Beranda / อื่น ๆ / บุปผาพันธนาการ / ตอนที่ 6 ถาม 3 คำถาม

Share

ตอนที่ 6 ถาม 3 คำถาม

Penulis: Bosskerr
last update Terakhir Diperbarui: 2025-09-08 21:24:11

เรือนจำเงาหยกในยามย่ำค่ำคืนนั้นเงียบงันผิดธรรมดา ความเงียบที่เหมือนจะกลืนทุกเสียงให้จมหายอยู่ใต้ผืนดิน ทั้งที่ตะเกียงถูกจุดเรียงรายเหมือนดวงไฟเล็ก ๆ คอยค้ำยันท้องฟ้ามืดเหนือหัว แต่คล้ายหัวใจของคนในที่แห่งนี้กลับมืดกว่านั้น ราวกับมีมือใครกำลังปิดทับไม่ให้มันเต้น

ซูฮวาอิ๋นลืมตามองเงาไฟบนผนังหินที่ไหวระริก เงานั้นเหมือนกิ่งไผ่ยามลมหนาวสะบัดเบา ๆ แล้วกลับยืนนิ่ง จังหวะไหววูบเล็กน้อยพาให้ความทรงจำจมหายไปสู่บ่อเงียบ

ยามเมื่อผู้คนรอบกายผลักไส นางเคยถามตัวเองกี่หนว่าความเงียบมีเสียงหรือไม่ กระทั่งคืนนี้นางได้คำตอบ ความเงียบมีเสียง และเสียงนั้นคือเสียงของใจที่ยังไม่ยอมแพ้

เสียงฝีเท้ามั่นคงเท่ากันทุกก้าวค่อย ๆ ดังขึ้นจากปลายระเบียง เหมือนจังหวะพิณที่เดินเข้าใกล้ทีละคอร์ด เมื่อเงาร่างสูงปรากฏหลังแสงตะเกียง ซูฮวาอิ๋นก็รู้ได้โดยไม่ต้องเห็นหน้า ว่าเป็นเขา เจิ้งหลินอวี่

เขาหยุดยืนหน้าห้องขัง ริมตะเกียงสะท้อนสีเข้มของชุดขุนนางให้ขอบสาบเสื้อดูคมขึ้น ดวงหน้าเยือกเย็นอย่างที่เคย หากแววตากลับลึกจนยากจะอ่าน ลึกเหมือนบ่อน้ำในสวนหลวงที่ไม่รู้ว่าก้นอยู่ห่างเพียงใด

“ยามที่อยู่เงียบ ๆ เจ้าร้องเพลงไหม”

เขาเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก น้ำเสียงเท่ากับลมหายใจ ไม่เร่งเร้า ไม่ผ่อนคลาย ทว่าพาให้สายลมในห้องขังชะงัก

ซูฮวาอิ๋นยิ้มบาง “ยามอยู่เงียบ ๆ ข้ามักจะฟังเสียงหยดน้ำ”

เจิ้งหลินอวี่เหลือบมองขึ้น เพดานหินชื้นยังคงปล่อยหยดเล็ก ๆ ตกกระทบพื้นเป็นจังหวะ

“นับได้กี่หยด”

“มากพอที่จะผูกเป็นทำนองหนึ่งบท” นางตอบ “แต่ไม่มากพอจะทำให้ผู้คนลืมความตายของผู้ที่เป็นพยาน”

ความเงียบไหลผ่านรั้วเหล็กสั้น ๆ ก่อนเขาจะวางห่อผ้าขาวไว้หน้าช่องประตู

“ยานี้จืด ข้าขอให้หมอหลวงผสมตามตำรับ ช่วยลดอักเสบที่ข้อมือของเจ้าได้ ดื่มมันใส่หลังอาหาร”

ซูฮวาอิ๋นชำเลืองมองรอยช้ำจางที่ข้อมือของตน ร่องรอยโซ่ตรวนทิ้งเขี้ยวไว้ตั้งแต่คืนแรก นางรับห่อผ้ามาอย่างสงบ

“ขอบคุณใต้เท้าเจิ้ง”

“เรียกข้าว่าหลินอวี่ก็พอ”

เขาเอ่ยเสียงเรียบ พลางปรายตาทวนไปตามโถงเหมือนคนชินกับการให้หลังพิงกำแพงมากกว่าหันหลังให้ความมืด

“ในยามเช้า ข้าจะขอหมายค้นห้องเก็บป้ายตราอีกครั้ง และเรียกซิ่นกงกงมาสอบขยาย หมึกใหม่กับหมึกเก่าจะช่วยเล่าความจริงแทนเรา”

“หมึกยังเล่าได้ แล้วหัวใจเล่าจะยอมบอกความจริงไหม”

ซูฮวาอิ๋นเอ่ยถาม ดวงตาสุกใสวาวขึ้นในเงาไฟ

“หัวใจมักพูดคุยด้วยภาษาที่บันทึกไม่เข้าใจ” เขาตอบสั้น ๆ

“นั่นจึงทำให้คนสอบสวนต้องยอมโง่ โง่พอจะฟังแม้แต่เสียงที่ไม่ได้เปล่ง”

นางหัวเราะเบา ๆ “ขุนนางสอบสวนที่ยอมโง่เพื่อฟัง น้อยนักที่ข้าจะได้เห็น”

เจิ้งหลินอวี่ยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงกระดาษพับเล็ก ๆ ออกจากแขนเสื้อ ส่งผ่านช่องเหล็ก

“นี่คือบัญชีเวรขันทีอีกบัญชีหนึ่งที่ลับกว่าสำเนาซึ่งส่งให้ทุกตำหนัก ข้าได้มาจากคนของข้าเองที่ซ่อนอยู่ในกรมพิธีกรา ลองดูในช่องหนึ่งชั่วยามคืนวาน ชื่อเจียงเต๋อถูกขีดแล้วเขียนซ้ำ”

ปลายนิ้วของซูฮวาอิ๋นแตะลงที่กระดาษอย่างระมัดระวัง นางกวาดมองช้า ๆ ราวกับอ่านบทกวี

“ขีดแล้วเขียนซ้ำ หมายถึง มีใครสักคนไปพลิกเวลาย้อนหลัง ให้คน ๆ เดียวหายตัวได้สองแห่ง หรือโผล่สองแห่งได้พร้อมกัน”

ๆ“ใช่” เขากล่าว “และคืนนี้ ข้าต้องการให้เจ้าเปลี่ยนความเงียบของเจ้าเป็นมีด มีดของคำถาม”

“คำถามหรือ?” นางเงยหน้า

“เมื่อข้าพาเจียงเต๋อมาที่นี่ ข้าจะไม่ซักไซ้ เขาจะยืนอยู่ตรงราวนี้ เจ้าถามเพียงสามคำถาม คำถามที่เจาะทะลุเกราะคนโกหกได้ ต่อหน้าข้าและแสงตะเกียง”

ซูฮวาอิ๋นขยับกายตรงขึ้นเล็กน้อย ความนิ่งในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นความชัดเจนแบบคนที่ยอมรับคำท้าทาย

“สามคำถามหรือ ต้องถามเรื่องใด”

“เรื่องที่ไม่มีใครบันทึกไว้ในบันทึก” เจิ้งหลินอวี่บอก “ถามเรื่องกลิ่น เสียง หรือทิศทาง สิ่งที่ทำให้คนละเมอเผลอบอกความจริงโดยไม่รู้ตัว”

ซูฮวาอิ๋นก้มหน้าคิดในเงียบอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะเงยหน้าอีกครั้ง

“ตราบที่คำถามของข้าไม่ทำให้ท่านลำบาก ข้าก็จะถามเขา”

“ข้ายอมลำบากหากได้ยินเสียงที่ข้าตามหามานาน”

เขาหลุดประโยคที่ทั้งอ่อนและแข็งในเวลาเดียวกัน แล้วรีบกลบความพร่าในแววตาด้วยท่าทีเรียบเฉยดังเดิม

“ครึ่งชั่วยามให้หลัง ข้าจะพาเขามาที่นี่”

เขาหันกายจะจากไป แต่แล้วก็หยุด คลายสายผ้าคลุมไหล่ออกหนึ่งด้าน ส่งผ่านช่องเหล็กอีกครั้ง

“ผ้าคลุม ข้างนอกลมแรง”

“แล้วท่านเล่า” ซูฮวาอิ๋นเคาะมุมราวเบา ๆ “ให้ข้าเอาผ้าคลุมของขุนนางสอบสวนไปห่มเช่นนี้ จะร้อนรุ่มไหม”

“ข้าใช้ความคิดแทนความอุ่น” เขาโต้สั้น ๆ ทว่ามุมปากกระดิกน้อยจนเกือบมองไม่เห็น

“อีกครึ่งชั่วยาม”

            ครึ่งชั่วยามนั้นยาวนานเหมือนครึ่งคืน ซูฮวาอิ๋นจับชายผ้าคลุมที่ส่งกลิ่นสนอ่อน ๆ ไว้บนตัก นางฟังเสียงหยดน้ำ บางหยดบรรจบกันกลางพื้นแล้วแตกกระเซ็นเหมือนดอกไม้น้ำ บางหยดตกกระทบโซ่เกิดเสียงเงียบ ๆ คล้ายสายพิณถูกงัดเบาที่สุด หากใครไม่มีใจจะฟัง ย่อมคิดว่าไม่มีเสียง

เสียงฝีเท้าหลายคู่ดังมาตามโถงในที่สุด สะท้อนแรงกว่าเดิมเพราะมีเหล็กของอาวุธสัมผัสกันอยู่ จังหวะที่คนหนึ่งนำ คนหนึ่งตาม และอีกสองคอยประกบ

เจิ้งหลินอวี่ปรากฏขึ้นพร้อมเจียงเต๋อ ขันทีร่างสูงเพรียว ใบหน้าเรียบไร้อารมณ์ตามแบบฝึกของผู้รับใช้ในวัง ทว่าแววตาของเขาแทบไม่กะพริบ เหมือนคนที่ฝึกใช้การนิ่งเป็นเกราะป้องกัน

เจิ้งหลินอวี่พยักหน้าให้ทหารถอยไปรอในระยะหนึ่ง แล้วจึงกล่าวเสียงแผ่วเรียบ

“สามคำถาม ถามเถิด”

ซูฮวาอิ๋นมองเจียงเต๋อผ่านซี่ราวเหล็ก เงาของราวแบ่งดวงหน้าชายผู้นั้นออกเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ นางรู้สึกถึงแรงต้านทานบางอย่าง ความเงียบแบบคนเคยชินกับการโกหกจนมันกลายเป็นที่พำนัก

“คำถามแรก” นางเอ่ยช้า ๆ “ในคืนงานเลี้ยง ที่โรงล้างภาชนะ กลิ่นอะไรแรงที่สุดในห้อง”

เจียงเต๋อขมวดคิ้วเพียงเสี้ยว แล้วตอบเร็วเกินคาด

“ผงซักล้าง”

ซูฮวาอิ๋นเหลือบยิ้ม “ผิด เพราะในห้องนั้นสายน้ำใช้จากบ่อด้านตะวันออก กลิ่นเฉพาะของมันคล้ายกับสาหร่ายขม น้ำในบ่อหลวงทางตะวันตกต่างหากที่มีกลิ่นผงซักล้างชัดเจน เหตุใดเจ้าจึงจำเป็นกลิ่นผงซักล้าง”

เจียงเต๋อสบตาเจิ้งหลินอวี่วูบหนึ่ง ก่อนตอบ “ข้าจำกลิ่นผิด”

“คำถามที่สอง” ซูฮวาอิ๋นไม่เปิดช่องว่างให้นาน “ยามที่เจ้าเดินถือกล่องผ้าขาวเข้าใกล้โต๊ะเสวยฝ่าบาท เสียงอะไรดังในท้องพระโรง”

เจียงเต๋อชะงักวูบน้อยกว่าครั้งแรก “กลองพิธี”

“ในยามนั้นไม่มีการตีกลองพิธี” ซูฮวาอิ๋นเอียงหน้าเล็กน้อย

“มีแต่เสียงขลุ่ยเดี่ยวเปิดทางให้การย้ายที่นั่งของอาคันตุกะต่างถิ่น กลองพิธีถูกเก็บตั้งแต่ครึ่งชั่วยามก่อนหน้า หรือว่าเจ้าหูตึง”

สายตาของเจิ้งหลินอวี่นิ่งสนิท นิ่งจนอ่านไม่ออกว่าชื่นชมคำถาม หรือใช้มันเป็นมีดต่อให้คมขึ้น

เจียงเต๋อขยับปลายนิ้ว ทว่าหยุดเมื่อเห็นแววตาทหารที่คุมเขาอยู่

“ข้า...ข้าจำคลาดเคลื่อน”

“คำถามสุดท้าย” ซูฮวาอิ๋นยกคางขึ้นน้อย ๆ “ตอนที่เจ้าเปิดกล่องผ้าขาวนั้นออก เจ้าเปิดจากด้านซ้ายหรือด้านขวา”

เจียงเต๋ออ้าปากจะตอบ ก่อนริมฝีปากจะปิดแน่น ริมคางเกร็งขึ้นคล้ายคนเพิ่งนึกถึงจุดที่ไม่น่าพลาด

“ซ้าย”

“ก็ผิดอีก” เสียงของนางนุ่มราวกรายดอกเหมย

“เพราะสายผูกของกล่องนั้นข้างหนึ่งสั้นกว่า การจะเปิดได้ต้องเริ่มจากขวา ถ้าเริ่มจากซ้าย แค่ปล่อยนิ้วเดียว ผ้าก็จะตกกระจาย ไม่ใช่ผูกแน่นอย่างที่ข้าเห็นเมื่อมันถูกนำมาให้ตรงหน้าโต๊ะเสวย”

เจียงเต๋อกัดฟันแน่น แววตาที่พยายามนิ่งเกิดสะท้อนแวบน้อย ๆ แวบของคนถูกแสงแทงเข้ารูม่านตา

เจิ้งหลินอวี่เอ่ยเสียงเรียบ “ผิดทั้งสามข้อ และผิดทั้งกลิ่น เสียง และทิศ ผิดทั้งหมดในส่วนที่ไม่มีบันทึกบนบันทึก”

เจียงเต๋อสูดหายใจแรง “ใต้เท้า ข้า...”

“ปิดปากไว้ก่อน” เจิ้งหลินอวี่หักคำ เขาหันไปสั่งทหาร “พาตัวเจียงเต๋อไปขังไว้ก่อน แยกขังเดี่ยว ห้ามพบผู้ใด และ...”

เขาเหลือบตามองซูฮวาอิ๋นชั่วครู่ “นำกล่องผ้าขาวที่กองคลังเก็บแบบไว้มาให้ข้าดู ตอนนี้!”

“ขอรับ!”

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 37 เช้าวันใหม่หลังพายุ

    กลางดึกคืนนั้น ฟ้ากลับมืดครึ้มอย่างไม่ทันตั้งตัว สายลมแรงหอบเมฆดำเข้าปกคลุมหมู่บ้านสะพานบัว ฟ้าแลบสว่างวาบก่อนเสียงฟ้าร้องกึกก้องตามมา ฝนเม็ดโตโปรยลงไม่หยุดราวกับสวรรค์เทน้ำทั้งฟ้าเสียงสุนัขเห่าหอนดังระงม ผู้ใหญ่บ้านเถาเซิ่งรีบลุกขึ้นตะโกนปลุกชาวบ้านให้ช่วยกันปิดหน้าต่าง เก็บเสบียง และนำสัตว์เลี้ยงเข้าคอก ฝนถาโถมลงบนหลังคาฟางจนดังสนั่นในเรือนเล็ก ซูฮวาอิ๋นรีบจุดตะเกียง สวมเสื้อคลุมแล้วหันไปมองเจิ้งหลินอวี่ที่ยืนพิงประตู หน้าต่างไม้ถูกลมตีจนเปิดออกแทบหลุด“เจ้าคิดว่าจะร้ายแรงหรือไม่” นางถามด้วยเสียงสั่นน้อย ๆเจิ้งหลินอวี่เพ่งมองท้องฟ้ามืดสนิท ดวงตาคมวาวด้วยความเคร่งเครียด“เป็นพายุใหญ่แน่ เราต้องไปดูเขื่อนดินอีกครั้ง ไม่งั้นอาจซ้ำรอยเดิม”ซูฮวาอิ๋นใจหายวาบ “แต่กลางดึกเช่นนี้ ”เขาหันมาสบตานางตรง ๆ น้ำเสียงหนักแน่น“ข้าไม่ปล่อยให้หมู่บ้านนี้ตกอยู่ในอันตราย เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปเอง”นางก้าวเข้ามากุมแขนเขาแน่น“ไม่! เจ้าเคยเสี่ยงมาแล้วครั้งหนึ่ง ข้าไม่อาจนั่งรออยู่เฉยได้”สายตาของทั้งคู่ปะทะกันในแสงตะเกียงสลัว เสียงลมคำรามโอบล้อมรอบเรือน ราวกับฟ้ากำลังทดสอบคำมั่นที่เพิ่งให้กันกลางลานเ

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 36 คำมั่นกลางลานเหมย

    ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปอย่างงดงาม ต้นเหมยที่หน้าสวนแตกกิ่งใบอ่อนสีเขียวชอุ่ม ดอกสีขาวและชมพูโรยลงบนลานดินจนดูราวกับปูพรมจากฟ้า เด็ก ๆ ที่มาเรียนหนังสือต่างวิ่งเล่นท่ามกลางกลีบเหมยร่วงด้วยเสียงหัวเราะสดใสวันนี้เป็นวันพักการสอน ซูฮวาอิ๋นจึงเตรียมกาน้ำชาและขนมถั่วตัดมานั่งเล่นกลางลานใต้ต้นเหมยใหญ่ นางสวมชุดผ้าฝ้ายสีอ่อน ผมถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยผ่านทุกข์ยากกลับฉายความสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเจิ้งหลินอวี่เดินเข้ามาเงียบ ๆ ในมือถือหนังสือเก่าเล่มหนึ่ง เขานั่งลงเคียงข้าง มองเด็ก ๆ ที่วิ่งไล่จับกันอยู่ไกล ๆ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม“นานมาแล้ว ข้าเคยคิดว่าชีวิตข้ามีไว้เพียงแบกหน้าที่ แต่วันนี้ ข้ารู้แล้วว่าหน้าที่ของข้าจริง ๆ คือการอยู่เคียงข้างเจ้า”ซูฮวาอิ๋นยกถ้วยชาให้เขา ดวงตาสุกใสสะท้อนแสงแดดอุ่น“ท่านพูดเหมือนจะสารภาพคำมั่นอะไรสักอย่าง”เจิ้งหลินอวี่ยกคิ้วเล็กน้อย “ก็ใช่ วันนี้ข้าอยากให้เจ้าได้ฟัง”ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ มือบางประคองถ้วยชาของตนไว้แนบอก“งั้นข้าจะฟังอย่างตั้งใจ”สายลมอ่อนพัดกลีบเหมยปลิวลงมาราวกับฝนโปรย เจิ้งหลินอวี่วางหนังสือลงแล้วหันมาสบตานางตรง ๆ“ซูฮวาอิ๋น ข้าสาบานต

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 35 งานแต่งเล็ก ๆ กลางหมู่บ้าน

    ฤดูใบไม้ผลิปีนั้นหมู่บ้านสะพานบัวอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งทั้งทุ่ง แสงแดดยามเช้าอาบไล้หลังคาฟางและรั้วไม้ไผ่จนเป็นสีทองอุ่น ผู้คนในหมู่บ้านต่างพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น เพราะวันนี้มิใช่วันธรรมดา แต่เป็นวันที่ทุกคนรอคอย...วันแต่งของแม่นางซูกับคุณชายเจิ้ง...แต่เดิมซูฮวาอิ๋นเคยเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ หากแต่งงานย่อมต้องหรูหราในจวนขุนนาง มีแขกเหรื่อนับร้อยนับพัน แต่ครานี้งานแต่งกลับเรียบง่ายที่สุดในชีวิต และนั่นคือสิ่งที่นางปรารถนาที่สุดเช้าตรู่ สตรีชาวบ้านหลายคนพากันมาช่วยแต่งตัวให้นางในเรือนเล็ก ๆ ผมยาวดำสนิทถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ประดับด้วยปิ่นไม้ไผ่แทนปิ่นทองคำ เสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีชมพูอ่อนถูกเย็บปักด้วยลายดอกบัวโดยมือของหญิงชราในหมู่บ้านเด็กหญิงตัวน้อยร้องอุทานเสียงใส“ท่านอาจารย์สวยราวกับเทพธิดาเลย!”ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ แก้มแดงระเรื่อ“ไม่หรอก ข้าเป็นเพียงสตรีธรรมดา แต่วันนี้เป็นวันที่หัวใจข้าเบิกบานที่สุด”ด้านนอกเรือน เจิ้งหลินอวี่สวมชุดผ้าป่านสีขาวสะอาด ผูกสายคาดเอวผ้าไหมที่ชาวบ้านช่วยกันทอ มือใหญ่ยังไม่คุ้นกับการยืนให้ใครแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่เมื่อเขาเงยหน้ามองทุ่งท

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 34 แขกจากวังหลวง

    เช้าวันหนึ่ง ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านสะพานบัวแจ่มใสเป็นพิเศษ ลมฤดูร้อนพัดเอื่อย กลีบดอกเหมยที่ปลิวจากสวนเล็ก ๆ ของซูฮวาอิ๋นโปรยลงตามทางดินราวกับโรยเกล็ดหิมะสีชมพูซูฮวาอิ๋นกำลังนั่งสอนเด็ก ๆ ที่ สวนที่ไม่มีประตู อย่างตั้งใจ เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วคลอไปกับเสียงพู่กันขีดลงบนกระดานไม้ทันใดนั้น เสียงเกือกม้าดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ตึก ตึก ตึก ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เด็กชายคนหนึ่งอุทานเสียงดัง“มีแขกมา!”กลุ่มทหารในชุดเกราะเบาม้าสีน้ำตาลเข้มปรากฏขึ้นตรงทางเข้าหมู่บ้าน ฝุ่นแดงคลุ้งขึ้นตามฝีเท้า พวกชาวบ้านเริ่มแตกตื่นเพราะไม่คุ้นเคยกับภาพเช่นนี้“พวกเขามาจากวังหลวงหรือ” เสียงกระซิบดังระงมผู้นำขบวนคือชายหนุ่มสง่างามในชุดผ้าไหมสีกรมท่า ปักลายมังกรเงินประดับไหล่ ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่แฝงความเด็ดขาด ดวงตาแหลมคมกวาดมองไปรอบ ๆซูฮวาอิ๋นเพียงเห็นเสี้ยวหน้า ก็จำได้ทันที หัวใจสั่นไหว องค์ชายรององค์ชายรองหยุดม้าที่กลางลาน แววตาคมกริบเมื่อสบเข้ากับซูฮวาอิ๋น ริมฝีปากยกยิ้มบาง“ในที่สุดข้าก็หาพบเจ้าแล้ว ฮวาอิ๋น”เด็ก ๆ รีบวิ่งไปหลบหลังเจิ้งหลินอวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ตัว ชาวบ้านต่างก้าวถอยเล็กน้

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 33 ชายทุ่งในยามพระจันทร์เต็มดวง

    คืนเดือนเพ็ญแรกของฤดูร้อน หมู่บ้านสะพานบัวสว่างด้วยแสงจันทร์กลมโตที่ลอยเหนือขอบเขา แสงสีเงินสาดลงบนทุ่งข้าวสาลีที่กำลังตั้งท้องเป็นระลอกคลื่นราวกับทะเลสีทอง เสียงแมลงกลางคืนขับขานประสานกับเสียงน้ำไหลใต้สะพานบัว เกิดเป็นท่วงทำนองสงบที่โอบกอดหัวใจผู้คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้หลังมื้อค่ำ เถาเซิ่งผู้ใหญ่บ้านจุดกองไฟกลางทุ่ง ชาวบ้านต่างมานั่งล้อมเป็นวงใหญ่ เด็ก ๆ วิ่งไล่จับกันจนเสียงหัวเราะดังลั่น บางคนร้องเพลงพื้นบ้าน บางคนตีกลองไม้ตามจังหวะสนุกสนาน กลายเป็นงานเล็ก ๆ ที่ทุกคนร่วมกันสร้างขึ้นเองซูฮวาอิ๋นยืนอยู่ริมทุ่ง ผ้าคลุมบางสะบัดไหวตามลม นางเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง พลันรู้สึกได้ถึงความเงียบสงบที่ต่างจากวังหลวงโดยสิ้นเชิง นี่คือความสุขแท้จริง เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหมายเจิ้งหลินอวี่เดินเข้ามาข้าง ๆ ร่างสูงสง่างามในชุดผ้าป่านสีเข้ม ดวงตาคมสะท้อนแสงจันทร์ เขายื่นถ้วยน้ำชาสมุนไพรให้นาง“ดื่มสิ คืนนี้อากาศแม้จะอุ่น แต่ลมก็ยังแรง”ซูฮวาอิ๋นรับถ้วยมา ดื่มคำเล็ก ๆ แล้วเงยหน้ามองเขา แสงจันทร์ทำให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนกว่าเคย“เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเราจะมีวันที่ได้ยืนอยู่ที่ทุ่งเช่นนี้ โด

  • บุปผาพันธนาการ   ตอนที่ 32 อาจารย์กับศิษย์ตัวน้อย

    แสงเช้าส่องลอดม่านหมอกบางเหนือหมู่บ้านสะพานบัว ไก่ขันตอบกันจากคอกโน้นถึงคอกนี้ เสียงครกตำข้าวดัง ตึก ตึก ตึก ประสานกับเสียงหัวเราะเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นริมทางดินในสวนที่ไม่มีประตู วันนี้คึกคักกว่าทุกวัน ซูฮวาอิ๋นนั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้เตี้ย ๆ ข้างกระดานดำที่ชาวบ้านช่วยกันทำขึ้น นางถือพู่กัน ขีดเส้นอักษรตัวใหญ่ ๆ ช้า ๆ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน“วันนี้เราจะเรียนเขียนคำว่าบ้านกันนะ”เด็ก ๆ ร้องตามเป็นเสียงเดียวกัน “บ้าน!”นางยิ้มบาง มองดวงตาใส ๆ ที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น“บ้าน ไม่ใช่แค่เรือนที่มีหลังคา หากคือที่ที่มีคนรอเรา มีเสียงหัวเราะ และมีความอบอุ่นอยู่ข้างใน”เด็กหญิงตัวน้อยที่เคยเขียนชื่อแม่ได้แล้ว ยกมือถาม“แล้วบ้านของท่านน้าซูอยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ”คำถามนั้นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง แต่แล้วริมฝีปากก็คลี่ยิ้มอ่อนโยน“บ้านของข้า...อยู่ที่ตรงนี้ อยู่กับทุกคน และอยู่กับคน ๆ หนึ่งที่ข้าคอยให้กลับมาทุกค่ำวัน”เสียงเด็ก ๆ หัวเราะคิกคัก บางคนหันไปแซว“ต้องเป็นคุณชายเจิ้งแน่ ๆ ใช่ไหม!”ใบหน้าของซูฮวาอิ๋นขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่ดวงตานางกลับเป็นประกายสว่างอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้ขณะเดียวกัน เจิ้งหลิน

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status