LOGIN‘ท่านรักข้าหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ขอเพียงแต่งกับท่านแล้วข้ากลายเป็นสตรีที่มีเกียรติที่สุดในต้าเว่ย เพราะเช่นนี้ข้าจึงมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายผู้ใดก็ได้’ ‘เจ้ามันเป็นสตรีไร้ยางอายไม่มีหัวใจหานเซียง’ ‘ไร้ยางอายก็ดี ไม่มีหัวใจก็ช่าง ขอเพียงข้าได้เป็นฮองเฮา กุมอำนาจอยู่ในมือ อยากฆ่าใครก็ฆ่า อยากรังแกใครก็ทำได้ ต่อให้เลวกว่านี้หรือกลายเป็นปีศาจข้าก็ไม่สน’
View More“เจ้ามีหัวใจหรือไม่... หานเซียง?”
เสียงถามนั้นราวคำรำพึงมากกว่าการตำหนิ สวีหานเซียงยกยิ้มบาง รอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตา
“ย่อมต้องมีสิเพคะ หากไม่มี หม่อมฉันคงตายไปแล้ว แต่หัวใจของหม่อมฉัน... ไม่ได้มีไว้เพื่อรักบุรุษใด มีไว้เพียงเพื่อให้หม่อมฉันยังมีชีวิตปกป้องท่านแม่กับทวงความเป็นธรรมให้พี่ชายเท่านั้น”
จ้าวเฉินจ้านมองนางนิ่งงัน สายตาไม่อาจนิยามว่านั่นคือความโกรธ สงสาร หรือสับสน สิ่งเดียวที่รู้คือเขาไม่เคยพบสตรีใดที่พูดถึงชีวิตตัวเองด้วยความว่างเปล่าเช่นนี้มาก่อน
แล้วคำต่อมาของนาง... ก็เหมือนสายฟ้าฟาดกลางห้องเงียบงันแห่งนี้
“หม่อมฉันต้องการหลับนอนกับไท่จื่อเพคะ จนกว่าหม่อมฉันจะตั้งครรภ์ หลังจากนั้นพระองค์จะไม่แตะต้องหม่อมฉันอีกตลอดไปก็ได้”
“นี่เจ้า!” เฉินจ้านแทบกลั้นเสียงตะโกนไม่อยู่ ใบหน้าเขาแดงก่ำไม่รู้เพราะโกรธหรืออับอาย
หานเซียงยังคงสีหน้าสงบ “สิ่งที่หม่อมฉันต้องการมีเพียงเท่านี้เพคะ”
“หานเซียง... นอกจากเจ้าจะไม่มีหัวใจแล้ว เจ้าไม่มียางอายด้วยหรือ?”
“ยางอายเอาไว้ทำอันใดได้เพคะ?” นางตอบเรียบเรื่อย “เอามาแก้แค้นคนได้หรือไม่ หรือเอามาแทนข้าวแก้หิวได้?”
“เจ้านี่มัน...” เฉินจ้านถึงกับพูดไม่ออก มือกำแน่นข้างลำตัว ความโกรธแล่นผ่านแววตา แต่ก็ปนความตกตะลึงบางอย่างที่เขาไม่กล้ายอมรับ
สวีหานเซียงยังคงยืนนิ่ง เยือกเย็นราวหินแกะสลัก “เชิญไท่จื่อกล่าวเรื่องของพระองค์มาเถิด ประเดี๋ยวจะเลยฤกษ์ร่วมหอเพคะ... ลูกคนแรก หม่อมฉันอยากได้ผู้ชาย”
คราวนี้จ้าวเฉินจ้านถึงกับตัวแข็ง ใบหูแดงจนถึงต้นคอ หานเซียงมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่รู้เลยว่าความแดงนั้นเกิดจากความอายหรือความโกรธกันแน่ และนางก็ไม่คิดจะใส่ใจ
เขาเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่ จึงคิดใช้เด็กผู้หนึ่งทำให้ตนมั่นคงในวังหลังเช่นนี้”
“แล้วสตรีวังหลังคนใดบ้างเพคะ ที่ไม่คิดใช้ลูกของตนสร้างรากฐานให้มั่นคง?” สายตาของนางแข็งกร้าวแต่แฝงแววเศร้า
“ไท่จื่อ... ทรงเกิดในราชวงศ์ เหตุใดจึงถามเช่นนี้เพคะ?”
“เจ้าด่าว่าเปิ่นไท่จื่อโง่หรือ?”
แสงเทียนสะท้อนในดวงตาของนาง ขณะรอยยิ้มเยียบเย็นแตะที่มุมปาก “หม่อมฉันมิได้พูดนะเพคะ เป็นไท่จื่อพูดเอง”
เสียงตอบของสวีหานเซียงนิ่งราบ แต่แฝงรอยเย้ยบางเบาในถ้อยคำ ริมฝีปากนางขยับเพียงน้อย ดวงตาสบตาเขาอย่างไม่ยอมหลบ
เฉินจ้านชะงัก แววตาไหววูบชั่วครู่ ก่อนความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นในใจว่าเขาเสียทีนางแล้วเพราะนางเพียงแค่คิด แต่เป็นเขาที่ดันพูดออกมาเองว่าตนเองโง่เขลา
เขากัดฟันแน่น กลั้นคำด่าที่แทบจะหลุดออกมา เพราะในตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าสตรีที่นาม สวีหานเซียง นี้หาใช่หญิงสาวอ่อนโยนอ่อนหวานแต่ไม่อ่อนแออย่างที่เห็นด้วยตาไม่ ผู้ใดจะคาดถึงว่าใบหน้าอ่อนหวานนั้นเป็นเพียงเปลือก ภายในกลับเต็มไปด้วยพิษร้ายดั่งตัวเม่นที่พร้อมสู้กลับศัตรูทุกลมหายใจ
“เรื่องที่เปิ่นไท่จื่อจะพูดกับเจ้าก็ไม่มีอันใดมาก” เฉินจ้านพูดช้าแต่เสียงต่ำและเย็นยะเยือกเพราะต้องพยายามหักใจไม่ให้ตนเองบีบคอสตรีกวนโทสะตรงหน้า
“เพียงจะบอกกับเจ้าว่า เปิ่นไท่จื่อให้เจ้าได้ทุกสิ่ง แต่สิ่งเดียวที่มิอาจให้เจ้าได้คือความรัก เพราะเปิ่นไท่จื่อมีสตรีในดวงใจแล้ว”
สวีหานเซียงก้มศีรษะเล็กน้อย สีหน้าไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย “เพคะ หม่อมฉันไม่ต้องการความรักและความโปรดปรานของพระองค์”
คำตอบนั้นรวดเร็วเสียจนเฉินจ้านรู้สึกเหมือนถูกสาดน้ำเย็นใส่ทั้งร่างนางพูดราวกับสิ่งที่เขาเรียกว่า ความรัก นั้นเป็นของไร้ค่า นางตอบโดยไม่ต้องไตร่ตรอง แววตานิ่งเสียจนยากจะเดาว่าในใจคิดสิ่งใด
เขายกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้ต่อว่า เพียงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ส่วนอีกเรื่องนั้นเจ้าก็รู้แล้ว จากนี้อีกหนึ่งเดือน เปิ่นไท่จื่อจะรับเจียงเพ่ยหยูเข้าตำหนักมาในฐานะเหลียงตี้”
“เพคะ หม่อมฉันจะจัดเตรียมทุกสิ่งให้พร้อม” เสียงนางยังคงเย็นสงบ ราวกับเรื่องนี้เป็นเพียงงานพิธีธรรมดา
เฉินจ้านขมวดคิ้ว จ้องนางอยู่นาน ก่อนเอ่ยอย่างท้าทาย “เจ้าคงจะไม่กลืนน้ำลายตนเอง สุดท้ายรักเปิ่นไท่จื่อจนหึงหวง แล้วทำร้ายเพ่ยหยูภายหลังใช่หรือไม่?”
สวีหานเซียงปรายตามองเขาเพียงนิด มุมปากยกยิ้มบางอย่างเย้ยหยัน “ไท่จื่อเพ้อเจ้ออันใดเพคะ”
เขาชะงัก คำตอบนั้นไม่เพียงบังอาจ แต่ยังกล้าหาญราวกับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
“เจ้าไม่กลัวตายหรือ หานเซียง” เสียงของเขาต่ำลง เหมือนคำขู่ที่คืบคลานเข้ามาหาหานเซียงช้าๆ
“กลัวสิเพคะ” นางตอบนิ่ง แววตายังไม่ไหว “ใครบ้างอยากตาย”
เขากัดกรามแน่น “เช่นนั้นเจ้าก็เคารพเปิ่นไท่จื่อสักหน่อย พูดจาอันใดก็อย่าให้มันเกินไปนัก”
นางยกคิ้วขึ้นราวกับกำลังยั่วเขาทว่ามิใช่ยั่วยวนหากแต่เป็นยั่วโทสะมากกว่า “อ้อ...ได้เพคะ ต่อไปหม่อมฉันจะระวังให้มาก”
น้ำเสียงนั้นเรียบ แต่เฉินจ้านได้ยินชัดว่ามันเต็มไปด้วยความนัยแฝงประชด เขาหลับตา สูดหายใจเข้าลึก ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “เช่นนั้นก็มาดื่มสุรามงคลเถิด”
หานเซียงเงียบไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงความมั่นคงไม่ล้อเล่น “ไท่จื่อต้องการยาปลุกกำหนัดช่วยหรือไม่เพคะ”
เคร้ง!
จอกสุราในมือเฉินจ้านหลุดมือร่วงลงกระแทกถาดเสียงดังลั่น ความเงียบในห้องแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เขามองนางตาโต ทั้งโกรธทั้งอับอาย แก้มร้อนผ่าวราวกับถูกตบ
สตรีตรงหน้ากลับยังนั่งนิ่ง สีหน้าเรียบเฉยราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ เขากุมขมับ แล้วนึกคำด่าในใจไม่ทัน ‘สวรรค์... เสด็จปู่กับเสด็จอา ประทานตัวอะไรมาให้ข้ากันเล่า?’
“ไม่ต้อง!” เขากัดฟันตอบเสียงเข้ม นับหนึ่งในใจเพื่อห้ามมือไม่ให้คว้าตัวแม่ตัวดีมาตีให้หลาบจำ
สวีหานเซียงยักไหล่ “เช่นนั้นหม่อมฉันกินผู้เดียวก็ได้เพคะ”
น้ำเสียงยังคงเรียบเย็นแต่มีรอยขุ่นในแววตา นางพูดด้วยความหวังดีจากใจ เพราะเห็นว่าเขากับนางเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ให้ทำเรื่องอย่างว่าคงลำบากใจ แต่กลับถูกมองด้วยสายตาโกรธแค้นเสียได้ สวีหานเซียงไม่เข้าใจว่าคนผู้นี้โกรธนางด้วยเรื่องอันใด
“ไหน... ไอ้ยาบัดซบที่เจ้าพูดถึง” อยู่ๆ จ้าวเฉินจ้านก็หันมาเผชิญหน้ากับนางพร้อมยื่นมือมาตรงหน้าแววตาเหมือนสัตว์ป่าที่อดกลั้นเต็มที่ สวีหานเซียงนึกในใจว่าเห็นหรือไม่ในที่สุดท่านก็สนใจ แต่จะทำหน้าคล้ายอยากหักคอนางด้วยเหตุใด หรือเขาจะเขินอายกันนะ?
“นี่เพคะ” หานเซียงนิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงจะคิดมากมายแต่สุดท้ายนางก็ล้วงเอาขวดหยกสีขาวขนาดเท่าปลายนิ้วชี้ออกมาจากอกเสื้อส่งให้สวามี แต่แทนที่จ้าวเฉินจ้านจะนำไปผสมในสุราหรืออาหารเขากลับถือมันเดินไปที่ประตู
“หม่าจง มานี่!” องครักษ์เงาโผล่มาแทบจะในพริบตา
“เอายานรกนี่ไปทำลายทิ้งเสีย”
“พ่ะย่ะค่ะไท่จื่อ” เสียงตอบสั้นๆ แล้วร่างนั้นก็หายไปกับความมืด
สวีหานเซียงตาโต ก่อนจะเผลอใช้กำลังภายในพุ่งตามมาอย่างลืมตัวแต่กลับไม่ทัน “โอ๊ย! ไท่จื่อท่านเสียสติหรือ มันเป็นของหม่อมฉันนะเพคะ ไท่จื่อไม่ต้องการแต่หม่อมฉันต้องใช้!”
“สวี-หาน-เซียง!”
เสียงคำรามของเฉินจ้านดังสะเทือนทั้งห้อง ใบหน้าเขาแดงก่ำ รอยโกรธปะทุเต็มสองตา เขาโกรธสตรีตรงหน้าจนหัวหมุนไปหมด โกรธอย่างที่ไม่เคยโกรธใครเช่นนี้มาก่อน นางช่างกล้าดีนัก ราตรีเข้าหอแต่กลับพกพายากำหนัดมาใช้ กล้าเกินไปแล้วจริงๆ
ปัง!
จ้าวเฉินจ้านหันไปปิดประตูอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสะท้าน จากนั้นก็ไม่พูดไม่จาหมุนตัวกลับมาร่างสูงใหญ่พุ่งเข้าหานางรวดเร็วราวพยัคฆ์ที่ขาดความอดทน ตรงเข้าไปอุ้มเจ้าสาวที่ดูหมิ่นเขาด้วยการคิดจะใช้ยาปลุกกำหนด สวีหานเซียงยังไม่ทันตั้งตัว ร่างนางถูกอุ้มขึ้นจากพื้นก็ร้องถามด้วยใบหน้าไม่เข้าใจ
“ไท่จื่อ!”
โครม!
เขาไม่ตอบแต่ก้าวยาวๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็กลับมายืนตรงหน้าเตียงนอนหลังโตโอ่อ่าก่อนจะโยนร่างเล็กลงบนเตียงเต็มแรงจนที่นอนสั่นสะเทือนสวีหานเซียงทั้งเจ็บทั้งจุก จนหายใจไม่ออกไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากจิ้มลิ้มของนางอ้าพะงาบอยากด่าแต่เสียงกลับติดอยู่ในลำคอ
เฉินจ้านยืนข้างเตียง ด้วยใบหน้าถมึงทึงแววตาวาวโรจน์ราวพายุพร้อมจะพัดพาทุกสิ่งให้ย่อยยับ
“จงจำเอาไว้นะหานเซียงจะหลับนอนกับข้า ยาสวะเหล่านั้นไม่จำเป็น!”
เขาคำรามคำสุดท้ายก่อนยกป้านสุราขึ้น ดื่มรวดเดียวโดยไม่เทใส่จอกที่ถูกเตรียมเอาไว้ หากแต่เขาไม่ได้กลืนมันลงคอ แต่หันไปบีบแก้มของสวีหานเซียงยึดเอาไว้มั่นไม่ให้นางดิ้นหนี
“!!!”
สวีหานเซียงยังไม่ทันร้อง ริมฝีปากของเฉินจ้านก็ทาบลงบนปากนางแน่นหนา รสสุราร้อนแรงไหลเข้าสู่ปากนางพร้อมลมหายใจของเขา!
ตอนที่30|| ขอข้าอ้อนเจ้าหน่อยนะเสียงโครมเพล้งจากกระโถนที่กระแทกพื้นยังไม่ทันจาง จ้าวเฉินจ้านก็สาวเท้าออกจากห้องรับรองแขกตามหลังคนพวกนั้นไปติด ๆ สีหน้าของไท่จื่อซีดขาวจากอาการเวียนหัวและอาเจียนจนเหนื่อย แต่แววตากลับคมกริบ ราวกับไฟใต้หิมะที่พร้อมเผาทุกอย่างให้เป็นเถ้าถ่าน“ไสหัวไปให้พ้น!” เสียงสบถดังลั่นทางเดินยาวของตำหนักตงกง ก้องสะท้อนจนแม้แต่ฉากกั้นยังสั่นไหวนกกาพากันแตกฮือสวีเกากงที่กำลังเร่งฝีเท้าหนีไปพร้อมครอบครัวสะดุ้งเฮือก เท้าก้าวพลาดพลั้งสะดุดชายอาภรณ์ของตนเอง ร่างใหญ่เซถลา ก่อนจะหงายหลังล้มลงเสียงดังตุ้บ ศักดิ์ศรีเจิ้งกั๋วกงแตกกระจายต่อหน้าบ่าวไพร่และขันทีที่วิ่งแตกตื่น“ท่านพี่!” เจียงอี๋เหนียงร้องเสียงหลง รีบพุ่งเข้าไปประคอง แต่เพราะลนลาน มือกลับไปเกี่ยวชายเสื้อของสวีเผยเจียวเข้าอีก เด็กสาวกรีดร้องเบา ๆ ล้มลงนั่งกับพื้น ส่วนสวีกู้อวี้ถอยหลังชนเสา เกือบหงายตามไปอีกคนบ่าวไพร่ด้านหลังยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ต่างคนต่างวิ่ง จนฝุ่นตลบ ซวนเซ ล้มลุกคลุกคลาน หีบผ้าและกล่องยาที่หอบหิ้วมาหล่นกระจัดกระจาย กล่องไม้แตกเปิด กลิ่นสมุนไพรคลุ้งปนความตื่นตระหนก ไม่มีใครกล้าเหลียวกลับมาอีกสักนิด
ตอนที่29||แผนของเจิ้งกั๋วกงล่มไม่เป็นท่าไม่นานข่าวว่า ไท่จื่อเฟยสวีตั้งครรภ์ ก็ลือกระฉ่อนไปทั่วฉ่งชิ่งรวดเร็วยิ่งกว่าลมหนาวพัดผ่านกำแพงวัง เพียงไม่ถึงชั่วยาม ข่าวดีก็กระจายออกไปจนทั่วให้ชาวบ้านร่วมยินดี กันถ้วนหน้าเรียกได้ว่าจ้าวเฉินจ้านกับหานเซียงยังไม่ทันได้ออกจากห้องบรรทมให้เรียบร้อย ข่าวมงคลก็ลือกระฉ่อน ดังนั้นหลังสองสามีภรรยาแต่งกายเรียบร้อยเตรียมออกมารับอาหารมื้อสายที่ห้องโถงส่วนหน้ายังไม่ทันได้นั่งบนเก้าอี้เรียบร้อยพลันเสียงขันทีหน้าห้องก็รายงานเสียงใสเข้ามา“เจียงเหลียงตี้ ขอเข้าเฝ้าเพื่อถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ”หานเซียงเลิกคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากกระตุกเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่มีความหมายเฉพาะผู้เป็นสามีเท่านั้นจะเข้าใจ ส่วนจ้าวเฉินจ้านก็เพียงขมวดคิ้ว ทว่าใบหน้าของเขาเรียบนิ่ง ไม่เผยอารมณ์ใดส่วนในใจของสองสามีภรรยาต่างคิดตรงกันว่าสตรีผู้นั้นช่างมาเร็วนักคิดว่านางไม่ใช่มาอวยพรหรอก คาดว่านางคงอยากมาดูให้เห็นกับตาเสียมากกว่าเฉินจ้านพยักหน้าให้ขันทีรับคนเข้าเฝ้า ท่าทีสงบนิ่งดังเดิม ทว่ามุมปากกลับซ่อนรอยยิ้มเย็น ๆ เอาไว้ อยากมาก็มาสิ เขาเองกำลังอยากดูงิ้วพอดีเจียงเพ่ยหยูปรากฏกายขึ้นในห้องด้
ตอนที่28||นรกของหม่อมฉันเริ่มที่อารามเมี่ยวจิ่งมิผิดเลยที่สวีหานเซียงกล่าวว่าการขึ้นเขาไปอยู่อารามเมี่ยวจิ่งคือการเริ่มต้นเดิมสู่ขุมนรก!“ถึงอารามเมี่ยวจิ่งควรเป็นสถานที่สงบ เป็นสถานที่ที่ผู้คนใช้สวดมนต์ ปล่อยวาง และหลบหนีความทุกข์จากโลกภายนอก แต่สำหรับหม่อมฉันกับท่านแม่กับบ่าวไพร่ที่ตัดตามขึ้นไปอีกเจ็ดชีวิตมันไม่ใช่เลย”อารามแห่งนี้ไม่เคยมีความสงบอยู่เลย ตั้งแต่คืนแรกที่นางกับมารดาถูกส่งมาที่นี่ เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบก็รับรู้ได้ทันทีว่าความเงียบในอารามมิใช่ความสงบ หากเป็นความเงียบที่กดทับ ราวกับมีเงามืดซ่อนตัวอยู่ทุกมุม พร้อมจะยื่นมือออกมาคร่าชีวิตได้ทุกเมื่อแม้ยามกลางวันเหล่าแม่ชีกับเจ้าอารามจะวางตัวใจดีเป็นผู้ทรงศีลที่มากไปด้วยเมตตาจิตแทบทุกค่ำคืน มีเงาคนลอบเข้ามา เสียงฝีเท้าที่พยายามเบาที่สุดดังแผ่วอยู่บนพื้นหินเย็นเฉียบ เสียงลมหายใจที่ถูกกลั้นไว้แน่น กลิ่นคาวเลือดที่ไม่อาจกลบด้วยกลิ่นธูป กลิ่นนั้นลอยปะปนอยู่ในอากาศ ทำให้อารามซึ่งควรศักดิ์สิทธิ์ กลับแปดเปื้อนด้วยกลิ่นแห่งความตายหานเซียงมักสะดุ้งตื่นกลางดึก มือเล็ก ๆ ของนางควานหามือของมารดาที่มองไม่เห็น นางได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต
ตอนที่27||นิทานของหานเซียงภายในตำหนักเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจของคนสองคนที่ค่อย ๆ ประสานจังหวะกัน หลังจากความยินดีเรื่องบุตรค่อย ๆ จางหาย ความจริงอันหนักหน่วงก็คล้ายจะคืบคลานเข้ามาแทนที่เฉินจ้านเป็นฝ่ายนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ เขามองใบหน้าของภรรยาที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อม ดวงตาคู่นั้นสงบเกินไป สงบอย่างคนที่ผ่านเรื่องราวมากเกินวัย และสุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบที่กดทับหัวใจทั้งสองคน“เจ้ารู้นานเพียงใดแล้ว”หานเซียงเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ริมฝีปากโค้งยิ้มแผ่วเบา เป็นรอยยิ้มที่มิได้เจือการปกปิดหรือสำรวมเช่นทุกครั้ง และอาจเป็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดนับตั้งแต่นางแต่งเข้ามาเป็นชายาของเขาได้ครึ่งปี“ไม่นานเพคะ” นางตอบเสียงราบ “ราวสองเดือนเศษได้ อย่างที่ไท่จื่อทราบ บางค่ำคืนหม่อมฉันแอบออกไปด้านนอกบ่อยครั้ง ล้วนไปสืบเรื่องนี้”เฉินจ้านขมวดคิ้วเล็กน้อย ภาพค่ำคืนที่นางขอตัวออกไปเงียบ ๆ ผุดขึ้นในหัว เขาเคยคิดว่านางเพียงต้องการอิสระหรือหาความสงบ หรือไม่นางก็อาจออกไปยังค่ายฉงจื่อทว่าความจริงกลับหนักหนากว่านั้น“คงเป็นหลังจากที่ข้าเล่านิทานให้ฟังกระมัง เจ้าเลยออกสืบ” จ้าวเฉินจ้านไม่เคยคิดเลยว่าห





