ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลงเสียที เช้าวันนี้หนิงอ้ายตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เขารู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้พร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อมเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าแบบทดสอบของสำนักศึกษาในปีนี้จะออกมาในรูปแบบใด ทั้งเขาและลู่ซีจะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน เพราะว่าพวกเขาทั้งสองคนได้เตรียมความพร้อมในทุกด้านที่คาดว่าสามารถนำมาใช้ในการเข้าร่วมทดสอบครั้งนี้ได้ หลังจากสำรวจความเรียบร้อยของตนที่หน้ากระจกพร้อมกับทำการร่ายบทเวทย์ปลอมแปลงเสร็จสิ้นหนิงอ้ายไม่รอช้าออกจากห้องพักเพื่อไปพบกับลู่ซีและเหล่าองครักษ์ทั้งสี่คนที่ด้านล่างของโรงเตี๊ยมในทันที
หนิงอ้ายยังคงเลือกสวมใส่ชุดสีเขียวอ่อนเช่นเดิมเหมือนทุกวันด้วยความเคยชิน นับว่านี่เป็นสิ่งที่ทั้งเขาและหนิงอ้ายคนเดิมมีความชื่นชอบเหมือนกัน เพียงแต่ว่าอาจจะมีความแตกต่างในเรื่องของลวดลายปักที่เปลี่ยนไปในแต่ละวันให้ไม่ซ้ำกันเพียงเท่านั้น หนิงอ้ายเลือกสวมใส่เป็นลายปักดิ้นทองเป็นดอกเถาฮวา (ดอกท้อ) ที่ดูงดงามเหมือนจริงเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นผลงานจากท่านยายเหมยฮวาของเขาที่ก่อนออกเดินทางไม่กี่วัน ท่านยายได้ใช้เวลายามว่างบรรจงตัดเสื้อและปักลวดลายอันงดงามลงบนผ้าผืนนี้
ทางฝั่งของลู่ซีเองก็ได้รับเช่นเดียวกัน มองไปยังโต๊ะที่วางไว้ข้างเตียงนั้นเห็นเป็นเจ้าตัวน้อยต้าเฮยยังคงนอนหลับสนิทไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นในเร็ว ๆ นี้ หนิงอ้ายรู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก มือเรียวงามค่อย ๆ จับตัวขึ้นมาอย่างเบามือเข้ามาไว้ตรงอกเสื้อที่มีช่องเล็ก ๆ ที่ท่านยายทำขึ้นไว้สำหรับใส่สิ่งของ ที่อีกฝ่ายยังไม่ตื่นในตอนนี้คงเป็นเพราะว่าเจ้าตัวน้อยยังคงไม่หายบาดเจ็บซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกหลายวันเลยทีเดียวกว่าจะกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม
"ลู่เกอท่านองครักษ์ทั้งสี่ ขออภัยที่ทำให้ต้องรอนานนะขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงใจ เพราะเมื่อตนลงมาถึงด้านล่างของโรงเตี๊ยมได้พบว่าทุกคนได้ลงมาพร้อมกับสั่งอาหารมื้อเช้ากันเสร็จแล้ว
"อย่าคิดมากเลยหนิงเอ๋อร์ เกอรู้นะว่าเจ้าคงตื่นเต้นคงนอนไม่ค่อยสนิทใช่หรือไม่?" ลู่ซีเอ่ยหยอกล้อเด็กหนุ่มขึ้น ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายรอคอยวันนี้อย่างใจจดจ่อ และเมื่อคืนที่ผ่านมาคงตื่นเต้นจนไม่ค่อยได้พักผ่อนเป็นแน่
"คุณชายเล็กอย่าได้เกรงใจ พวกข้าพึ่งลงมาถึงเมื่อครู่และอาหารพึ่งถูกจัดโตะก่อนที่คุณชายจะมาถึงพอดีขอรับ..."หัวหน้าองครักษ์เอ่ยขึ้นพร้อมกับองครักษ์อีกทั้งสามคนนั้นต่างพยักหน้า ราวกับต้องการสื่อว่าสิ่งที่หัวหน้าของตนเอ่ยขึ้นเป็นความจริงเพื่อที่เด็กหนุ่มจะได้สบายใจ
"ข้ามีใครบางคนที่อยากแนะนำให้พวกท่านทุกคนได้รู้จัก..." หนิงอ้ายเมื่อสัมผัสได้ว่าเจ้าตัวน้อยที่ตอนแรกนอนนิ่งอยู่ในอกเสื้อของตนมีการขยับไปมาจึงทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายตื่นจากการหลับไหล จากนั้นหนิงอ้ายจึงล้วงเอาเจ้าตัวน้อยออกมาแนะนำกับทุกคน
"นี่คือต้าเฮยสัตว์เลี้ยงของข้า เมื่อวันก่อนข้าได้พบเจอตอนที่ต้าเฮยบาดเจ็บชายตรงป่าเมืองหมอกทมิฬข้าจึงทำการรักษา ถึงแม้ว่าข้าจะไม่สามารถผูกพันธะได้แต่ต้าเฮยยอมที่จะติดตามข้าต่อไปขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นแนะนำเจ้าตัวน้อยด้วยน้ำเสียงสดใส ต้าเฮยเมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายแนะนำมันกับทุกคนแล้วจึงไม่รอช้าเลื้อยลงจากมือของเด็กหนุ่ม พร้อมกับชูคอไปมาราวกับว่าสนับสนุนคำกล่าวของหนิงอ้ายเมื่อครู่ด้วยท่าทางแสนรู้ยิ่ง
"ยินดีที่ได้รู้จักข้าชื่อลู่ซีเป็นพี่ชายของหนิงอ้าย..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นตอบกลับไป
สิ้นคำดังกล่าวต้าเฮยจึงเลื้อยเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมกับใช้ศรีษะเล็กๆ ของมันดันไปกับนิ้วมือราวกับว่าต้องการออดอ้อนชวนให้รู้สึกเอ็นดูกับท่าทางนี้เป็นอย่างยิ่ง
"พวกเราทั้งสี่คนเป็นองครักษ์ของนายน้อยลู่ซีและนายน้อยหนิงอ้าย...ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าเช่นกัน" องครักษ์ทั้งสี่คนเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพียงกัน เมื่อต้าเฮยได้ยินเช่นนั้นจึงไม่รอช้าชูคอขึ้นพร้อมกับสลับจ้องไปยังทั้งสี่คนพร้อมกับขู่ฟ่อออกมาหลายครั้งก่อนที่จะเลื้อยไปยังเบื้องหน้าทั้งสี่คนก่อนที่จะใช้หัวอันเล็กน่าเอ็นดูของตนนั้นถูไถไปกับนิ้วมือของแต่ละคนอย่างเท่าเทียม
"ต้าเฮยช่างน่ารักเหมือนกับเจ้าเสียจริง..."
"สิ่งที่ข้าจะบอกให้ทุกคนได้รู้ ต้าเฮยเป็นสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษที่มีพลังวิญญาณอยู่ในระดับมายาขั้นสูง เนตรแห่งสวรรค์ของข้าทำให้พอรับรู้ได้ว่าต้าเฮยสืบทอดมาจากสายเลือดบรรพกาลเผ่าพันธ์หนึ่งเพียงแต่ข้อมูลเชิงลึกกว่านี้ข้ายังไม่สามารถเข้าถึงได้แต่ข้ามั่นใจว่าต้าเฮยไม่มีวันทำร้ายข้าอย่างแน่นอนขอรับ..."
หนิงอ้ายบอกกับทุกคนด้วยความมั่นใจเพราะเขาสัมผัสได้ว่าเจ้าตัวน้อยนี้แม้จะเข้าหาเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง รวมไปถึงเหตุการณ์สังหารก่อนหน้าและอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายนั้น ด้วยระดับของสัตว์อสูรเช่นนี้ ต่อให้ต้องรับมือกับเหล่านักฆ่าระดับสูงห้าถึงหกคนในคราเดียวคงไม่สร้างความลำบากแก่เจ้าตัวน้อยเท่าไหร่นัก
แต่ถึงอย่างไรก็ตามหนิงอ้ายไม่อยากบีบคั้นเจ้าตัวน้อยไปมากกว่านี้ ด้วยเพราะว่าเขานั้นชื่นชอบสัตว์เลื้อยคลานเป็นทุนเดิมอยู่เเล้วและเขาก็อยากรู้เช่นกันว่าท้ายที่สุดนี้เจ้าตัวน้อยจะเอ่ยความจริงกับตนเมื่อใด
"เคยมีครั้งหนึ่งที่ท่านตาเคยบอกว่าเจ้านั้นช่างเต็มไปด้วยโชคชะตาวาสนาสวรรค์กว่าคนทั่วไปจนมาถึงตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว สัตว์อสูรระดับมายา ต่อให้ไม่ได้สืบสายเลือดบรรพกาลย่อมีความยิ่งทะนงตนอยู่แล้วแต่นี่ต้าเฮยถึงกับยอมเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าทั้งที่ไม่สามารถทำการผูกพันธะได้เช่นนั้น..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชมปนประหลาดใจ
คำกล่าวนี้ที่ได้ยินท่านตาหวังจิ่งหลงเอ่ยกับหนิงอ้ายในครั้งนั้น เขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ท่านตาเอ่ยหยอกล้อกับอีกฝ่ายเพียงเท่านั้น แต่แล้วคำกล่าวในวันนี้คงไม่เกินจริงไปเท่าไหร่นัก หนิงอ้ายนั้นบรรลุถึงเขตขั้นราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงในเวลาเพียงสองปี อีกทั้งยังครอบครองสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาที่หายากที่ในตอนนี้เลื่อนเป็นสัตว์อสูรระดับตำนานแล้ว และยังมาถึงตอนนี้ที่อีกฝ่ายสามารถครอบครองสัตว์อสูรระดับมายาสายเลือดบรรพกาลอีกตัวหนึ่ง เช่นนี้แล้วหนิงอ้ายผู้นี้เป็นลูกรักสวรรค์คงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงไปนัก
ด้วยเนตรแห่งสวรรค์นั้นทำให้น้อยยิ่งนักที่สิ่งใดที่หนิงอ้ายต้องการรับรู้แล้วจะไม่สมดั่งใจ แม้ในตอนนี้ต้าเฮยจะมีรูปลักษณ์ที่คล้ายกับอสรพิษตัวน้อยสีดำทั่วไปแต่นี่เป็นเพียงร่างจำแลงของอีกฝ่ายเท่านั้น อีกทั้งสายเลือดบรรพกาลของต้าเฮยหนิงอ้ายสัมผัสกล่าวได้ว่อยู่ต่ำกว่าสายเลือดบรรพกาลของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลเพียงไม่กี่ขั้นเท่านั้น
"หลังจากนี้ฝากเจ้าดูแลคุณชายทั้งสองของพวกข้าด้วยเล่า..." หัวหน้าองครักษ์เอ่ยขึ้น เพราะในตอนนี้ภารกิจที่ตนได้รับมอบหมายมาถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว
คุณชายหนิงอ้ายกับคุณชายลู่ซีต่างต้องเข้าร่วมทดสอบของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ ทางสำนักก็ได้มีกฎห้ามที่ชัดเจนว่าไม่ให้มีผู้ติดตามหรือองครักษ์เข้าร่วมในการทดสอบหรือการเข้าเป็นศิษย์ในสำนัก ต้าเฮยเมื่อได้ยินจึงยืดคอขึ้นพร้อมกับขยับหัวขึ้นลงราวกับให้คำสัญญาว่ามันนั้นย่อมที่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
"คุณชายใหญ่ คุณชายเล็กพวกข้าทั้งสี่คนต้องกลับไปยังตระกูลหวังแล้ว พวกข้าขออวยพรให้คุณชายทั้งสองสามารถผ่านการทดสอบของสำนักและประสบความสำเร็จดั่งใจหวังขอรับ..." หวังซินอีหรือหัวหน้าองครักษ์เอ่ยขึ้นเป็นตัวแทนของพวกเขาเหล่าองครักษ์อีกสามคนที่เหลือซึ่งต่างมองมายังนายน้อยของตนด้วยความยินดี
แม้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน แต่สิ่งที่พวกเขาทั้งหกคนได้เผชิญหน้ารับมือด้วยกันนับว่าเป็นสิ่งที่มีความหมายเป็นอย่างยิ่ง เหล่าองครักษ์ทั้งสี่คนนั้นต่างเต็มใจที่จะปกป้องดูแลคุณชายทั้งสองด้วยชีวิต
หนิงอ้ายกับลู่ซีได้ทำการคำนับพร้อมกับโค้งตัวลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณพร้อมกับอวยพรให้ทุกคนเดินทางกลับตระกูลหวังด้วยความปลอดภัยและฝากความคิดถึงไปยังท่านตา ท่านยายและมารดาของตนด้วย เมื่อร่ำลากันเสร็จแล้วดวงตากลมโตสีเขียวเข้มมรกตของต้าเฮยที่จ้องมองไปยังทั้งสี่คนคล้ายกับจะร้องไห้ ทำเอาเหล่าองครักษ์ทั้งสี่คนเกือบที่จะยกเลิกภารกิจและติดตามคุณชายทั้งสองคนต่อไปแต่ก็ถูกหนิงอ้ายเอ่ยห้ามเอาไว้พร้อมกับเอ่ยอีกหลายคำกับต้าเฮย จนเจ้าตัวน้อยพยักหน้าอย่างเข้าใจพร้อมกับขู่ฟ่อไปทางสี่คนเล็กน้อยก่อนที่จะเลื้อยหายเข้าไปในอกเสื้อของหนิงอ้ายในที่สุด
เสียงสัญญาณดังขึ้นไปทั่วทั้งเมืองหมอกทมิฬแห่งนี้ พร้อมกับการที่ผู้ฝึกตนระดับเทพยุทธ์ได้ปรากฎตัวตรงด้านหน้าของรุ่นเยาว์ชายหญิงหลายร้อยคน ด้วยระดับพลังวิญญาณเช่นนี้นับว่าเป็นสิ่งที่กระตุ้นเหล่ารุ่นเยาว์พวกนี้ยิ่งนักด้วยเพราะสำหรับรุ่นเยาว์บางคนนั้น ตัวตนของผู้ฝึกตนระดับเทพยุทธ์เปรียบดังนิทานเรื่องเล่า แต่ในวันนี้พวกเขาต่างได้มีโอกาศพบเจอกับผู้ฝึกตนระดับสูงของสำนักศึกษาเช่นนี้ ทุกคนต่างหมายมาดว่าในสักวันหนึ่งตนก็จะก้าวเท้าเป็นผู้ฝึกตนระดับเทพยุทธ์ได้เช่นกัน
"ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ทั้งหลายที่อยู่ในเมืองหมอกทมิฬ พวกเจ้ามีเวลาทั้งหมดเจ็ดวันในการเดินทางมายังทิศเหนือเพื่อก้าวเข้าสู่ประตูทางเข้าของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ หากพ้นกำหนดเเล้วยังไม่ปรากฎตัวในสถานที่นัดพบย่อมหมายความว่าพวกเจ้านั้นยังขาดคุณสมบัติที่เหมาะสมของสำนักของเรา!!!"
"ระหว่างการเดินทางต่างเปี่ยมไปด้วยอันตรายที่พวกเจ้ายากจะคาดถึง ตัวข้าผู้อาวุโสลำดับที่สามผู้ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าสำนักให้ดูแลการคัดเลือกศิษย์ใหม่ของสำนักในปีนี้ ขอเอ่ยเตือนด้วยความจริงใจว่าไม่มีสิ่งอื่นใดที่ล้ำค่าไปมากกว่าชีวิตของพวกเจ้า ดังนั้นหากพบเจออันตรายจนถึงชีวิตหรือหากต้องการออกจากแบบทดสอบพวกเจ้าสามารถบีบป้ายหยกนี้และจะมีผู้อาวุโสของสำนักไปรับตัวพวกเจ้าออกมาในทันที...""ข้าขออวยพรให้พวกเจ้าทั้งหลายโชคดีและเจอกันที่หน้าประตูของสำนัก ข้าและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จะรอพวกเจ้าอยู่ที่นั่น!!!" ผู้อาวุโสลำดับที่สามกล่าวจบลงพร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังพื้นที่หนึ่งเป็นพิเศษ
บริเวณนั้นคือจุดที่มีหนิงอ้ายและลู่ซียืนอยู่แน่นอนว่าด้วยอายุหลายร้อยปีของชายวัยกลางคนและพลังวิญญาณระดับเทพยุทธ์วิญญาณย่อมสัมผัสได้ถึงความพิเศษบางอย่างจากรุ่นเยาว์ทั้งสอง แต่ถึงอย่างนั้นญาณสัมผัสอันแรงกล้าของตนยังไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้ สายตาคมกล้าเพ่งมองอีกครั้งก่อนที่ป้ายหยกสีฟ้าครามพลันปรากฎอยู่ในมือขวาของทุกคนก่อนที่ร่างของชายวันกลางคนจะแตกซ่ายสลายไปอย่างรวดเร็ว
กลุ่มรุ่นเยาว์เมื่อตั้งสติจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ต่างพุ่งทะยานตัวออกไปยังทิศเหนือที่คาดว่าเป็นที่ตั้งของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็จับคู่เดินทางเช่นเดียวกันกับหนิงอ้ายและลู่ซี บ้างก็เดินทางกันเป็นกลุ่มหวังพึ่งพาจำนวนคนให้มากที่สุดเพื่อหวังจะไปยังจุดหมายให้ได้ แต่ก็มีไม่น้อยเช่นกันที่เป็นรุ่นเยาว์มากฝีมือที่หยิ่งทะนงในฝีมือของตนที่ไม่รอช้าใช้เคล็ดวิชาตัวเบาทะยานตัวออกไปในทันที
"ถึงเวลาพวกพวกเราแล้วขอรับลู่เกอ!!" หนิงอ้ายหันหน้าเอ่ยขึ้นกับลู่ซีด้วยความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
"เกอรู้ว่าเจ้ารอเวลานี้มานานแล้ว...เช่นนั้นพวกเราเริ่มเดินทางกันได้เสียที.." ลู่ซีกลับไปด้วยความรู้สึกฮึกเหิมไม่ต่างกัน
ไม่รอช้าเด็กหนุ่มทั้งสองคนได้ทะยานตัวออกไปด้วยเคล็ดวิชาตัวเบาเฉพาะของตนด้วยความรวดเร็ว ภาพที่รุ่นเยาว์ชายหญิงที่เหลือต่างหันหน้าคุยกันต่างมีความเห็นตรงกันว่าชายหนุ่มทั้งสองคนนั้นช่างเป็นพี่น้องที่หน้าตาดีและมากไปด้วยฝีมือยิ่งนัก คนหนึ่งหล่อเหลาแต่เงียบขรึมชวนให้ใจสั่นไหวได้เพียงเเค่ได้สบตา
แต่กับเด็กหนุ่มอีกคนนั้นแม้ใบหน้าติดเรียบเฉยจะดูธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ยามที่อีกฝ่ายได้เผยยิ้มออกมากลับชวนให้รู้สึกราวกับเด็กน้อยซุกซนที่น่าทะนุถนอมคนหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามเคล็ดวิชาตัวเบาของทั้งสองคนไม่สามารถดูเบาได้ ความลึกล้ำของเคล็ดวิชาดังกล่าวนั้นดูท่าแล้วคุณชายทั้งสองคนคงเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่อย่างแน่นอน…
วันแรกของการเดินทางหนิงอ้ายและลู่ซีไม่ได้พบเจอกับเหตุการณ์ปะทะสิ่งใดทั้งสิ้นด้วยเพราะพึ่งผ่านพ้นเขตป่าชั้นนอกกำลังเข้าสู่ชั้นในเพียงเท่านั้น แน่นอนว่าป่าชั้นนอกเต็มไปด้วยสัตว์อสูรก็จริงแต่ระดับสูงสุดก็เป็นเพียงระดับนภาขั้นต่ำเพียงเท่านั้น เมื่อพบเจอกับจิตสังหารของต้าเฮยที่จงใจปล่อยออกมาซึ่งได้แผ่ไปไกลถึงสิบลี้ ดังนั้นแล้วเมื่อสัตว์อสูรระดับต่ำเหล่านี้สัมผัสได้จึงไม่มีสัตว์อสูรตนใดเข้ามาใกล้ในระยะสิบลี้ดังกล่าวเลยนั่นเอง
ทางสำนักสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้มีการติดตั้งกับดักต่าง ๆ รวมไปถึงค่ายกลไปจำนวนมากที่กระจัดกระจายไปทั่วผืนป่านี้ ด้วยเนตรแห่งสวรรค์ที่หนิงอ้ายบัญชาการใช้งานตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ปัญหาที่ต้องกังวลใจสักเท่าไห ร่เพราะสามารถตรวจพบและหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายยิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเองหนิงอ้ายก็แอบเสียดายไม่น้อยที่เนตรแห่งสวรรค์ของเขานั้นไม่สามารถระบุตำแหน่งที่ตั้งของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างแม่นยำแต่ถึงอย่างนั้นก็พอเข้าใจได้
สำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ก่อตั้งมายาวนานหลายพันหลายหมื่นปีแล้ว ดังนั้นการที่สำนักศึกษาสามารถตั้งอยู่มาได้ยาวนานเช่นนี้แล้วย่อมที่จะมีมหาค่ายกลที่คอยปกป้องและมีผู้ฝึกตนระดับสูงอาจเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับสูงนั่งประจำการอยู่ก็เป็นไปได้ ดังนั้นแล้วการที่เนตรแห่งสวรรค์ของเขานั้นจะไม่สามารถระบุตำแหน่งของสำนักศึกษาได้ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด…
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย