เจียเย่ไม่รู้ว่าควรภาคภูมิใจหรือเสียใจที่วิชานี้ได้ผลดีเกินไป ถึงขั้นสลับวิญญาณกับสตรีต่างถิ่นแดนไกล“หลิ่งหลิน ที่แท้ สวีหลิงเยี่ยนเป็นเจ้า”เจียเย่ถามพลางยิ้มเหี้ยม นี่คือเรื่องบ้าที่สุดในชีวิต ผิดพลาดอย่างยิ่ง “ที่แท้วิญญาณหลิ่งหลินเข้าสิงนังหนูนี่ ฮ่าๆ” เจียเย่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง นางไม่อยากเชื่อ หลิ่งหลินถอนหายใจเฮ้อ ปิดบังไม่ได้อีกต่อไปสินะทันใดนั้นเจียเย่พลันหยุดหัวเราะ แววตาเปลี่ยนผัน คล้ายมีปีศาจซุกซ่อนอยู่ด้านใน แล้วปีศาจตัวนั้นก็เผยโฉมออกมาในเสี้ยวเวลา“ในเมื่อเจ้ามีวิญญาณหลิ่งหลินอยู่ในร่างนี้ เช่นนั้น ร่างเก่าย่อมเป็นวิญญาณคนอื่นสินะ อา...ไม่สิ ย่อมต้องเป็นวิญญาณของนังเด็กสาวอ่อนแอไร้ค่านามว่าสวีหลิงเยี่ยน” พูดแล้วเจียเย่ก็หัวเราะอีกครั้งดังฮ่าๆยิ่งกว่าเดิม คล้ายคนบ้าหลิ่งหลินกลอกตา สงสัยเจียเย่จะบ้าไปแล้วจริงๆฉับพลันเจียเย่หยุดหัวเราะหุบปากฉับ สืบเท้าขยับเข้าใกล้หลิ่งหลิน ยิ้มเยื้อนเลือดเย็นเอ่ยอย่างคลุมเครือ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมดีไม่น้อย...”หลิ่งหลินหรี่ตา “เจ้าจะทำอะไรไม่ทราบ”“ถามได้” เจียเย่แค่นเสียงหยัน “เป้าหมายของข้าไม่ใช่ร่างสวีหลิงเยี่ยนเสีย
พิษค่อยๆ ซึมจากปลายนิ้วสู่ปลายเข็มในเนื้อหนัง อาหวู่ถูกตรึงจนแน่นิ่ง ค่อยๆ ซึมเซื่องลงอย่างช้าๆ ทว่ากำลังภายในกลับลดทอนหดหายรวดเร็วถนัดตา บ้าจริง!หลิ่งหลินแค่นยิ้มว่า “เจ้าใช้ชื่อเสียงอาจารย์ของตนมาหากินอีกแล้วกระมัง อะไรนะ ชนะร้อยแพ้เพียงหนึ่ง เฮอะ! น่ารังเกียจจริงๆ”อาหวู่เบิกตากว้างกว่าเดิม ตกใจยิ่ง เรื่องนี้แท้จริงมีคนรู้น้อยมาก เขาจึงมั่นใจว่าไม่มีทางล่วงรู้มาถึงแคว้นต้าอัน ยิ่งคาดไม่ถึงว่าคนที่นี่ สถานที่ห่างไกลปานนี้ จะมีใครรู้คำโป้ปดเพื่อหาเงินของเขา “จ่ะ เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงรู้เรื่องข้าเยอะนัก อา ไม่สิ เจ้าคงเป็นคนของนางมารหลิ่ง!” นอกจากอาจารย์ของเขาก็มีเพียงประมุขไพรีพิฆาตที่รู้อีกเช่นกัน พวกท่านเป็นสหายกัน อาหวู่ลนลานย้ำถาม “เจ้าเป็นคนของนางมารหลิ่งจริงๆ สินะ มิน่าเล่าถึงเก่งยิ่ง” หลิ่งหลินแค่นเสียงเย็น “นั่นไม่ใช่ประเด็น บอกมา ผู้ว่าจ้างให้เจ้าทำสิ่งใด”“เอ่อ...”สภาพของเขายามนี้ ไหนเลยจะโกหกได้อีกต่อไป ชายหนุ่มจึงยอมพูดตามตรง “สังหารองค์ชายสี่ จ้าวหมิงอวี่”นึกแล้วเชียว นางถามต่อ “ใครคือผู้ว่าจ้าง”อาหวู่อยากร่ำไห้นัก “ข้าจะรู้ได้อย่างไร ผู้ติดต่อข้าเป็นแค่นาง
เชิงเขาเป่ยซานทิวทัศน์งดงามดุจแดนเทพสวรรค์ เต็มไปด้วยพืชไม้นานาพันธ์บนผาสูงชันตระการตา ภาพของน้ำตกเสียงดังซูซ่าแผ่ซ่านละอองนั้นยิ่งเสริมให้รู้สึกเหมือนตนเป็นเซียนจริงๆ มวลเมฆคล้ายอยู่ใต้ฝ่าเท้า ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนล่องลอยได้กระนั้น หลังเสร็จสิ้นช่วงพิธีการ ทุกคนจึงได้สิทธิ์ทัศนาจรร่วมชื่นชมธรรมชาติ จินตนาการทั้งหลายที่คิดไว้ก่อนหน้าพลันพร่างพรูไม่หยุด พวกเขาร่วมชื่นชมมิสิ้นสุดแม้จะบอกว่าร่วมชื่นชม แต่แท้จริงนั้น ทุกคนกลับแยกย้ายกระจายตัวไปคนละทิศละทาง จมดิ่งทัศนาแห่งตน งานวันนี้สวีหย่งกังซึ่งเป็นศิษย์สำนักศึกษาหลวง ย่อมมาด้วย ทว่าเขาที่เห็นพี่สาวต่างมารดาหลายครา กลับทำเป็นมองเมินคล้ายไม่เห็นเลยสักครั้ง ถึงอย่างไร นางก็ไม่มีสิ่งใดให้เขาโอ้อวดได้ ไยต้องทักทายให้อับอายหลิ่งหลินเองก็เห็นเขาเช่นกัน แต่นางไม่สนใจเขาเลย น้องชายไม่ได้เรื่องผู้นี้รู้สึกอันใดต่อสวีหลิงเยี่ยนคนเก่า ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนางทั้งสิ้นหญิงสาวหันมองรอบกาย ท่ามกลางผู้คนมากมาย ยามนี้นางแต่งกายงดงามแต่กลับกลมกลืนยิ่ง หลิ่งหลินจึงแทรกซึมทุกทิศเดินไปเดินมาได้ทั่วงาน สังเกตการณ์อย่างแนบเนียน
ไป๋มู่เจ๋อไม่สน เพียงเลิกคิ้ว แววตาข่มขู่ “คุยอันใด?”“เรื่องส่วนตัว”“เรื่อง?”“ไม่บอก”“ต้องบอก!”สองบุรุษจ้องหน้ากันเขม็ง หลิ่งหลินที่ถูกเบียดออกแต่กลับเสมือนถูกตรึงให้ยืนแช่แข็งบนหอคอยสูงค่ารอเพียงก้มลงเอื้อมมือคว้าบุรุษทุกคนที่ต้องใจนี่คือศึกแย่งชิงหนึ่งสตรีอย่างไม่ต้องสงสัยเฮ้อ...รู้สึกสะสวยอันใดเช่นนี้“รู้สึกดีปานนั้น?” สุ้มเสียงเย็นชาดังขึ้นที่ข้างหู หลิ่งหลินให้รู้สึกขนลุกซู่ นางหันขวับ พลันแก้มตนเกือบชนกับสันกรามของอีกคน ในระยะที่ใกล้ชิดนี้สายตานางพลันปะทะกับสายตาคมกริบจ้าวหมิงอวี่!หญิงสาวยิ้มแห้ง รีบดึงใบหน้าตนออกห่างจากใบหน้าหล่อเหลาที่เย็นเฉียบชวนขนลุกยิ่งกว่าใครในใต้หล้า“ไม่ได้รู้สึกดีขนาดนั้น ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย” นางเฉไฉ“มาขึ้นรถม้า” เขาสั่งหลิ่งหลินรีบเดินตามอย่างเชื่อฟังแต่เหตุใดนางต้องเชื่อฟังด้วยเล่า? “ขึ้นไป” เขาสั่งอีก หลิ่งหลินกลอกตาดื้อรั้น กระนั้นนางกลับทำตามอย่างไม่รู้คำตอบในคำถามของตน ไฉนต้องเชื่อฟังเขา?หญิงสาวเปิดผ้าม่านรถม้าเข้าไปนั่งแต่โดยดีด้านใน ฟ่านเจินที่นั่งอยู่ก่อนเขยิบเข้ามาใกล้ แย้มยิ้มส่งให้พลางกระซิบเปรียบเปรยชี้นำ “เจ้าเหมือนภรรยา
“นั่นสิ บอกมานะ”“บอกมาๆ”กลุ่มศิษย์หญิงห้อมล้อมรุกเร้า แต่หลิ่งหลินไม่บอก เพียงเดินออกไปอีกทาง ทำท่าหนีให้เหล่าสตรีไล่ตาม ทำเอาเจียเย่ถูกเบียดจนกระเด็นแทบล้มคะมำ “อ๊ะ!” หลิ่งหลินลอบชำเลืองมองทางหางตาอย่างสาสมใจเป็นเช่นที่เห็น ที่นี่ไม่เหมาะต่อการ ‘ฆ่าคน’ จริงๆ เรือนหงซิ่ว“พิธีเซ่นไหว้ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักศึกษาหรือ?” หลิ่งหลินถามฟ่านเจินขณะมองหนังสือกำหนดพิธีการในมือ“อืม...” ฟ่านเจินวางถ้วยชาลงแล้วกินขนมต่อ “องค์ชายสี่กำลังเตรียมตัว เจ้าเองก็ต้องเตรียมตัวไปเช่นกัน พิธีของสำนักศึกษาหลวงปีนี้ ศิษย์ทุกคนในตำหนักหมิงเฟิ่งล้วนมีสิทธิ์เข้าร่วม สถานที่คือเป่ยซาน ที่นั่นภูเขาสูงน้ำใส ทิวทัศน์งดงามไร้ที่ติ หลังพิธีการเสร็จสิ้น ทุกคนย่อมได้ทัศนาจรร่วมชื่นชมธรรมชาติเพื่อความสามัคคีปรองดอง”หลิ่งหลินรับฟังนิ่งๆ ไม่ออกความคิดเห็นเรื่องนั้น เพียงแต่กำลังสงสัยว่า จ้าวหมิงอวี่จะรู้ตัวหรือไม่ สถานที่ที่ผู้คนแน่นขนัดอึกทึกวุ่นวายแต่พวกเขากลับสนใจเพียงการพักผ่อนร่ำสำราญจดจ่อแค่สุนทรีภาพของตน...สถานที่เช่นนั้น เหมาะแก่การถูกลอบสังหารปานใดภูเขาสูงน้ำใสย่อมหมายถึงผาชันเหวลึกน้ำหลาก หากมีใครร่ว
พ้นรุ่งอรุณจนถึงยามเฉิน[1] แสงแดดอ่อนจาง สายลมโชยเอื่อย อุทยานตำหนักหมิงเฟิ่งวันนี้อากาศดียิ่ง เหมาะแก่การเดินเล่นย่อยอาหารมื้อเช้า ดังนั้นเมื่อมีรับสั่งให้องค์ชายสี่เข้าเฝ้า ทั้งฟ่านเจิ้ง ฟ่านเจินล้วนติดตามไปด้วย หลังมื้ออาหารหลิ่งหลินจึงได้เดินเล่นในสวนเพียงลำพัง ยังนับว่าคลายความอึดอัดได้บ้างอาหารเช้าของเรือนหมิงอันอร่อยล้ำอยู่หรอก แต่การกินร่วมกับจ้าวหมิงอวี่นั้นทำให้นางตื่นเต้นไม่น้อย นานแล้วที่พวกเราไม่ได้นั่งกินข้าวด้วยกัน ตอนนั้นทั้งนางและเขาพูดคุยรู้ใจ นานวันเข้า เราสองก็เริ่มรู้สึกดี ครั้นพอรู้ว่าผู้อาวุโสในหุบเขาต้องการสิ่งใดจากความสัมพันธ์นี้ระหว่างนางกับเขา...ความคิดหยุดลงแค่นั้น หลิ่งหลินทอดถอนใจคะนึง บางอย่างไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาดย่อมเกิดความยุ่งยากมิสิ้นสุดทั้งที่เมื่อก่อน ตอนนั้น นางปลงตกแล้วเชียว เหตุใดยามนี้ นางถึงเอาแต่คิดถึงจ้าวหมิงอวี่หญิงสาวร้องเฮ้อ ทำท่าจะเดินไปนั่งใต้ต้นเหมย ปลดปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปกับสายลมเยี่ยงสาวน้อย กลับมีสตรีผู้หนึ่งเดินออกจากพุ่มไม้ ขวางทางนางไว้“คุณหนูสวี”ทักทายพร้อมรอยยิ้มคลุมเครือนางคือ เจียเย่! หลิ่งหลินหันมอง แสร้งตกใ