักเสียแล้ว บ่าวน้อยกล่าวขึ้นในใจ“ฮ่าๆ จริงสิ ข้าจะโป้ปดเจ้าให้ได้อันใด” เจิ้งเหรินอี้หัวเราะก่อนจะเอ่ยตามอย่างขบขันเสี่ยวเมิ่งฉีกยิ้มกว้างก้มหัวขอบใจอีกสามรอบ ส่วนเจิ้งเหรินอี้ก็ยืนประกบมือไว้ด้านหน้าขา และเลื่อนสายตาไปมองคุณหนูตระกูลไป๋ ก่อนจะกล่าวออกไปอีก“ตาท่านแล้ว แต่ข้าต้องขอออกไปล้างมือก่อนสักครู่” เขาหลุบตามองเท้าเสี่ยวเมิ่ง เป็นนัยแฝงไปด้วยข้าเบิกตาขึ้นเล็กน้อย กำมือใต้แขนเสื้อ หายใจติดขัด ก่อนจะพยักหน้ารับเขาอย่างเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจในยามนี้จะให้หลิงจูสหายคนสนิทนี้ออกไปด้านนอกนั้น ควรจะใช้วิธีอันใดถึงจะดูแนบเนียนมากที่สุด พอหมอเจิ้งหมุนกายเดินออกจากห้องไป ก็ผุดความคิดหาข้ออ้างได้ออก“หลิงจู ข้าหิวข้าวยิ่งนัก” ข้าแสร้งกล่าวเสียงอ่อน เดินกุมท้องไปนั่งด้านข้างของนาง“ซิงหนี่ว์ เจ้ายังมิได้กินข้าวตั้งแต่

  • บางเบาดั่งสายหมอก   ๑ เผชิญดาวร้าย / 11

    “ใช่เจ้าค่ะ” หลิงจูเอ่ยขึ้นอีกเจิ้งเหรินอี้ยิ้มรับอย่างเป็นมิตรและเอ่ยขึ้น “แม่นางมีธุระอันใดกับข้าหรือ”“กล่าวไปสิซิงหนี่ว์” หลิงจูกระทุ้งข้อศอกเบาๆ ไปด้านข้าง“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ข้ามีนามว่าไป๋ซิงหนี่ว์ ส่วนนี่หลิงจู จะรบกวนให้ท่านหมอมาตรวจดูอาการของบ่าวคนสนิทให้เสียหน่อย”เจิ้งเหรินอี้ที่ยังแย้มยิ้มกว้างอยู่นั้น ก็เอียงหน้าลงด้านข้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลุบตามองสตรีงามตรงหน้า พลางใช้หัวครุ่นคิดไปด้วยว่า ‘ไป๋’ ใช่แซ่หนึ่งในสิบตระกูลมหาอำนาจลำดับที่หนึ่งหรือไม่ แต่นับว่าหายากที่เจ้านายจะใส่ใจดูแลบ่าว เขาจึงพยักหน้าตอบรับอย่างสุภาพ พร้อมกับผายมือออกไปด้านหน้า“เชิญแม่นางไป๋นำทาง”“ขอบใจมากเจ้าค่ะ ที่ไม่รังเกียจตรวจดูอาการบ่าวของข้า” ข้าขอบใจแทนเสี่ยวเมิ่ง หมอหลวงนั้นเปรียบดั่งขุนนาง พวกเขาตรวจให้เพียงบุคคลชั้นสูง ไม่มีทางที่จะลดตัวลงมาตรวจอาการบ่าวเช่นนี้ได้“แม่นางไป๋กล่าวเกินไปแล้ว” เจิ้งเหรินอี้กล่าวอย่างเป็นมิตร เดินมาขนาบข้างไป๋ซิงหนี่ว์“มิทราบว่าหมอหลวงมีนามว่าอันใดหรือเจ้าคะ เมื่อครู่พวกข้าเสียมารยาทมิได้เอ่ยถามชื่อกลับ” หลิงจูชะโงกหน้าจากอีกฝั่งไปถาม“ข้ามีนามว่าเจิ้งเหรินอ

  • บางเบาดั่งสายหมอก   ๑ เผชิญดาวร้าย / 10

    เป็นไปตามที่จิ้นฝานคิดเอาไว้ เช้าวันที่หนึ่งเขาสะดุ้งกายตื่นขึ้นมาเพราะเสียงอาเจียนของไป๋ซิงหนี่ว์ ลากยาวจนเกือบสองชั่วยาม เขานอนฟังเสียงนั้นเอาแขนหนุนหัวสองข้าง ทอดมองเพดานอย่างทอดถอนใจด้วยความที่มีนิสัยสันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับผู้อื่นที่ไม่สนิท จึงออกไปพบปะสนทนากับขุนนางด้านนอกเพียงเล็กน้อย และเข้ามาเก็บตัวต่อในห้อง ตลอดทั้งวันเขาจะได้เสียงอาเจียนของนางเป็นพักๆ จึงเป็นการรบกวนเขาค่อนข้างมากด้วยเช่นกัน“เคร้ง!” พลันก็มีเสียงเขวี้ยงบางสิ่งที่กระทบเข้ากับผนังห้อง ตามมาด้วยเสียงตะโกนขึ้นสูงของสตรีที่เขาชังหน้า“ว้ายยย เสี่ยวเมิ่ง! ไปเอาอาหารมาใหม่ที ข้าไม่ไหวแล้ว” น้ำเสียงนี้บ่งบอกถึงความไม่พอใจ และเอาแต่ใจของไป๋ซิงหนี่ว์ที่เขาสัมผัสได้บุรุษที่แหงนหน้ามองเพดาน มีหนังสือหนึ่งเล่มเปิดหน้าเอาไว้วางบนอก ริมฝีปากหนาปริออกกล่าวออกมาอย่างไร้เสียง“เรื่องมากยิ่งนัก”คำกล่าวนี้ล้วนมาจากความนึกคิดของตนเองจากการคาดการณ์ แต่เขามิอาจรู้ได้ว่าหลังกำแพงไม้นี้ เหตุการณ์จริงๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่จากนั้นเสียงทั้งหมดก็กลับมาเงียบสงบตามเดิม ไร้เสียงสนทนาโวยวายของนางต่ออีก ถึงแม้ว่าจะเป็นห้องข้างๆ กัน แต่จะได

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status