เมื่อถึงวันแข่งขัน ศิษย์ทุกคนในชั้นเรียนของอาจารย์ซ่งจวินเดินทางเข้ามายังจวนเหลียน ขุนนางใหญ่ผู้เป็นตัวแทนจัดสถานที่คัดเลือก
วันนี้เหล่าบุรุษล้วนแต่งกายสง่างามภูมิฐาน ส่วนเหล่าสตรีต่างพากันแต่งกายสะสวยสะคราญโฉมยิ่งกว่านางสวรรค์บนชั้นฟ้า
แต่ละคนประเทืองผิวดีเยี่ยมประโคมเครื่องประดับและเสื้อผ้าสีสันตระการตา เรียกได้ว่ามีครบทุกสีในใต้หล้า ทุกชุดล้วนเป็นของใหม่ ชุดที่ใครก็ไม่เคยเห็นพวกนางสวมใส่
โดยเฉพาะว่านลู่ชิง นางแต่งตัวแต้มชาดหยาดเยิ้ม เสื้อผ้าอาภรณ์มีลวดลายทั้งอ่อนช้อยและประณีตบรรจง เรียกได้ว่าสวยสดงดงามไร้ที่ติ คล้ายต้องการรับคัดเลือกให้เป็นพระสนมมิใช่สหายร่วมเรียนกระนั้น
คงมีเพียงหลิ่งหลินที่แต่งชุดสีแดงปานเพลิงตัวเดิม ซื้อใหม่ทำไมสิ้นเปลือง!
บรรดาศิษย์ทุกคนรวมตัวกันที่ลานประลองฝีมือ เหนือลานพิธีมีแท่นประธาน องค์ชายสี่ผู้ลือเลื่องเรื่องรูปโฉมต้องมานั่งประทับอยู่ตรงนั้น
พวกเขาล้วนตั้งตารอคอยอย่างใจจดจ่อ ปรารถนายลโฉมเหลือเกิน
“องค์ชายสี่เสด็จ...”
เสียงขันทีดังขึ้น ดึงสายตาทุกคนให้หันมองทันที แน่นอนว่าล้วนตรึงความสนใจของพวกเขาได้ชะงัดทันใด
บนทางเดินริมระเบียงเหนือลานพิธีการประลองค่อยๆ ปรากฏองค์ชายหนุ่มรูปงามเรือนกายสูงสง่าโดดเด่นเดินออกมาอย่างองอาจผึ่งผาย
พระองค์อยู่ในชุดแพรสีม่วง ปักลายซับซ้อนสมจริง เส้นผมมัดรวบไปด้านหลังครึ่งศีรษะเผยใบหน้าขาวคมคายดุจหยกสลัก จมูกโด่งคมสัน คิ้วหนา ดวงตาที่พราวเสน่ห์นั้นทั้งคมเข้มและเป็นสีดำขลับดุจราตรีกาลอันมืดมิดแลดูลึกลับและเย็นชาแลดูไม่น่าเข้าใกล้ทว่ากลับดึงดูดให้ค้นหาอย่างยิ่ง ริมฝีปากแดงเรื่อกว่าคนทั่วไปเล็กน้อยนั้นยั่วยวนชวนจุมพิตด้วยเสน่หา
ทุกอย่างบนใบหน้าของพระองค์ดุจภาพวาดที่สวรรค์บรรจงสรรสร้าง สมบูรณ์แบบปานนั้น สง่างามราวกับไม่ใช่มนุษย์ ใบหน้าหล่อเหลาเสียจนทำเอาสตรีต่างมองอย่างทอดถอนใจด้วยความปรารถนาทอดกายไร้ที่เปรียบ
ไม่เว้นแม้แต่หลิ่งหลิน
หญิงสาวตกตะลึงพรึงเพริดมิคลาย
บุรุษหนุ่มผู้ที่มีใบหน้างดงามโดดเด่นเหนือสามัญ ชนิดที่ว่ามีหนึ่งไม่มีสองเช่นนั้นย่อมหาคนเหมือนได้ยากยิ่ง
ยิ่งจ้องยิ่งใช่! ชัดเลย!
จ้าวหมิงอวี่
ริมฝีปากสีแดงสด คิ้วกระบี่ได้รูป ดวงตาคมกล้า จมูกโด่งสัน สันกรามทรงเสน่ห์ รอยยิ้มชวนมอง
แน่นอนว่ายามนี้เขามิได้ยิ้ม แต่นางเคยเห็นมาแล้ว รอยยิ้มของเขาที่เคยมีให้นางเพียงคนเดียว
บุรุษหนุ่มผู้แข็งกร้าวเย็นชาทว่ากลับคลุ้มคลั่งในรักถึงขั้นยอมให้นางสะบั้นเส้นลมปราณทำลายวรยุทธ์เพื่อพิสูจน์ความรู้สึกของหัวใจ
ภาพเหตุการณ์ในหุบเขาปีศาจจากความทรงจำค่อยๆ ผุดพรายคล้ายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน
ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว
กลางฤดูหนาวที่ริมผา บุรุษหนุ่มรูปงามยืนตระหง่าน ร่างสูงสง่าดุจรูปสลักศิลาของเขาต้านทานแรงลมมิไหวเอน เขากำลังประจันหน้ากับสตรีชุดแดงปานเพลิงด้วยแรงโทสะ ทว่าดวงตาคมเข้มกลับเต็มไปด้วยแววบีบคั้นระคนตัดพ้อ รอเพียงได้รับการพยักหน้า ทว่ากลับได้ยินแต่คำว่า ‘ไม่’
หลิ่งหลินก้มหน้าค่อยๆหลับตาลง แต่ยังคงเห็นเพียงภาพของจ้าวหมิงอวี่ที่คำรามเสียงขื่นแต่ดุดันต่อหน้านางว่า
‘ข้าชอบเจ้า หลิ่งหลิน ไม่แต่งงานกับเขาได้หรือไม่ หลิ่งเฮ่อไม่ได้รักเจ้า ไปกับข้าเถอะ แต่งงานกับข้า’
‘ไม่’
‘ข้าเป็นถึงองค์ชาย เจ้าแต่งกับข้าไม่มีทางลำบาก’
‘สูงศักดิ์แล้วอย่างไร? ใครสน!’
‘เช่นนั้นข้าสละฐานันดร เพื่อเจ้า’
‘ข้าไม่สน ท่านจงไปเสียตอนที่ยังมีโอกาส หาไม่! ข้าจะหักขาท่านซะ’
‘หลินหลิน...’
และใช่! นางรู้สึกหวั่นไหวกับเขา
แต่จะให้ทำอย่างไร?
นางทำตามหัวใจตัวเองไม่ได้!
วันนั้นนางต้องเข้าพิธีแต่งงานกับหลิ่งเฮ่อให้เสร็จสิ้นจึงลงมือกับเขารุนแรงเกินไป
แต่เขาเก่งกาจมากฝีมือปานนั้น เอาชนะนางก็ยังได้ ไฉนไม่หลบเลี่ยงเล่า?
ชอบนางที่เป็นสตรีอายุมากกว่าหลายปีก็แล้วไปเถิด แต่ยอมให้นางทำร้ายปางตาย เขามันบ้า!
[1]เวลาประมาณ 13.15 น.
หลิ่งหลินไม่สนใจสายตาสื่อนัยนั่นเพียงลุกขึ้นยืน กล่าวฉะฉาน “เรียนท่านอาจารย์ตามตรง ข้ามีปัญหาที่บ้านต้องสะสางเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังอ่านตำรามิได้ละเลย ตำราที่อ่านล่วงหน้านอกชั้นเรียนล้วนเป็นของอาจารย์เฉา และข้าก็ได้พบว่าบทกวีที่อาจารย์รังสรรค์ออกมาช่างน่าทึ่ง สำนวนละเมียดละไม สะสวยราวบุปผาผลิบาน ข้าอ่านแล้วให้รู้สึกจิตใจเบิกบานเหลือเกิน สุขสำราญเสียจนสามารถคลายทุกข์ที่เพิ่งประสบพบเจอที่บ้าน ข้าจึงเร่งสะสางปัญหา แล้วรีบมาทันที ยามนี้แม้เหนื่อยล้าแทบขาดใจก็ยังต้องการเข้ามาเรียนวิชากับท่านให้จงได้เจ้าค่ะ”กล่าวจบก็ไม่เว้นช่วงปล่อยเวลาชักช้ามากความ นางร่ายกลอนในบทกวีที่ท่องมาทันที “เหมันต์ผุดเกล็ดน้ำแข็งค้างกระจ่างขาว ราตรีไร้ดาว ทิวาไร้ตะวัน ไม่มีแสงเฉิดฉายกระจ่างใจ เพียงสกุณนาขับขานระรานรื่น ย่อมปลุกจิตวิญญาณปราชญ์ให้ฟื้นตื่นคืนสติ”หลิ่งหลินร่ายกลอนบทต่อบทไปเรื่อยๆ “บุปผาจันทรา ลมบูรพา ธาราหลั่งไหลเคียงคีรี คืนวันหมุนเวียน คนชรา สกุณาปีกกล้า ท้านภา โผผินบินทะยาน มิหวนมา วิญญูชนผงาดกล้า นำคุณธรรมค้ำฟ้า โลกามิไร้ผู้ค้ำจุน...” นางท่องได้ทุกบทด้วยสีหน้าภาคภูมิใจเป็นล้นพ้น จนคนแต่งบท
หลิ่งหลินจึงเดินนวยนาดเข้าไปนั่งยังโต๊ะเก้าอี้ที่ว่างโดยไม่สนใจมองสีหน้าผู้ใดทั้งนั้นยังคงเป็นว่านลู่ชิงที่ยื่นปากยื่นคางจากโต๊ะด้านข้าง “เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าควรกลับจวนสวีไปดีกว่า หากยังฝืนมาเรียนทั้งที่ตัวเองล่าช้า อาจจะเป็นการเพิ่มภาระให้ศิษย์คนอื่น ข้าขอเตือนด้วยหวังดีหรอกนะ” แท้จริงนางอยากไล่สวีหลิงเยี่ยนให้ไปไกลๆต่างหาก ทั้งฉู่เฉิงและองค์ชายสี่มองนางนานปานนั้น! ฮึ!ว่านลู่ชิงเหยียดปากว่าต่อ “เยี่ยนเอ๋อร์สหายรัก ข้าเป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน”หลิ่งหลินจึงเหยียดปากยิ้มอย่างเสแสร้งเฉกเดียวกัน ขณะกระซิบกลับ “ชิงเอ๋อร์คนดี ไม่ควรมารยาสาไถยเกินไป ประเดี๋ยวปากฉีกเลือดสาดไม่รู้ตัวนะ”“...!?” ว่านลู่ชิงตาโต สมองตื้อไปชั่วขณะ “จ่ะ เจ้า” โมโหก็โมโหแต่แปลกใจมากกว่า สวีหลิงเยี่ยนเปลี่ยนแปลงเกินไปแล้วนอกจากลุกขึ้นมาแต่งตัวสีสันฉูดฉาดยังไร้มารยาท พูดจาดุดัน แค่นางเปิดเผยเรื่องที่แอบคบหากับฉู่เฉิงเท่านั้น ทำสตรีปวกเปียกกลายเป็นแข็งกร้าวได้ปานนี้เชียวหรือ? เฮอะ! แต่ก็แน่ล่ะ ใต้หล้านี้มีสตรีใดบ้างเมื่อถูกแย่งชายในดวงใจจะไม่เสียสติไปน่ะหลิงเยี่ยนกลายเป็นหญิงบ้าที่ยังโง่อยู่ปะไร!ว่านลู่ชิงแสยะยิ้มไม
เสี่ยวปาไม่ล่วงรู้ นางเล่าต่ออย่างออกรสออกชาติว่า “ตอนแรกคุณหนูสวีไม่ยินยอม แต่พอคุณหนูว่านลู่ชิงผู้นั้นยกองค์ชายสี่มากล่าวอ้าง บอกว่าเป็นการฉุดองค์ชายสี่ให้เรียนช้าลงด้วย นางจึงยอมออกมาแต่โดยดีเพคะ ตอนนี้คงกำลังหาวิธีเข้าเรียนอยู่ แต่คงยังคิดไม่ออกนั่นเอง”ประโยคทั้งหมดของเสี่ยวปาทำจ้าวหมิงอวี่อึ้งงัน บอกไม่ถูกว่าควรต้องรู้สึกอย่างไร “เจ้ามานี่”เสี่ยวปาขยับเข้ามาตามเสียงสั่งทุ้มต่ำเย็นชานั้นชายหนุ่มล้วงกล่องใส่ตำราของตน “นำบทกวีเล่มนี้ไปให้นางท่องจำก็พอ บอกนางให้รีบกลับมาเรียนต่อทันที”เสี่ยวปารับไว้ “เพคะ”ตำราเล่มนี้เป็นบทกวีหนึ่งในหลายบทที่อาจารย์เฉาเรียบเรียงขึ้นมา แต่เป็นบทที่อีกฝ่ายโปรดปรานที่สุด ภาคภูมิใจที่สุด หากใครท่องได้ย่อมทำให้อาจารย์เฉาพึงใจจ้าวหมิงอวี่ส่งคนไปสืบจนทราบจึงท่องจำไว้ เขาคิดสงบศึกกับตาเฒ่าเฉาแล้ว วันนี้จึงคิดว่าจะเอาหน้าเสียหน่อยแต่ยามนี้จำต้องเปิดทางให้ผู้อื่นก่อนเมื่อชะตาพลิกผันมีปัญหาเข้ามามิหยุดหย่อน มีชีวิตไม่แน่นอน การเอาตัวรอดได้นั้นจำต้องมีสติปัญญาหลิ่งหลินยิ่งไม่เคยมีปัญหากับการต้องใช้สมองเท่าใด แต่ไหนแต่ไรนางก็เป็นคนเรียนรู้ได้เร็ว มีทักษะห
วันนี้หิมะยังคงตกลงมา อากาศเย็นยิ่งกว่าเมื่อวาน ส่วนตำราวิชาที่ต้องเรียนยังน่าเบื่อยิ่งกว่าเมื่อวานฟ่านเจินเดินเข้ามา “องค์ชาย ข้าสืบมาว่าวิชาเรียนปราชญ์อารยเช้านี้เป็นท่านอาจารย์เฉานะเพคะ”จ้าวหมิงอวี่นิ่วหน้าเล็กน้อยอาจารย์เฉาเป็นตาเฒ่าคร่ำครึที่บ้ากระดาษถึงขนาดชอบพิสูจน์ชนิดและเนื้อของกระดาษด้วยการใส่ปากเคี้ยว มักเป่าหูเขาตั้งแต่เด็กว่าเป็นโอรสขององค์จักรพรรดิต้องเก่งกาจด้านวรรณกรรม เรียบร้อยสำรวมถึงสง่างาม ตอนนั้นเขายังเยาว์จึงไม่เก็บอารมณ์ตวาดเถียงไปว่าเป็นองค์ชายต้ององอาจผึ่งผายตามไล่ล่าฆ่าศัตรูทุกคนให้ตายนับหมื่นแสนด้วยวิชาต่อสู้อันสูงส่งถึงจะถูก ตาเฒ่าเฉาไม่เห็นด้วยจึงลงโทษเขาโดยการเชิญออกไปนอกชั้นเรียน ให้กางแขนยืนขาเดียวกลางแดดแผดจ้าท่องบทกวีจนเย็นย่ำเขาที่มุทะลุบ้าระห่ำได้แต่จำใจทำตัวสงบเสงี่ยม อึดอัดแทบกระอักเลือด เพราะเสด็จพ่อส่งขันทีมาคุมด้วยส่วนบทกวีที่ต้องกัดฟันท่องจำเป็นบทที่ตาเฒ่าเฉาเป็นคนแต่ง เนื้อหาล้วนพรรณนาคล้ายยกยอปอปั้นตัวเอง เปรียบตนดุจปรมาจารย์เหนือปรมาจารย์ด้านวรรณกรรมคิดแล้วสีหน้าจ้าวหมิงอวี่ก็เผยความเอือมระอาคล้ายอยากอาเจียน บุรุษที่ชอบร่ำเรียนการ
“คุณหนูที่เจ้าว่าคงเป็นว่านลู่ชิงกระมัง”เสี่ยวปาเบิกตา “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูสวีเพิ่งเข้ามาเรียน รู้ได้อย่างไร? แต่ช่างเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวปาทำเสียงกระซิบขยิบตายุกยิกพูดต่อ “แต่หากคุณหนูสวีคิดว่าองค์ชายสี่จะหลงกลก็อย่าได้กังวล เพราะข้ารายงานพระองค์ทุกกิริยาตามความเป็นจริงทุกประการเจ้าค่ะ”“เจ้าถูกส่งไปจับตาดูว่านลู่ชิงหรือ?”“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่ไปคอยรับใช้ตามหน้าที่ชั่วคราวแทนนางกำนัลอีกคนที่ลาป่วย”“อ้อ...” หลิ่งหลินพลิกตัวห่มผ้าถึงคอหันหลังหนี “แต่กับข้า เจ้าถูกส่งมาจับตาดูโดยตรงกระมัง?”“หะ?” เสี่ยวปากะพริบตาปริบๆ “คุณหนูรู้หรือ?”หลิ่งหลินร้องเฮอะ “ปากเจ้าพูดไม่หยุด แต่ตาจ้องมองทุกอิริยาบถของข้าอย่างแน่วแน่ปานนั้น ขนาดยามนี้ยังนั่งเกาะขอบเตียงแน่น นับกระทั่งข้ากระพริบตากี่ครั้ง ไม่หลับไม่นอนหรือไร?”“...!?” “ไปเอาฟูกมานอนข้างเตียงข้าไป เฝ้าข้าใกล้ๆ นี่ล่ะ จะได้ไม่คลาดสายตา ดีหรือไม่?”เสี่ยวปายิ้มแห้ง “คุณหนู ข้าเองก็ไม่ได้อยากทำ ท่านก็แค่อย่าไปไหนไกลตา ข้าจะได้ไม่ลำบากใจเจ้าค่ะ”“นอนเถอะ ข้าไม่ไปที่ใดหรอก ง่วงจะตาย”“เจ้าค่ะๆ”เสี่ยวปารีบลุกขึ้นไปเปิดตู้หอบเครื่องนอนมาตามสั่ง หลังจา
หลิ่งหลินไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่บ่าวระดับล่างจะมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้านายชั้นสูงโดยไม่คิดเลื่อนฐานะตัวเองอีกอย่าง อาเป่าคงเป็นคนจำพวกเย่อหยิ่งเย็นชาและสมถะไม่สนฐานะทางสังคม ทุกคนย่อมมีเหตุผลแห่งตน ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะแยะ เฒ่าทารกเครายาวที่วันๆ เอาแต่ร่ำสุราเมามายริมถนน ทำตัวเหมือนยาจกเร่ร่อนไร้หลัก ยังเป็นถึงผู้เยี่ยมยุทธไร้แซ่ไร้นามแต่ฝีมือเก่งกล้าสามารถเป็นที่เลื่องลือแต่จะว่าไปแล้ว จ้าวหมิงอวี่เองก็กำพร้ามารดานี่นา คงมีปมในใจเดียวกันกระมังถึงมิแบ่งแยกชนชั้น แบบนี้ล่ะ นางถึงชอบเขา คิดไปคิดมา หลิ่งหลินนึกตกใจตัวเองอ๊ะ! ข้ากำลังคิดอันใด? ไม่ใช่เสียหน่อย! ไม่ได้ชอบ!“ส่วนนางกำนัลชิงเอ๋อร์ จวนสกุลหูรังเกียจอย่างยิ่ง” เสี่ยวปาถูกส่งมาให้จับตาดูคุณหนูสกุลสวีทุกย่างก้าว แต่ด้วยนิสัยช่างจำนรรจาจึงพูดคุยไม่หยุดนางทำปากยื่นเล่าต่ออีกว่า “แม้จะรับเป็นอนุให้บุตรชายก็จริงแต่ก็ทำอย่างจำใจ ชีวิตนางหลังจากนี้ย่อมไม่ดี เห็นว่าตอนนี้นายท่านหูกับฮูหยินหูจ้างบรรดาแม่สื่อเฟ้นหาภรรยาคนใหม่ให้หูซั่วอย่างยากเย็นแสนเข็นจนเลือดตาแทบกระเด็น ไม่มีบ้านใดอยากให้บุตร