๑ เผชิญดาวร้าย
ประเพณีล่าสัตว์รัชศกโหยวเหยียนที่ฉือเอ้อ จัดขึ้นที่เกาะเหวินเฉิงได้เริ่มขึ้น ณ บัดนี้ท่าเรือแม่น้ำฮวงมีเรือห้าลำขนาดใหญ่ยักษ์จอดเทียบท่าเอาไว้อยู่ ตระกูลไป๋ ได้แก่ ไป๋มี่อิง ไป๋ซิงหนี่ว์ และฮูหยินทั้งสอง เดินทางโดยเรือของไท่จื่อ สหายคนสนิทของไป๋มี่อิง ไปยังเกาะเหวินเฉิงเพื่อเข้าร่วมประเพณีล่าสัตว์ปีนี้
บัดนี้ข้ากำลังเผชิญหน้ากับความกลัวและความชังจากบุรุษที่มาจากคนเดียวกัน เบื้องหน้าเป็นเขาที่ยืนอยู่อีกฝั่งสะพานไม้ข้ามขึ้นไปบนเรือที่จะพาล่องไปยังเกาะเหวินเฉิง เขาอยู่ในอาภรณ์สีเขียวเข้ม กลืนไปกับสีผิวสองสี ดวงหน้าคมกำลังเหม่อมองไปยังด้านหลังของข้า มีเจี่ยเจียกับคุณชายเยี่ยเดินตามหลังขึ้นมา ดวงตาดุดันคู่นั้นมักจะทอดมองพี่สาวต่างมารดายามที่นางเผลอไผลหรือไม่รู้สึกตัว แต่ถ้าหากสังเกตมองดีๆ คุณชายจิ้นจะจับตาดูนางอยู่ตลอดยาม เท่าที่ข้าพอจำความได้ในตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ความรักของเขาที่มีต่อนางมากมายเพียงใดมิอาจล่วงรู้ได้ รู้เพียงว่ามันมากถึงขั้นก้าวข้ามศีลธรรมขั้นพื้นฐานในใจ ลงมือข่มเหงสตรีที่ตนเองรัก เผอิญว่าความรักของเขาดันตกมาอยู่ที่ข้า แต่สำหรับข้าคือความโชคร้าย
ข้าจมอยู่กับฝันร้ายมาเกือบสองเดือน และยังมีบางครั้งที่นอนร้องไห้ก่อนนอน มาวันนี้มีเพียงต้องลุกขึ้นมาสู้กับความกลัวของตนเอง
แผ่นหลังของข้าเหยียดตรงขณะก้าวเท้าเดินผ่านตัวเขาไป โดยไม่สนใจว่าเขาจะมีตัวตนอยู่หรือไม่ สำหรับตัวข้า เขาเป็นเพียงคนเลวไร้ค่าผู้หนึ่ง ที่เอาชนะความเลวภายในจิตใจตัวเองมิได้ ถ้ามิใช่ข้า ก็ต้องเป็นเจี่ยเจียที่ถูกเขาทำร้ายแทน
เจ้าคนบาปหนา...จะต้องทนทุกข์ให้กรรมตามสนอง ข้ากล่าวแช่งเขาขึ้นมาอีกรอบ และสะบัดหน้าเดินเข้าไปด้านใน
ยามนี้ฟ้าดับแสง มีเพียงตะเกียงและแสงเทียนถูกจุดขึ้นให้ความสว่าง ก่อนหน้านี้ได้ขึ้นไปบนเรือชั้นสอง ให้เสี่ยวเมิ่งนำข้าวของภายในหีบออกมาจัดเตรียมเอาไว้ด้านนอก เพื่อให้ใช้สอยได้ง่ายมากขึ้น
ข้าอยู่นอนกลางวัน จนลากยาวมาถึงยามเย็น ถึงจะลุกขึ้นมาอาบน้ำ แล้วลงไปทานมื้อค่ำกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โดยมีโต๊ะที่ว่างเว้นให้นั่งได้แค่โต๊ะทางขวาของบุรุษทรามผู้นั้นเท่านั้น จึงจำใจเดินเข้าไปนั่ง หันเหความสนใจทั้งหมดไปที่เวทีขนาดย่อมเบื้องหน้านี้
โดยมีพระชายาไท่จื่อนั่งดีดพิณอยู่ตรงกลาง นิ้วมืออวบสั้นกรีดตวัดไปมาบนเส้นพิณอย่างอ่อนช้อย เกิดเป็นท่วงทำนองละมุนหู
“คุณหนูรอง ยาบำรุงหลังมื้อค่ำเจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งเดินถือยาบำรุงเข้ามาให้นายหญิงของตนเองที่นั่งหลังตรง วางมือบนตักอย่างเรียบร้อย ชมการแสดงจากพระชายาอยู่
“ต้องดื่มหลังอาหารทุกมื้อเลยหรืออย่างไรกัน” ข้ากล่าวบ่น หลุบตามองถ้วยยาขนาดเท่ากำปั้นมือที่เพิ่งถูกวางลงบนโต๊ะ มีไอร้อนระเหยขึ้นมา
“ทุกมื้อเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่กำชับมา” เสี่ยวเมิ่งที่ฉีกยิ้มกว้างอยู่เอ่ยตอบ
“ยามข้าอ้าปาก กลิ่นปากที่ออกมาล้วนแต่เป็นกลิ่นยาทั้งสิ้น” ข้ากล่าวขึ้นอีก ไม่รู้ว่าเจี่ยเจียไปสรรหายาบำรุงเหล่านี้มาจากไหนกัน ดื่มทุกวี่ทุกวันก็ไม่หมดเสียที
“หึ” พลันเสียงเค้นขึ้นจมูกของจิ้นฝานที่นั่งโต๊ะด้านข้างก็ดังขึ้น สายตาทอดมองพระชายาของสหายรักอีกคนอย่างสุนทรี
แต่ทว่าหูกลับไปได้ยินเสียงสนทนาของสตรีโต๊ะด้านข้างอย่างห้ามไม่ได้ ไป๋มี่อิงเอาใจใส่น้องสาวเป็นอย่างมาก ทั้งรักทั้งเอ็นดู ดูตอนนี้ยังจัดหายาบำรุงมาให้นางกิน เหตุไฉนไป๋ซิงหนี่ว์ยังคิดไม่ซื่อและกลั่นแกล้งพี่สาวของนางได้ลงคออีก
ตลอดหลายปีมานี้ไป๋มี่อิงเป็นหัวข้อสนทนาอย่างสนุกปากของเหล่าสตรีในเมืองหลวง ถึงแม้ว่าจะงามมากเพียงใด แต่รสนิยมในการแต่งกายกลับไม่เอาไหน นางเป็นตัวตลกในงานเลี้ยงสังคมให้ผู้คนซุบซิบดูแคลนอยู่ตลอด ถึงแม้ว่านางจะยินยอมให้ไป๋ซิงหนี่ว์จับแต่งกายก็ตามที โชคดีหน่อยช่วงหลังมานี้ พอแต่งเยี่ยเปาเข้าตระกูล ก็ลดการแต่งกายแปลกๆ ลงไปได้เยอะ
ข้าเหลือบตาไปมองตามเสียงราวกับหัวเราะเยาะในคอของคุณชายจิ้น ดวงหน้าราบเรียบแต่มุมปากหนึ่งข้างถูกยกขึ้น พลันสายตาอันดุดันที่มองพระชายาเบื้องหน้าเขาก็ได้ปรายมามองข้าด้วยหางตา และชักกลับไป
ข้าเม้มปากเข้าอย่างไม่ชอบใจ เสียงฮึที่ดังขึ้นก่อนหน้านี้ราวกับว่ามันกำลังต้องการส่งสาส์นบางอย่างมาให้ เป็นเพราะว่าเมื่อครู่สนทนาเสียงดังจนไปรบกวนความสุขของเขาหรืออย่างไร
“คุณหนูเจ้าคะ...” เสี่ยวเมิ่งยกมือขึ้นป้องปาก ขยับกายเข้าไปกระซิบด้านข้าง
“ว่าอย่างไร เหตุใดต้องกล่าวเสียงเบา” ข้าละความสนใจจากคุณชายจิ้น หันไปกล่าวกับเสี่ยวเมิ่งด้วยความสงสัย
“เมื่อกลางวันมีหีบแปลกปลอมติดเข้ามาด้วยเจ้าค่ะ ข้าลืมบอกคุณหนูไป เห็นว่าท่านนอนพักกลางวันอยู่ และข้าหลงลืมไปด้วย เพิ่งจะนึกออกเมื่อครู่นี้...” เสี่ยวเมิ่งกล่าวเสียงอ่อย
“แล้วมันเป็นหีบอันใด” ข้าถามนาง
“เอ่อ...เหมือนเป็นหีบอาภรณ์ของบุรุษ แต่มิรู้ว่าเป็นของผู้ใดกันแน่” เสี่ยวเมิ่งตอบเสียงเบา
“เรื่องเล็กแค่นี้ เหตุใดถึงแก้ไขเองมิได้ ยกออกมาตามหาเจ้าของก็สิ้นเรื่อง” ข้ามุ่นคิ้วเข้า และกล่าวว่าปัญหาเล็กเท่าหัวเข็ม นางยังแก้ไขไม่ได้อีก แค่ขนมันออกมาจากห้องตามหาเจ้าของก็จบเรื่องแล้ว คนบนเรือมิใช่ร้อยสองคนเสียที่ไหนกัน
“คุณหนูรองก็รู้ว่าบ่าวโง่เขลา” เสี่ยวเมิ่งทำหน้าสลดเอ่ยเสียงเบาต่ออีก
“เฮ้อ รีบไปจัดการเสีย” ข้าไม่รู้จะว่าอันใดต่ออีก เมื่อนางยอมรับออกมาเองก็คร้านจะกล่าวดุออกไป
“มันเป็นอาภรณ์บุรุษเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวเมิ่งกล่าวท้วงขึ้นอีก ก้มหน้างุดมองอกตนเอง
“ข้าจะฟังเสียงพิณ ไฉนต้องมานั่งฟังเสียงเจ้าแทน มันแค่อาภรณ์ของบุรุษอยู่ในหีบ หาใช่อยู่บนเตียงเสียที่ไหนกัน และผู้ใดจะไปคิดถึงขั้นนั้นได้ แค่หีบมันขนมาผิดห้องก็เท่านั้น” ข้ากล่าวบ่น
“คุณหนูรอง ข้ามิกล้า ถ้าทำให้ชื่อเสียงท่านเสื่อมเสียขึ้นมาจะเป็นความผิดข้าได้ คุณหนูใหญ่อาจลงโทษ…” เสี่ยวเมิ่งกล่าวต่อ ชำเลืองตาขึ้นมองเล็กน้อย
รอดในเมืองหลวง คอยส่งข่าวให้พวกที่หนีรอดไป นับว่าเป็นอีกหนึ่งแผนการที่อาจจะบรรลุผลได้เช่นกัน“สั่งงานเช่นนี้หมายความว่าวันพรุ่งท่านจะไม่เข้าวังหลวงหรือขอรับ” ผู้ช่วยเขาเอ่ยถามอย่างสงสัยจิ้นฝานปรายตาไปมองผู้ช่วยของเขาก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วกล่าวออกไปเสียงเนือยๆ“เข้าไปยามบ่าย แต่ก็จัดการตามที่ข้าบอกเอาไว้ก่อน คัดคนของเราที่พอจะคล้ายพวกมันมา”ตอนเช้าเขาต้องไปดูความคืบหน้าของเรื่องโรคระบาด ที่คฤหาสน์อวี้เป็นสถานที่เอาไว้สำหรับกลุ่มคนที่เขาจัดขึ้นโดยเฉพาะ จากนั้นตอนบ่ายก็ต้องเข้าไปดูงานในวังหลวงต่อนับว่าเป็นปีที่เขาเหน็ดเหนื่อยเอาการ แต่ดีหน่อยพอกลับเรือนซือซือ ความเหนื่อยล้าทั้งหมดก็ได้หายไปหมดสิ้น ที่นั่นคล้ายกับยาชูกำลังอย่างไรอย่างนั้น“ได้เลยขอรับ” ผู้ช่วยเขากล่าว และเข้าไปจัดการงานเบื้องหน้าต่อ ต้องเก็บกวาดสถานที่นี้ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ทำเหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นจิ้นฝานมองรถม้าที่เขานั่งมาตอนเย็น สภาพดูไม่จืด ล้อหลุดออกหนึ่งข้าง ด้านข้างมีรอยดาบฟันเข้าไปลึกอยู่มาก ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าเขาไม่เอะใจขึ้นมาก่อน ยามนี้ไม่เป็นเขาก็เป็นคุณหนูรองที่ได้รับบาดเจ็บแทน ดีที่
๑๕แผนการของคนซื่อม้าสีดำตัวใหญ่ก้าวเดินเป็นจังหวะไม่ช้า และไม่เร็วเกินไป เดินผ่านม่านหมอกเย็นๆ ไปตามเส้นทางของถนนที่ทอดยาว สายลมที่พัดทำให้หมอกลอยคลุ้งกระจาย คนทั้งสองไม่อาจคาดเดาว่าเป็นหมอกที่เกิดจากอะไรอาจจะเกิดจากอากาศที่เย็นลง หรือไอร้อนระเหยของพื้นถนน มันอาจจะลอยมาจากการเผาฝืนแก้หนาวของชาวบ้านก็ได้ คนทั้งสองจมูกเย็นเกินกว่าจะได้กลิ่นควันเหล่านี้ อากาศเย็นๆ หมอกขาวๆ นั่งกอดกันบนหลังม้าคงจะอุ่นกายอุ่นใจไม่น้อยช่วงเวลาแห่งการสร้างสายใยความสัมพันธ์นี้ที่ได้ถักทอขึ้นมาอย่างเงียบๆ ได้เดินทางมาถึงหน้าจวนตระกูลจิ้นจิ้นฝานลงจากหลังม้า และไม่ลืมที่จะยื่นแขนขึ้นไปรับฮูหยินของเขาลงมาด้านล่าง จัดแจงจับเสื้อคลุมที่บิดเบี้ยวไปด้านข้างของนางให้เข้าที่เรียบร้อย“จมูกไม่หายแดงเสียที” เขากล่าวบ่นขึ้น หลุบตามองปลายจมูกของนาง “ก็อากาศมันหนาวนี่เจ้าคะ” ข้าเบี่ยงตาไปมองทางอื่น บอกตามตรงทำตัวไม่ถูกจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็พึ่งถูกขโมยจูบ ตลอดทางพวกเราทั้งสองก็นั่งเงียบมาตลอดไม่มีการสนทนาใดๆ หลังจากเหตุการณ์นั้นอีกทั้งข้ายังใจง่ายยอมให้เขากอดเช่นนั้นโดยไม่บ่น โดยไม่ว่าเลยสักคำเดียว น่าโมโหตัวข้าเองยิ่งนั
“มีอันใดรึเจ้าคะ”“มี ลองแหงนหน้าขึ้นไปมองด้านบน” จิ้นฝามก้มหน้าลงตอบนาง“แหงนหน้าหรือ” ข้าเอ่ย แล้วทำตามที่เขาบอกมองภาพด้านบนนี้ มีริ้วสีขาวพร่างพราวลงมา ท่ามกลางพระจันทร์สีนวล นับว่าแปลกนัก วันใดที่หิมะตกไม่มีทางที่จะมองเห็นพระจันทร์ได้ มันช่างน่าอัศจรรย์มากยิ่งเงาดำเริ่มคืบคลานบดบังสายตาของข้า แทนที่ด้วยใบหน้าคุณชายจิ้น ไออุ่นสีขาวที่พ่นออกมาทางจมูก รดลงมาที่หน้าของข้า ความรู้สึกนี้เหมือนทุกสิ่งหยุดนิ่ง มีเพียงแค่พวกเราทั้งสองคนเท่านั้น ที่ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกันเมื่อหายใจเข้ารอบที่สามในขณะที่เราทั้งสองสบตากันนั้น ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงมาอย่างนุ่มนวล และแผ่วเบามันรู้สึกอุ่นๆ ร้อนๆ ตรงริมฝีปากข้าเอง หนวดที่ขึ้นตอสีเขียวถูลงที่คาง และมือของเขาประคองที่หัวข้าเอาไว้เป็นการจูบที่แตะลงมาเท่านั้น และนิ่งค้าง พอๆ กับความรู้สึกที่ตกใจ และตกตะลึงกับสัมผัสนี้จิ้นฝานวางปากประทับลงอยู่นานหนึ่งอึดใจ แล้วดึงหน้ากลับมาเลียริมฝีปากด้วยเอง พลางขมวดคิ้วเข้าอย่างสงสัย“ทำไมปากท่านถึงหวาน”“ข้า... ข้าดื่มข้าวหมักนํ้าผึ้งมา” ข้าตอบพลางหายใจหอบ แต่ทว่ามือของคุณชายจิ้นยังประคองเอาไว้ที
อี๋เสี่ยวควนคั่วได้ยินล่ามแปลประโยคที่จิ้นฝานกล่าวก็ยิ่งขบขันเข้าไปใหญ่ แบบนี้ในเผ่าของเขาเรียกว่ากลัวภรรยา แต่ถ้าเสนาบดีจิ้นเอ่ยออกมาเช่นนี้เขาก็จะเชื่อว่าแค่เกรงใจนางเท่านั้นเมื่อคิดเช่นนั้นก็หันไปมองโต้วตู่จื่อที่นั่งอยู่ เห็นตัวเล็กบอบบางคงจะร้ายไม่น้อยตอนอยู่ที่บ้าน ถึงกับทำให้บุรุษที่ขึ้นชื่อเป็นพยัคฆ์คู่ฝ่ายขวาของแคว้นซิ่นหมอบลงได้งานเลี้ยงดำเนินไปจนจบลง จิ้นฝานสั่งการลูกน้องตัวเองสองสามประโยค จากนั้นถึงจะเดินไปรับฮูหยินน้อยที่ยืนรํ่าลาเหล่าฮูหยินทั้งสามคน ก่อนจะหมุนกายกลับมาหาเขาสีหน้าของนางเรียบเฉยไม่มีรอยยิ้มใดๆ ปรากฏให้เห็นมีเพียงคิ้วได้รูปที่กดตํ่าลงเหมือนไม่ชอบใจอะไรในตัวเขาขณะนี้“ฮูหยินน้อยมานี่มา” จิ้นฝานเอ่ยเรียกนาง ยื่นมือออกไปด้านหน้ารอให้นางจับ“…….” ข้ามองหน้าคุณชายจิ้น เหตุใดต้องให้สาวงามใช้ซาลาเปาคู่มานั่งถูไถได้หน้าตาเฉย เขามียางอายบ้างหรือไม่!ดูท่าโต้วตู่จื่อนี้จะดื้อเอาเรื่อง จิ้นฝานมองไป๋ซิงหนี่ว์อย่างอ่อนใจ และเดินเข้าไปใกล้ก้มหน้าลงกล่าวเสียงแผ่ว“ขากลับจะควบม้ากลับกัน แต่ว่าข้าขอเสื้อคลุมของท่านได้หรือไม่ เอาไว้จะหาซื้อตัวใหม่มาคืนให้”“ข้าไม่เข้าใจ..
“นํ้าข้าวหมักนํ้าผึ้งนี้ ได้ยินขันทีกล่าวว่าเผ่าอิงคาขนมา” ฮูหยินหลันกล่าว พลางยกขึ้นจิบรสชาติหวานปลายลิ้นของมันในแก้ว“รสชาติเป็นเช่นไรบ้างฮูหยินหลัน” ฮูหยินที่นั่งด้านทางขวาเอ่ยถาม“รสชาติดี กินง่ายเจ้าค่ะ” ฮูหยินหลันเอ่ยตอบ“นํ้าข้าวหมักนี้กินแล้วเมาหรือไม่” ถึงตาข้าเอ่ยถามบ้าง อยากจะลองกิน แต่กลัวจะเมาเหมือนครั้งที่แล้ว“ไม่เมาเจ้าค่ะ” ฮูหยินหลันหันไปตอบอย่างมั่นใจข้ามองสีหน้าของฮูหยินหลันอย่างชั่งใจอยู่มาก อะไรหมักๆ ไม่อยากกินเข้าปากเลย แต่กลิ่นมันหอมข้าวอ่อนๆ จะไม่ลองก็กระไรอยู่ ประเดี๋ยวจะเสียเที่ยวเอาได้ มิใช่ว่าจะหาดื่มของแปลกต่างถิ่นได้เช่นนี้ ว่าแล้วก็ค่อยๆ จิบตามที่คุณชายจิ้นบอกเอาไว้ละกันเสียงกลองแผ่วลง พวกนางรำของเผ่าอิงคาก็เข้าไปนั่งลงตามโต๊ะขุนนาง และบุรุษในงานเลี้ยง ข้ามองตามสะโพกงอนงาม ตามจังหวะการก้าวเท้าเดินไปด้วยของพวกนางแต่คิดไม่ถึงว่าจะมีสาวงามหนึ่งในนั้นดวงหน้าคมเข้ม เดินเข้าไปนั่งลงด้านข้างคุณชายจิ้นจากนั้นนางก็เอื้อมมือไปหยิบจอกสุราขนาดใหญ่รินลงไปให้เขา แล้วยื่นขึ้นไปป้อนถึงปาก ข้าหรี่ตาลงมองให้ชัดเจน อยากรู้ว่าเขาจะทำอย่างไรต่อจิ้นฝานหลุบตาลงมองจอกสุราส
“ฟางซายจือ เหลียงเหลง หวู่ต้าตั๋ว ดานตรง ซีจงจึ่ย ฮ่างซี” อี๋เสี่ยวควนคั่วตอบออกไป พร้อมกับชูจอกสุราสีทองให้จิ้นฝาน“ท่านอี๋เสี่ยวกล่าวว่า ดีมาก แต่ขาดการระบำ และสาวงาม แต่สุรานี้อร่อยถูกปากเขานัก” ล่ามภาษาได้แปลออกมาให้ท่านเสนาบดีจิ้นฟัง“บอกเขาว่าไม่นานเกินรอ” จิ้นฝานเอ่ยขึ้นต่อ“จางไจ่ บู่ลู่” ล่ามหันไปแปลให้อี๋เสี่ยวควนคั่วฟังอย่างรวดเร็วอี๋เสี่ยวควนคั่วที่ได้ยินก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ตบหน้าตักตัวเองไปหนึ่งที แล้วกล่าวออกมาเป็นภาษาถิ่นของแผ่นดินหยวนโปวที่เขาพอจะรู้มาบ้าง แต่ก็ไม่เก่งจนสนทนากันได้อย่างเข้าใจ และฉะฉาน“เยี่ยม เยี่ยม!”จิ้นฝานพยักหน้ารับอี๋เสี่ยวควนคั่ว หันไปมองกลุ่มคนพิเศษ ที่เขาจัดขึ้นมาเพื่อหาวิธียุติโรคระบาดชายแดน หนึ่งในนั้นก็มีเจิ้งหรินอี้ด้วยเช่นกัน กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่อีกมุมหนึ่ง จากนั้นก็กวาดตามองฮูหยินน้อยของเขาว่ายามนี้นางอยู่ที่ไหนเขามองเห็นสาวงามเด่นสะดุดตา เพราะเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวที่ฟูฟ่อง กำลังยืนสนทนากับสตรีนางอื่นอีกสี่คน แล้วยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะน้อยๆ ออกมา“ยินดีด้วยนะเจ้าค่ะ ที่ได้เป็นฮูหยินขั้นหนึ่งแล้ว งานเลี้ยงในวังหลวงครั้งที่แล้วข้า