หญิงสาวมองผู้เป็นพ่อกินอาหารมื้อเย็นด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าบิดากินอาหารได้มากนางก็พลอยเบิกบาน เพราะนี่เป็นหน้าที่ของลูกสาวอย่างนางที่ต้องดูแลปรนนิบัติผู้ให้กำเนิดอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“นั่งมองพ่อกินแล้วเจ้าจะอิ่มหรือไม่”
“เห็นท่านพ่อกินข้าวได้มาก ลูกก็พลอยอิ่มไปด้วย”
“เจ้าทำอะไร พ่อก็กินทั้งนั้นละ” ผู้เป็นบิดาส่ายหน้าไปมา แต่ลูกสาวทำหน้าโอดครวญ
“ท่านพ่อนี่ขี้เหนียวจริง จะชมฝีมือการทำอาหารของลูกสักคำมิได้หรือไร”
“เจ้าก็ย่อมรู้อยู่ว่าฝีมือทำอาหารของเจ้าไม่ธรรมดา” ผู้เป็นพ่อพูดน้ำเสียงเนิบช้า แต่ลอบมองบุตรสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดู “หลายปีมานี่ ลำบากเจ้าจริงๆ”
“ลูกบ่นลำบากรึ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส “ลูกโชคดีที่มีท่านพ่อเช่นท่าน”
“พูดจาเอาใจพ่ออย่างนี้ จะเอาอะไรจากพ่อเล่า”
“ท่านพ่อ ไยท่านคิดเช่นนั้นเล่า ลูกก็แค่เป็นห่วงท่านพ่อ วันทั้งวันต้องเคี่ยวยา ไหนจะต้องตรวจคนเจ็บป่วยอีก ลูกก็อยากให้ท่านพ่อได้พักผ่อน กินข้าวอิ่มท้องก็เท่านั้นเอง”
“เอาละ ยังไงเรื่องอาหารการกินของพ่อก็อยู่ในมือเจ้าอยู่แล้ว ไหนเจ้าบอกมาซิว่าเจ้าอยากได้อะไร”
“ท่านพ่อพูดตรงเกินไป” หญิงสาวหัวเราะแก้เขินที่บิดารู้ทัน “ลูกแค่อยากจะ...”
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบประโยค เสียงเอะอะอยู่หน้าบ้านก็เรียกสายตาของสองพ่อลูกให้หันไปทิศทางของเสียง
“ไม่ทราบว่าท่านหมอมู่อยู่หรือไม่”
สองพ่อลูกหันมามองหน้ากัน คนเป็นหมอเลือกเวลารักษาไม่ได้ หากมีคนเจ็บคนป่วยมาก็ต้องรีบรับไว้ มันเป็นความเคยชินที่หญิงสาวคุ้นเคยดี นางจึงลุกขึ้นหมายจะเดินไปเปิดประตู แต่บิดาห้ามไว้ก่อน
“มันค่ำแล้ว เจ้าออกไปไม่ดีนัก เจ้าเก็บสำรับอาหารก่อนเถิด พ่อจะออกไปดูเอง”
“เจ้าค่ะ”
มู่ฟางเหนียงมองแผ่นหลังของบิดาเดินออกไปแล้ว ตนเองจึงจัดการเก็บสำรับอาหารที่แทบจะไม่มีอะไรเหลือแล้วไปไว้ในครัว ตั้งแต่จำความได้ นางก็หัดทำอาหารของกินเล็กๆ น้อยๆ คอยช่วยดูแลบิดามาตลอด เหตุเพราะท่านแม่จากไปตั้งแต่นางยังเด็ก บิดามีนางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว สองพ่อลูกร่อนเร่ไปเรื่อย ด้วยท่านพ่อของนางคือ ท่านหมอมู่หยางซัว ฉายา หมอเทวดาไร้เงา เหตุเพราะท่านพ่ออยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ทั้งเพื่อช่วยผู้คนและหาความรู้เพิ่มเติม ทำให้ท่านพ่อกระเตงนางไปทั่วสารทิศ นางเองก็พลอยเป็นลูกมือของท่านพ่อศึกษาเรียนรู้วิชาแพทย์ไปด้วย การเล่นสนุกของนางจึงไม่เหมือนเด็กผู้อื่น นางคลุกคลีอยู่กับสมุนไพร รักษาสัตว์บาดเจ็บ เพียงสิบขวบนางก็ฝังเข็มเป็น ตอนนี้นางอายุสิบหก ความสามารถแม้ไม่เทียบเท่ากับบิดา แต่ก็ไม่ได้ด้อยจนทำให้บิดาต้องอับอาย
สองปีก่อนบิดาพานางมาที่ชายแดนแห่งนี้ด้วยได้ยินว่ามีสงคราม ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน นางไม่กลัวอันตราย ขอเพียงมีบิดาอยู่ด้วย ขึ้นเขาลงห้วยนางล้วนติดตามบิดาไปได้ทุกแห่งหน เมื่อมาถึงก็บังเอิญได้พบ เศรษฐีกู่หลิน เห็นว่าสองพ่อลูกเป็นหมอที่มีเจตนาดีมาช่วยเหลือผู้เดือดร้อน จึงยกเรือนหลังเก่านี้ให้พักอาศัย ซ้ำยังดูแลเรื่องอาหารการกิน ทำให้ทั้งสองไม่ลำบากมากนัก หลังสงครามสิ้นสุด เดิมทีท่านพ่อคิดจะเดินทางต่อ แต่เห็นว่ายังมีชาวบ้านที่ต้องการหมอ อยู่ไกลเมืองหลวงเช่นนี้ไม่ค่อยมีหมอดีๆ หรือมีก็เก็บค่าตรวจรักษาค่อนข้างแพง บิดาจึงรั้งอยู่ต่อ เศรษฐีกู่หลินก็เห็นดีเห็นชอบ ยกเรือนหลังนี้ให้ท่านพ่อเปิดเป็นโรงหมอเล็กๆ อยู่ไปอยู่มาจนถึงตอนนี้ก็เกือบสองปีแล้วกระมัง
“ฟางเหนียง พ่อต้องออกไปข้างนอกนะลูก”
เสียงบิดาทำให้นางตื่นจากภวังค์ รีบเช็ดมือแล้วเดินกลับเข้ามาเพื่อช่วยเตรียมล่วมยาให้ท่านพ่อ
“มีคนเจ็บหนักรึเจ้าคะ” นางถามด้วยความกังวล
“เป็นคนในจวนแม่ทัพจ้าว พ่อบ้านส่งรถม้ามารับพ่อ”
“จวนแม่ทัพจ้าว?” มู่ฟางเหนียงทวนในสิ่งที่ได้ยิน “ท่านพ่อให้ลูกติดตามไปด้วยนะ”
“ค่ำแล้ว เจ้าพักผ่อนจะดีกว่า”
“อย่างไรลูกก็ต้องรอท่านกลับบ้านอยู่ดี สู้ให้ลูกติดตามไปด้วยมิดีกว่ารึเจ้าคะ” นางยิ้มแย้มไม่แสดงอาการเหนื่อยหรือเบื่อหน่ายทำให้บิดาพยักหน้ารับ ตนเองก็เป็นห่วงลูกสาวที่ต้องอยู่บ้านตามลำพังอยู่แล้ว
หญิงสาวจึงรีบเตรียมล่วมยาแล้วเดินตามบิดาอย่างเรียบร้อย พ่อบ้านของจวนแม่ทัพมีท่าทีกระวนกระวาย พอเห็นสองพ่อลูกหมอเทวดาออกมาก็ยิ้มโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง คุณหนูของบ้านบาดเจ็บสาหัส ขนาดแพทย์ทหารก็ยังได้แต่ก้มหน้า มิอาจหาหนทางรักษาบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวได้ เขาจึงบากหน้ามาขอความเมตตาจากท่านหมอมู่
“เชิญท่านหมอ”
“คนเจ็บรออยู่ อย่าได้พิธีเยอะเลย รีบเดินทางเถิด”
“ขอรับ”
สองพ่อลูกขึ้นรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พ่อบ้านก็เร่งให้ม้าออกเดินทางอย่างรวดเร็ว มู่ฟางเหนียงไม่รู้ว่าตนกับพ่อจะไปรักษาผู้ใด แต่นางก็อยากไปจวนแม่ทัพจ้าวอยู่แล้ว เพราะอยากรู้ข่าวคราวของ ‘พี่หลิ่งหลิน’ ของนาง นางรู้เพียงแค่ว่าเคอหลิ่งหลินทำงานและพักอาศัยอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว สองปีก่อนด้วยความอยากแบ่งเบาภาระบิดา นางขึ้นเขาหาสมุนไพรเองโดยมิได้บอกผู้เป็นบิดา แต่นางเป็นคนที่หลงทิศง่ายเหลือเกิน เป็นข้อด้อยที่แก้ไม่หายเสียที นางหลงป่าหาทางออกไม่ได้อยู่สามวันสามคืน แม้ทำใจแข็งกลั้นน้ำตาแต่ก็หวาดกลัวจนแทบเสียสติ บังเอิญได้พบกับเคอหลิ่งหลิน หญิงสาวที่อายุมากกว่าแต่นิสัยโผงผางเหมือนเด็กผู้ชาย ตอนนั้นนางกลัวจนแทบไม่มีแรงเดิน เคอหลิ่งหลินให้นางขี่หลังและแบกจากเขาลงมาส่งถึงมือบิดาของนางอย่างปลอดภัย นับตั้งแต่นั้นนางก็ได้พบเคอหลิ่งหลินบ่อยๆ และเรียกนางว่า ‘น้องสาว’ นางซึ่งเป็นลูกคนเดียวมานาน พ่อพารอนแรมแต่เด็กจึงไม่ค่อยมีเพื่อนนัก พอได้รู้จักกับเคอหลิ่งหลิน ก็เรียกนางว่า ‘พี่สาว’ เต็มปากและเต็มใจ ทำให้สองปีที่ได้อยู่ที่นี่ นางไม่เหงาเหมือนที่ผ่านมา
องค์ชายไท่หยางมักมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าซีดเซียวเสมอ ซึ่งมองเพียงผิวเผินจะเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังใบหน้าและร่างกายอ่อนแอนี้กุมความลับที่ใช้ต่อรองกับเขาได้ดียิ่งนัก เขาเองก็ได้สัญญาการซื้อขายกับทางการหลายรายการเพราะการแนะนำของคุณชายเฉิน“แล้วนี่คุณชายเฉิน อ้อ! ไม่สิ! องค์ชายไท่หยางนึกสนุกอย่างไรถึงอยากได้หน้ากากอสูรที่ดูน่ากลัวเช่นนี้”“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าที่เบื้องหน้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเช่นกัน”“พระองค์กล่าวเช่นนี้ เห็นทีว่ากระหม่อมคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงแล้วกระมัง” เหวินเฮ่าหลันกลับรู้สึกพอใจกับท่าทางเปิดเผยขององค์ชายไท่หยาง“ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงมีเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน... แต่การเคลื่อนไหวในฐานะขององค์ชายไท่หยางทำได้ลำบากนัก จึงอยากจะรบกวนเจ้าหาช่างดีๆ ทำหน้ากากอสูรนี่ให้ข้า”“พระองค์จะเอาไว้ใช้เอง?”เหวินเฮ่าหลันได้คำตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก หลังจากนั้นเขาหาช่างที่ไว้ใจได้สั่งทำหน้ากากอสูร แต่ไม่รู้สิ่งใดดลใจเขาให้ช่างทำสองอัน เมื่อส่งมอบหน้ากากอสูรนั่นให้องค์ชายไท่หยาง ไม่นานนักก็ได้ยินข่าวว่ามีบุรุษลึกลับภายใต้หน้ากากอสูรออกอาละวาดเล่น
ปีศาจน้อย! จ้าวจิ่นสือขบกรามแน่น นางเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำกับนาง เขาไม่อาจทานทนไฟปรารถนาที่เผาไหม้อยู่นี้ได้อีก ขยับร่างกายรวดเร็วรุนแรงและลึกล้ำ เป็นนางที่พาเขาให้เตลิดโบยบินไปในค่ำคืนวิวาห์ที่อุ่นร้อน ราวกับวิหคคู่ที่โบยบินในเวิ้งฟ้า หยอกล้อราวกับทั้งโลกมีเพียงแค่เขากับนางเท่านั้น ร่างสองร่างสอดประสานแทบเป็นหนึ่งเดียว ชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ในขณะที่หญิงสาวหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม แล้วเขาจึงผ่อนร่างนางลงนอนกอดอย่างรักใคร่นางปิดเปลือกตาหอบใจแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตัวเองจนเกือบจะเป็นปกติจ้าวจิ่นสือมองหญิงคนในรักในวงแขน ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของนางให้พ้นใบหน้า หนึ่งชีวิตได้พานพบผู้คนมากมาย แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเจ้าของเสียงในหัวใจ เขาก้มหน้าสูดกลิ่นหอมของนางให้กลิ่นกายของนางไหลเวียนในตัวเขา นางคือหญิงสาวของเขาแต่เพียงผู้เดียว“ฟางเหนียง ข้ารักเจ้า”ผ่านเรื่องราวมากมายฟันฝ่ามาด้วยกันจนมีวันนี้ แต่แท้จริงแล้วทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นางคิดถึงกลองป๋องแป๋งอันนั้น นางจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ดู ของขวัญล้ำค่าที่เชื่อมโยงหัวใจของคนสองคนให้ได้มาใกล้ชิดกั
“ท่าน...” นางถูกดวงตาร้อนแรงของเขาจ้องมองจนลืมคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น “อืม”เขาจ้องมองนาง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่ได้มองใบหน้านี้เลยสักคราเดียว คิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีนางเคียงข้างแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เห็นทีเรื่องนี้คงต้องเก็บเป็นความลับไว้ให้ลึกที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไป รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจำนนยอมแพ้พ่ายต่อสายตาคู่นี้ของนาง “ข้า... ข้าต้องปรนนิบัติท่าน... พี่” คืนนี้นางเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องแล้ว ควรทำหน้าที่ของตนเองถึงจะถูก แต่มือเล็กก็สั่นเทา ยื่นไปหมายจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่อาการเงอะงะของนางเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ทำให้นางฉุนกึกขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึงตาใส่อย่างดุดัน “ใช่สิ! ข้าทำไม่เก่งนี้ เรื่องแบบนี้ข้าคุ้นเคยเสียเมื่อไหร่ล่ะ” นางหงุดหงิดโมโห อารมณ์นางช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนชอบกล “ไม่เป็นไร น้องหญิงอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถิด” เขากลั้นหัวเราะแต่กลายเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มแทน ปล่อยให้มือเล็กช่วยถอดเสื้อตัวนอก พอนางลุกขึ้นจะเอาเสื้อของเขาไปแขวน ตัวเองก็เสียหลักเพราะนั่งตัวเกร็งอยู่ตั้งนา
หญิงสาวนั่งก้มหน้า มองปลายเท้าที่สวมรองเท้าสีแดงสดสวยปักรูปหงส์อย่างงดงามประณีต เสียงครื้นเครงด้านนอกไม่ได้ช่วยให้นางลดอาการตื่นเต้นลงได้เลย ยามมองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงสดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องหอราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง นางจึงหลุบตาลงก้มมองปลายเท้าของตนแทน เพียงหนึ่งเดือนหลังเสร็จภารกิจลับของจ้าวจิ่นสือ ด้วยความช่วยเหลือขององค์ชายไท่หยาง ทำให้ทั้งสองได้รับราชโองการพระราชทานสมรส แม้มู่ฟางเหนียงจะเป็นเพียงหญิงสาวสามัญชน แต่ด้วยความรักใคร่ที่รองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือมีให้นางนั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว นางทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็ดีใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วรักและเอ็นดูนางราวกับเป็นลูกสาวแท้ๆ ท่านพ่อของนางก็พลอยวางใจว่านางจะอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าวได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด “เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ต่อไปนี้ทำอะไรก็เชื่อฟังพ่อแม่สามีของเจ้าให้ดี” “ท่านพ่อ” นางกลั้นน้ำตา คราวนี้ได้แยกกันอยู่แล้วจริงๆ ท่านพ่อของนางมีใจรักใคร่น้าเสี่ยวหลิว เสร็จงานแต่งงานของนางแล้วก็จะกลับไปเมืองหลวง ช่วยน้าเสี่ยวหลิวดูแลโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาและรักษาคนเจ็บป่วยเช่นเคย ส่วนนางเองก็ได้รั
“ท่าน... ระ.. รักข้า..” นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ อาศัยจังหวะที่นางไม่เป็นตัวของตัวเองลอกคราบเสื้อผ้าออกเหลือเพียงเอี๊ยมปิดบังทรวงอกที่สะท้อนหอบหายใจแรงกับกางเกงชั้นในตัวน้อย มือกร้านลูบไล้เรียวขาของนาง ไอร้อนจากกายของเขาทำให้นางแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเปลือยเปล่าอยู่แล้ว“ข้า... เข้าใจว่า... ท่าน ระ รัก พี่หลิ่งหลิน” นางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไปเขาผงกศีรษะรับแล้วกลับยิ้มให้นาง “ก่อนนั้นข้าคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอเจ้า ข้าก็รู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร”หัวใจของนางแทบหยุดเต้นไป แต่กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นอยู่ “แต่ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ท่านจะรับข้าไว้ในฐานะใดเล่า”“ข้าย่อมให้เจ้าเป็นภรรยา” มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากต้นขาด้านในสู่กลีบบุปผาอ่อนบาง “ข้าจ้าวจิ่นสือจะมีภรรยาเพียงผู้เดียวก็คือเจ้า”“ท่านจะไม่มีหญิงอื่นอีกหรือ?” นางกะพริบตามองหน้าเขา ค้นหาความจริงใจในทุกถ้อยคำ “ข้าไม่ได้หวังตำแหน่งใด ข้าเพียงไม่อาจแบ่งสามีกับผู้อื่นได้”“เจ้าทำให้ข้ารักเจ้าจนไม่มีที่ว่างให้ผู้อื่นแล้ว” แตะกลีบดอกไม้เบาๆ แล้วกระซิบเสียงพร่า แท่งศิลาใต้ตักของนางเริ่มร้อนระอุ“อย
“นึกแล้วเชียว” นางพึมพำ ไม่รอถามอะไรเขาทั้งนั้น ขยับเสื้อของเขาออกกว้างเพื่อจะได้จัดการล้างแผลและใส่ยาให้ใหม่ ขณะนั้นเอง เสียงเรียกชื่อนางอย่างเกรงใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา เสี่ยวเอ้อที่รอพานางไปส่งที่พักก็ต้องตกใจเพราะเห็นมู่ฟางเหนียงกำลังเปลื้องผ้าชายหนุ่มอยู่ แต่เขามองไม่เห็นบาดแผลจึงคิดไปเองว่าทั้งสองกำลัง...“ข้าจะรอข้างนอก แม่นางมู่เสร็จธุระแล้วโปรดเรียก”นางเพียงหันไปพยักหน้ารับ เพราะใจจดจ่อกับบาดแผล พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสายตาของเขาก้มมองนางอยู่ก่อนแล้วผู้หญิงคนนี้ วุ่นวายกับเขานัก! จ้าวจิ่นสือได้แต่บ่นในใจ แต่ก็ยอมให้นางแกะผ้าพันแผลและทำความสะอาดที่บริเวณชายโครงซ้ายของเขา“โรคทางใจรักษายากนัก” นางรำพึง“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” เขาแค่นเสียงในลำคอ รินสุราใส่จอกให้ตนเอง แต่นางกลับยื่นมือไปคว้าแย่งไว้“ระหว่างที่รักษาแผลนี้อยู่ งดดื่มสุราทุกชนิด” นางถลึงตาสั่งเขา “ข้ารักษาให้ท่านได้เพียงบาดแผลภายนอก แต่ในใจที่เจ็บปวดของท่านนั้น ท่านคงต้องใช้เวลาเยียวยารักษาเอง”“ข้าจะดื่ม” เขาท้าทายนาง“ถือว่าข้าเตือนแล้ว ท่านอยากให้แผลเน่าอยู่ภายในก็ตามใจท่านเถิด” นางปิดบาดแผลให้เขาเรียบร้อย “ท่าน