เรือนจำเงาหยกในยามย่ำค่ำคืนนั้นเงียบงันผิดธรรมดา ความเงียบที่เหมือนจะกลืนทุกเสียงให้จมหายอยู่ใต้ผืนดิน ทั้งที่ตะเกียงถูกจุดเรียงรายเหมือนดวงไฟเล็ก ๆ คอยค้ำยันท้องฟ้ามืดเหนือหัว แต่คล้ายหัวใจของคนในที่แห่งนี้กลับมืดกว่านั้น ราวกับมีมือใครกำลังปิดทับไม่ให้มันเต้น
ซูฮวาอิ๋นลืมตามองเงาไฟบนผนังหินที่ไหวระริก เงานั้นเหมือนกิ่งไผ่ยามลมหนาวสะบัดเบา ๆ แล้วกลับยืนนิ่ง จังหวะไหววูบเล็กน้อยพาให้ความทรงจำจมหายไปสู่บ่อเงียบ
ยามเมื่อผู้คนรอบกายผลักไส นางเคยถามตัวเองกี่หนว่าความเงียบมีเสียงหรือไม่ กระทั่งคืนนี้นางได้คำตอบ ความเงียบมีเสียง และเสียงนั้นคือเสียงของใจที่ยังไม่ยอมแพ้
เสียงฝีเท้ามั่นคงเท่ากันทุกก้าวค่อย ๆ ดังขึ้นจากปลายระเบียง เหมือนจังหวะพิณที่เดินเข้าใกล้ทีละคอร์ด เมื่อเงาร่างสูงปรากฏหลังแสงตะเกียง ซูฮวาอิ๋นก็รู้ได้โดยไม่ต้องเห็นหน้า ว่าเป็นเขา เจิ้งหลินอวี่
เขาหยุดยืนหน้าห้องขัง ริมตะเกียงสะท้อนสีเข้มของชุดขุนนางให้ขอบสาบเสื้อดูคมขึ้น ดวงหน้าเยือกเย็นอย่างที่เคย หากแววตากลับลึกจนยากจะอ่าน ลึกเหมือนบ่อน้ำในสวนหลวงที่ไม่รู้ว่าก้นอยู่ห่างเพียงใด
“ยามที่อยู่เงียบ ๆ เจ้าร้องเพลงไหม”
เขาเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก น้ำเสียงเท่ากับลมหายใจ ไม่เร่งเร้า ไม่ผ่อนคลาย ทว่าพาให้สายลมในห้องขังชะงัก
ซูฮวาอิ๋นยิ้มบาง “ยามอยู่เงียบ ๆ ข้ามักจะฟังเสียงหยดน้ำ”
เจิ้งหลินอวี่เหลือบมองขึ้น เพดานหินชื้นยังคงปล่อยหยดเล็ก ๆ ตกกระทบพื้นเป็นจังหวะ
“นับได้กี่หยด”
“มากพอที่จะผูกเป็นทำนองหนึ่งบท” นางตอบ “แต่ไม่มากพอจะทำให้ผู้คนลืมความตายของผู้ที่เป็นพยาน”
ความเงียบไหลผ่านรั้วเหล็กสั้น ๆ ก่อนเขาจะวางห่อผ้าขาวไว้หน้าช่องประตู
“ยานี้จืด ข้าขอให้หมอหลวงผสมตามตำรับ ช่วยลดอักเสบที่ข้อมือของเจ้าได้ ดื่มมันใส่หลังอาหาร”
ซูฮวาอิ๋นชำเลืองมองรอยช้ำจางที่ข้อมือของตน ร่องรอยโซ่ตรวนทิ้งเขี้ยวไว้ตั้งแต่คืนแรก นางรับห่อผ้ามาอย่างสงบ
“ขอบคุณใต้เท้าเจิ้ง”
“เรียกข้าว่าหลินอวี่ก็พอ”
เขาเอ่ยเสียงเรียบ พลางปรายตาทวนไปตามโถงเหมือนคนชินกับการให้หลังพิงกำแพงมากกว่าหันหลังให้ความมืด
“ในยามเช้า ข้าจะขอหมายค้นห้องเก็บป้ายตราอีกครั้ง และเรียกซิ่นกงกงมาสอบขยาย หมึกใหม่กับหมึกเก่าจะช่วยเล่าความจริงแทนเรา”
“หมึกยังเล่าได้ แล้วหัวใจเล่าจะยอมบอกความจริงไหม”
ซูฮวาอิ๋นเอ่ยถาม ดวงตาสุกใสวาวขึ้นในเงาไฟ
“หัวใจมักพูดคุยด้วยภาษาที่บันทึกไม่เข้าใจ” เขาตอบสั้น ๆ
“นั่นจึงทำให้คนสอบสวนต้องยอมโง่ โง่พอจะฟังแม้แต่เสียงที่ไม่ได้เปล่ง”
นางหัวเราะเบา ๆ “ขุนนางสอบสวนที่ยอมโง่เพื่อฟัง น้อยนักที่ข้าจะได้เห็น”
เจิ้งหลินอวี่ยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงกระดาษพับเล็ก ๆ ออกจากแขนเสื้อ ส่งผ่านช่องเหล็ก
“นี่คือบัญชีเวรขันทีอีกบัญชีหนึ่งที่ลับกว่าสำเนาซึ่งส่งให้ทุกตำหนัก ข้าได้มาจากคนของข้าเองที่ซ่อนอยู่ในกรมพิธีกรา ลองดูในช่องหนึ่งชั่วยามคืนวาน ชื่อเจียงเต๋อถูกขีดแล้วเขียนซ้ำ”
ปลายนิ้วของซูฮวาอิ๋นแตะลงที่กระดาษอย่างระมัดระวัง นางกวาดมองช้า ๆ ราวกับอ่านบทกวี
“ขีดแล้วเขียนซ้ำ หมายถึง มีใครสักคนไปพลิกเวลาย้อนหลัง ให้คน ๆ เดียวหายตัวได้สองแห่ง หรือโผล่สองแห่งได้พร้อมกัน”
ๆ“ใช่” เขากล่าว “และคืนนี้ ข้าต้องการให้เจ้าเปลี่ยนความเงียบของเจ้าเป็นมีด มีดของคำถาม”
“คำถามหรือ?” นางเงยหน้า
“เมื่อข้าพาเจียงเต๋อมาที่นี่ ข้าจะไม่ซักไซ้ เขาจะยืนอยู่ตรงราวนี้ เจ้าถามเพียงสามคำถาม คำถามที่เจาะทะลุเกราะคนโกหกได้ ต่อหน้าข้าและแสงตะเกียง”
ซูฮวาอิ๋นขยับกายตรงขึ้นเล็กน้อย ความนิ่งในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นความชัดเจนแบบคนที่ยอมรับคำท้าทาย
“สามคำถามหรือ ต้องถามเรื่องใด”
“เรื่องที่ไม่มีใครบันทึกไว้ในบันทึก” เจิ้งหลินอวี่บอก “ถามเรื่องกลิ่น เสียง หรือทิศทาง สิ่งที่ทำให้คนละเมอเผลอบอกความจริงโดยไม่รู้ตัว”
ซูฮวาอิ๋นก้มหน้าคิดในเงียบอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะเงยหน้าอีกครั้ง
“ตราบที่คำถามของข้าไม่ทำให้ท่านลำบาก ข้าก็จะถามเขา”
“ข้ายอมลำบากหากได้ยินเสียงที่ข้าตามหามานาน”
เขาหลุดประโยคที่ทั้งอ่อนและแข็งในเวลาเดียวกัน แล้วรีบกลบความพร่าในแววตาด้วยท่าทีเรียบเฉยดังเดิม
“ครึ่งชั่วยามให้หลัง ข้าจะพาเขามาที่นี่”
เขาหันกายจะจากไป แต่แล้วก็หยุด คลายสายผ้าคลุมไหล่ออกหนึ่งด้าน ส่งผ่านช่องเหล็กอีกครั้ง
“ผ้าคลุม ข้างนอกลมแรง”
“แล้วท่านเล่า” ซูฮวาอิ๋นเคาะมุมราวเบา ๆ “ให้ข้าเอาผ้าคลุมของขุนนางสอบสวนไปห่มเช่นนี้ จะร้อนรุ่มไหม”
“ข้าใช้ความคิดแทนความอุ่น” เขาโต้สั้น ๆ ทว่ามุมปากกระดิกน้อยจนเกือบมองไม่เห็น
“อีกครึ่งชั่วยาม”
ครึ่งชั่วยามนั้นยาวนานเหมือนครึ่งคืน ซูฮวาอิ๋นจับชายผ้าคลุมที่ส่งกลิ่นสนอ่อน ๆ ไว้บนตัก นางฟังเสียงหยดน้ำ บางหยดบรรจบกันกลางพื้นแล้วแตกกระเซ็นเหมือนดอกไม้น้ำ บางหยดตกกระทบโซ่เกิดเสียงเงียบ ๆ คล้ายสายพิณถูกงัดเบาที่สุด หากใครไม่มีใจจะฟัง ย่อมคิดว่าไม่มีเสียง
เสียงฝีเท้าหลายคู่ดังมาตามโถงในที่สุด สะท้อนแรงกว่าเดิมเพราะมีเหล็กของอาวุธสัมผัสกันอยู่ จังหวะที่คนหนึ่งนำ คนหนึ่งตาม และอีกสองคอยประกบ
เจิ้งหลินอวี่ปรากฏขึ้นพร้อมเจียงเต๋อ ขันทีร่างสูงเพรียว ใบหน้าเรียบไร้อารมณ์ตามแบบฝึกของผู้รับใช้ในวัง ทว่าแววตาของเขาแทบไม่กะพริบ เหมือนคนที่ฝึกใช้การนิ่งเป็นเกราะป้องกัน
เจิ้งหลินอวี่พยักหน้าให้ทหารถอยไปรอในระยะหนึ่ง แล้วจึงกล่าวเสียงแผ่วเรียบ
“สามคำถาม ถามเถิด”
ซูฮวาอิ๋นมองเจียงเต๋อผ่านซี่ราวเหล็ก เงาของราวแบ่งดวงหน้าชายผู้นั้นออกเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ นางรู้สึกถึงแรงต้านทานบางอย่าง ความเงียบแบบคนเคยชินกับการโกหกจนมันกลายเป็นที่พำนัก
“คำถามแรก” นางเอ่ยช้า ๆ “ในคืนงานเลี้ยง ที่โรงล้างภาชนะ กลิ่นอะไรแรงที่สุดในห้อง”
เจียงเต๋อขมวดคิ้วเพียงเสี้ยว แล้วตอบเร็วเกินคาด
“ผงซักล้าง”
ซูฮวาอิ๋นเหลือบยิ้ม “ผิด เพราะในห้องนั้นสายน้ำใช้จากบ่อด้านตะวันออก กลิ่นเฉพาะของมันคล้ายกับสาหร่ายขม น้ำในบ่อหลวงทางตะวันตกต่างหากที่มีกลิ่นผงซักล้างชัดเจน เหตุใดเจ้าจึงจำเป็นกลิ่นผงซักล้าง”
เจียงเต๋อสบตาเจิ้งหลินอวี่วูบหนึ่ง ก่อนตอบ “ข้าจำกลิ่นผิด”
“คำถามที่สอง” ซูฮวาอิ๋นไม่เปิดช่องว่างให้นาน “ยามที่เจ้าเดินถือกล่องผ้าขาวเข้าใกล้โต๊ะเสวยฝ่าบาท เสียงอะไรดังในท้องพระโรง”
เจียงเต๋อชะงักวูบน้อยกว่าครั้งแรก “กลองพิธี”
“ในยามนั้นไม่มีการตีกลองพิธี” ซูฮวาอิ๋นเอียงหน้าเล็กน้อย
“มีแต่เสียงขลุ่ยเดี่ยวเปิดทางให้การย้ายที่นั่งของอาคันตุกะต่างถิ่น กลองพิธีถูกเก็บตั้งแต่ครึ่งชั่วยามก่อนหน้า หรือว่าเจ้าหูตึง”
สายตาของเจิ้งหลินอวี่นิ่งสนิท นิ่งจนอ่านไม่ออกว่าชื่นชมคำถาม หรือใช้มันเป็นมีดต่อให้คมขึ้น
เจียงเต๋อขยับปลายนิ้ว ทว่าหยุดเมื่อเห็นแววตาทหารที่คุมเขาอยู่
“ข้า...ข้าจำคลาดเคลื่อน”
“คำถามสุดท้าย” ซูฮวาอิ๋นยกคางขึ้นน้อย ๆ “ตอนที่เจ้าเปิดกล่องผ้าขาวนั้นออก เจ้าเปิดจากด้านซ้ายหรือด้านขวา”
เจียงเต๋ออ้าปากจะตอบ ก่อนริมฝีปากจะปิดแน่น ริมคางเกร็งขึ้นคล้ายคนเพิ่งนึกถึงจุดที่ไม่น่าพลาด
“ซ้าย”
“ก็ผิดอีก” เสียงของนางนุ่มราวกรายดอกเหมย
“เพราะสายผูกของกล่องนั้นข้างหนึ่งสั้นกว่า การจะเปิดได้ต้องเริ่มจากขวา ถ้าเริ่มจากซ้าย แค่ปล่อยนิ้วเดียว ผ้าก็จะตกกระจาย ไม่ใช่ผูกแน่นอย่างที่ข้าเห็นเมื่อมันถูกนำมาให้ตรงหน้าโต๊ะเสวย”
เจียงเต๋อกัดฟันแน่น แววตาที่พยายามนิ่งเกิดสะท้อนแวบน้อย ๆ แวบของคนถูกแสงแทงเข้ารูม่านตา
เจิ้งหลินอวี่เอ่ยเสียงเรียบ “ผิดทั้งสามข้อ และผิดทั้งกลิ่น เสียง และทิศ ผิดทั้งหมดในส่วนที่ไม่มีบันทึกบนบันทึก”
เจียงเต๋อสูดหายใจแรง “ใต้เท้า ข้า...”
“ปิดปากไว้ก่อน” เจิ้งหลินอวี่หักคำ เขาหันไปสั่งทหาร “พาตัวเจียงเต๋อไปขังไว้ก่อน แยกขังเดี่ยว ห้ามพบผู้ใด และ...”
เขาเหลือบตามองซูฮวาอิ๋นชั่วครู่ “นำกล่องผ้าขาวที่กองคลังเก็บแบบไว้มาให้ข้าดู ตอนนี้!”
“ขอรับ!”
กลางดึกคืนนั้น ฟ้ากลับมืดครึ้มอย่างไม่ทันตั้งตัว สายลมแรงหอบเมฆดำเข้าปกคลุมหมู่บ้านสะพานบัว ฟ้าแลบสว่างวาบก่อนเสียงฟ้าร้องกึกก้องตามมา ฝนเม็ดโตโปรยลงไม่หยุดราวกับสวรรค์เทน้ำทั้งฟ้าเสียงสุนัขเห่าหอนดังระงม ผู้ใหญ่บ้านเถาเซิ่งรีบลุกขึ้นตะโกนปลุกชาวบ้านให้ช่วยกันปิดหน้าต่าง เก็บเสบียง และนำสัตว์เลี้ยงเข้าคอก ฝนถาโถมลงบนหลังคาฟางจนดังสนั่นในเรือนเล็ก ซูฮวาอิ๋นรีบจุดตะเกียง สวมเสื้อคลุมแล้วหันไปมองเจิ้งหลินอวี่ที่ยืนพิงประตู หน้าต่างไม้ถูกลมตีจนเปิดออกแทบหลุด“เจ้าคิดว่าจะร้ายแรงหรือไม่” นางถามด้วยเสียงสั่นน้อย ๆเจิ้งหลินอวี่เพ่งมองท้องฟ้ามืดสนิท ดวงตาคมวาวด้วยความเคร่งเครียด“เป็นพายุใหญ่แน่ เราต้องไปดูเขื่อนดินอีกครั้ง ไม่งั้นอาจซ้ำรอยเดิม”ซูฮวาอิ๋นใจหายวาบ “แต่กลางดึกเช่นนี้ ”เขาหันมาสบตานางตรง ๆ น้ำเสียงหนักแน่น“ข้าไม่ปล่อยให้หมู่บ้านนี้ตกอยู่ในอันตราย เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปเอง”นางก้าวเข้ามากุมแขนเขาแน่น“ไม่! เจ้าเคยเสี่ยงมาแล้วครั้งหนึ่ง ข้าไม่อาจนั่งรออยู่เฉยได้”สายตาของทั้งคู่ปะทะกันในแสงตะเกียงสลัว เสียงลมคำรามโอบล้อมรอบเรือน ราวกับฟ้ากำลังทดสอบคำมั่นที่เพิ่งให้กันกลางลานเ
ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปอย่างงดงาม ต้นเหมยที่หน้าสวนแตกกิ่งใบอ่อนสีเขียวชอุ่ม ดอกสีขาวและชมพูโรยลงบนลานดินจนดูราวกับปูพรมจากฟ้า เด็ก ๆ ที่มาเรียนหนังสือต่างวิ่งเล่นท่ามกลางกลีบเหมยร่วงด้วยเสียงหัวเราะสดใสวันนี้เป็นวันพักการสอน ซูฮวาอิ๋นจึงเตรียมกาน้ำชาและขนมถั่วตัดมานั่งเล่นกลางลานใต้ต้นเหมยใหญ่ นางสวมชุดผ้าฝ้ายสีอ่อน ผมถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ใบหน้าที่เคยผ่านทุกข์ยากกลับฉายความสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเจิ้งหลินอวี่เดินเข้ามาเงียบ ๆ ในมือถือหนังสือเก่าเล่มหนึ่ง เขานั่งลงเคียงข้าง มองเด็ก ๆ ที่วิ่งไล่จับกันอยู่ไกล ๆ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม“นานมาแล้ว ข้าเคยคิดว่าชีวิตข้ามีไว้เพียงแบกหน้าที่ แต่วันนี้ ข้ารู้แล้วว่าหน้าที่ของข้าจริง ๆ คือการอยู่เคียงข้างเจ้า”ซูฮวาอิ๋นยกถ้วยชาให้เขา ดวงตาสุกใสสะท้อนแสงแดดอุ่น“ท่านพูดเหมือนจะสารภาพคำมั่นอะไรสักอย่าง”เจิ้งหลินอวี่ยกคิ้วเล็กน้อย “ก็ใช่ วันนี้ข้าอยากให้เจ้าได้ฟัง”ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ มือบางประคองถ้วยชาของตนไว้แนบอก“งั้นข้าจะฟังอย่างตั้งใจ”สายลมอ่อนพัดกลีบเหมยปลิวลงมาราวกับฝนโปรย เจิ้งหลินอวี่วางหนังสือลงแล้วหันมาสบตานางตรง ๆ“ซูฮวาอิ๋น ข้าสาบานต
ฤดูใบไม้ผลิปีนั้นหมู่บ้านสะพานบัวอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งทั้งทุ่ง แสงแดดยามเช้าอาบไล้หลังคาฟางและรั้วไม้ไผ่จนเป็นสีทองอุ่น ผู้คนในหมู่บ้านต่างพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น เพราะวันนี้มิใช่วันธรรมดา แต่เป็นวันที่ทุกคนรอคอย...วันแต่งของแม่นางซูกับคุณชายเจิ้ง...แต่เดิมซูฮวาอิ๋นเคยเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ หากแต่งงานย่อมต้องหรูหราในจวนขุนนาง มีแขกเหรื่อนับร้อยนับพัน แต่ครานี้งานแต่งกลับเรียบง่ายที่สุดในชีวิต และนั่นคือสิ่งที่นางปรารถนาที่สุดเช้าตรู่ สตรีชาวบ้านหลายคนพากันมาช่วยแต่งตัวให้นางในเรือนเล็ก ๆ ผมยาวดำสนิทถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ประดับด้วยปิ่นไม้ไผ่แทนปิ่นทองคำ เสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีชมพูอ่อนถูกเย็บปักด้วยลายดอกบัวโดยมือของหญิงชราในหมู่บ้านเด็กหญิงตัวน้อยร้องอุทานเสียงใส“ท่านอาจารย์สวยราวกับเทพธิดาเลย!”ซูฮวาอิ๋นหัวเราะเบา ๆ แก้มแดงระเรื่อ“ไม่หรอก ข้าเป็นเพียงสตรีธรรมดา แต่วันนี้เป็นวันที่หัวใจข้าเบิกบานที่สุด”ด้านนอกเรือน เจิ้งหลินอวี่สวมชุดผ้าป่านสีขาวสะอาด ผูกสายคาดเอวผ้าไหมที่ชาวบ้านช่วยกันทอ มือใหญ่ยังไม่คุ้นกับการยืนให้ใครแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่เมื่อเขาเงยหน้ามองทุ่งท
เช้าวันหนึ่ง ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านสะพานบัวแจ่มใสเป็นพิเศษ ลมฤดูร้อนพัดเอื่อย กลีบดอกเหมยที่ปลิวจากสวนเล็ก ๆ ของซูฮวาอิ๋นโปรยลงตามทางดินราวกับโรยเกล็ดหิมะสีชมพูซูฮวาอิ๋นกำลังนั่งสอนเด็ก ๆ ที่ สวนที่ไม่มีประตู อย่างตั้งใจ เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วคลอไปกับเสียงพู่กันขีดลงบนกระดานไม้ทันใดนั้น เสียงเกือกม้าดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ตึก ตึก ตึก ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เด็กชายคนหนึ่งอุทานเสียงดัง“มีแขกมา!”กลุ่มทหารในชุดเกราะเบาม้าสีน้ำตาลเข้มปรากฏขึ้นตรงทางเข้าหมู่บ้าน ฝุ่นแดงคลุ้งขึ้นตามฝีเท้า พวกชาวบ้านเริ่มแตกตื่นเพราะไม่คุ้นเคยกับภาพเช่นนี้“พวกเขามาจากวังหลวงหรือ” เสียงกระซิบดังระงมผู้นำขบวนคือชายหนุ่มสง่างามในชุดผ้าไหมสีกรมท่า ปักลายมังกรเงินประดับไหล่ ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่แฝงความเด็ดขาด ดวงตาแหลมคมกวาดมองไปรอบ ๆซูฮวาอิ๋นเพียงเห็นเสี้ยวหน้า ก็จำได้ทันที หัวใจสั่นไหว องค์ชายรององค์ชายรองหยุดม้าที่กลางลาน แววตาคมกริบเมื่อสบเข้ากับซูฮวาอิ๋น ริมฝีปากยกยิ้มบาง“ในที่สุดข้าก็หาพบเจ้าแล้ว ฮวาอิ๋น”เด็ก ๆ รีบวิ่งไปหลบหลังเจิ้งหลินอวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ตัว ชาวบ้านต่างก้าวถอยเล็กน้
คืนเดือนเพ็ญแรกของฤดูร้อน หมู่บ้านสะพานบัวสว่างด้วยแสงจันทร์กลมโตที่ลอยเหนือขอบเขา แสงสีเงินสาดลงบนทุ่งข้าวสาลีที่กำลังตั้งท้องเป็นระลอกคลื่นราวกับทะเลสีทอง เสียงแมลงกลางคืนขับขานประสานกับเสียงน้ำไหลใต้สะพานบัว เกิดเป็นท่วงทำนองสงบที่โอบกอดหัวใจผู้คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้หลังมื้อค่ำ เถาเซิ่งผู้ใหญ่บ้านจุดกองไฟกลางทุ่ง ชาวบ้านต่างมานั่งล้อมเป็นวงใหญ่ เด็ก ๆ วิ่งไล่จับกันจนเสียงหัวเราะดังลั่น บางคนร้องเพลงพื้นบ้าน บางคนตีกลองไม้ตามจังหวะสนุกสนาน กลายเป็นงานเล็ก ๆ ที่ทุกคนร่วมกันสร้างขึ้นเองซูฮวาอิ๋นยืนอยู่ริมทุ่ง ผ้าคลุมบางสะบัดไหวตามลม นางเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง พลันรู้สึกได้ถึงความเงียบสงบที่ต่างจากวังหลวงโดยสิ้นเชิง นี่คือความสุขแท้จริง เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหมายเจิ้งหลินอวี่เดินเข้ามาข้าง ๆ ร่างสูงสง่างามในชุดผ้าป่านสีเข้ม ดวงตาคมสะท้อนแสงจันทร์ เขายื่นถ้วยน้ำชาสมุนไพรให้นาง“ดื่มสิ คืนนี้อากาศแม้จะอุ่น แต่ลมก็ยังแรง”ซูฮวาอิ๋นรับถ้วยมา ดื่มคำเล็ก ๆ แล้วเงยหน้ามองเขา แสงจันทร์ทำให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนกว่าเคย“เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเราจะมีวันที่ได้ยืนอยู่ที่ทุ่งเช่นนี้ โด
แสงเช้าส่องลอดม่านหมอกบางเหนือหมู่บ้านสะพานบัว ไก่ขันตอบกันจากคอกโน้นถึงคอกนี้ เสียงครกตำข้าวดัง ตึก ตึก ตึก ประสานกับเสียงหัวเราะเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นริมทางดินในสวนที่ไม่มีประตู วันนี้คึกคักกว่าทุกวัน ซูฮวาอิ๋นนั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้เตี้ย ๆ ข้างกระดานดำที่ชาวบ้านช่วยกันทำขึ้น นางถือพู่กัน ขีดเส้นอักษรตัวใหญ่ ๆ ช้า ๆ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน“วันนี้เราจะเรียนเขียนคำว่าบ้านกันนะ”เด็ก ๆ ร้องตามเป็นเสียงเดียวกัน “บ้าน!”นางยิ้มบาง มองดวงตาใส ๆ ที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น“บ้าน ไม่ใช่แค่เรือนที่มีหลังคา หากคือที่ที่มีคนรอเรา มีเสียงหัวเราะ และมีความอบอุ่นอยู่ข้างใน”เด็กหญิงตัวน้อยที่เคยเขียนชื่อแม่ได้แล้ว ยกมือถาม“แล้วบ้านของท่านน้าซูอยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ”คำถามนั้นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง แต่แล้วริมฝีปากก็คลี่ยิ้มอ่อนโยน“บ้านของข้า...อยู่ที่ตรงนี้ อยู่กับทุกคน และอยู่กับคน ๆ หนึ่งที่ข้าคอยให้กลับมาทุกค่ำวัน”เสียงเด็ก ๆ หัวเราะคิกคัก บางคนหันไปแซว“ต้องเป็นคุณชายเจิ้งแน่ ๆ ใช่ไหม!”ใบหน้าของซูฮวาอิ๋นขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่ดวงตานางกลับเป็นประกายสว่างอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้ขณะเดียวกัน เจิ้งหลิน