แม่สื่อมือหนึ่ง VS รัชทายาทผู้มีโชคอัปมงคล...ศึกนี้ใครจะอยู่ ใครจะ(โดน)ฟ้าผ่า!? "เสิ่นอวี้เจา" แม่สื่ออันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ผู้ปฏิเสธงานจากตระกูลใหญ่ได้หน้าตาเฉย กล้าแว้ดใส่องค์จักรพรรดิ และตั้งปณิธานว่าจะไม่มีวันหาคู่ให้ "องค์รัชทายาท" ผู้มีโชคดั่งดาวหายนะเป็นอันขาด! แต่แล้ว...ด้วยแผนลวงอันแนบเนียน นางกลับถูก จับย้ายเข้าตำหนักรัชทายาท เสียเอง! การอยู่ร่วมชายคากับ "ฉู่มู่ฉือ" บุรุษผู้ปากร้าย พลังทำลายล้างสูง แต่หน้าตาดีระดับปีศาจ นับเป็นฝันร้าย หรือจุดเริ่มต้นของเกมอันตรายหัวใจ!? เมื่อนางยิ่งหนี เขายิ่งไล่ เมื่อนางคิดแก้เผ็ด เขากลับยิ้มรับราวกับถูกจีบ และเมื่อ "แม่สื่อ" ต้องมาคัดเลือก พระชายาให้ผู้ชายที่ตนเองไม่อยากยุ่งด้วยที่สุดในแผ่นดิน เรื่องวุ่นๆ จึงเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน!
View Moreวันหนึ่งที่โรงน้ำชาร้านยอดนิยม ซึ่งแน่นขนัดไปด้วยลูกค้าในเมืองหลวงของแคว้นฉี นักเล่าเรื่องเจ้าของป้ายแดงนำพัดออกมาเคาะโต๊ะเสียง "ปัง" พร้อมหมุนเคราบางๆ อย่างตั้งใจ เล่าเรื่องราวอย่างออกรสจนใบหน้าขึ้นสี
"โบราณว่าไว้ว่า ‘รถกวาง วิ่งไปไหนมาไหนอย่างอิสระ เล่นหมากรุก ดื่มเหล้าใต้ร่มต้นอบเชย ความรักของโลกีย์ ความสุขและความเศร้าของการพบและจาก มือที่ถือด้ายแดง’ คำพูดนี้บรรยายถึงเฒ่าจันทรา ซึ่งเปรียบเทียบเท่าแม่สื่อวันนี้เราจะมาพูดถึงแม่สื่ออันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง เสิ่นอวี้เจา!"
"อยากรู้เกี่ยวกับพื้นเพของ เสิ่นอวี้เจา หรือไม่ ต้องเริ่มต้นจากพี่น้องร่วมสาบานของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน แม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดิน เสิ่นหยุนเซียว บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ และยังเป็นบิดาของเสิ่นอวี้เจาด้วย! เมื่อครั้งที่ทั้งสองแคว้นทำสงครามกัน แม่ทัพเสิ่นเสียชีวิตในสนามรบ และเสิ่นฮูหยินก็ฆ่าตัวตายเพราะความรัก ครอบครัวของนางจึงล่มสลาย ฮ่องเต้ทรงสงสารและรับตัวเด็กหญิงเข้าวังไปเลี้ยงดู ราวกับเป็นลูกสาวของพระองค์เอง! นางได้รับการปฏิบัติเหมือนองค์หญิงทุกประการ เมื่อเติบโตขึ้นและต้องการเป็นแม่สื่อของราชวงศ์ ฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาตอย่างเต็มใจ!"
"เล่าลือกันว่านางคือผู้จัดคู่ผู้มากด้วยวาสนา ใครเล่าจะคาดคิดว่าแม้แต่เชื้อสายแห่งราชวงศ์ยังต้องงัดกลเม็ดนานัปการ ส่งของกำนัลไม่เว้นแต่ละวัน เพื่อหวังจะได้ลอบพบนางสักครา ทว่าการจับคู่นั้นหาใช่เรื่องเงินทอง หากแต่ขึ้นอยู่กับความจริงใจที่เอ่อล้นจากผู้มาขอร้องเป็นสำคัญ เช่นนี้แล้วจะมิเรียกว่านางคือแม่สื่อผู้ทรงคุณค่าได้อย่างไรเล่า!"
ขณะที่ผู้คนบนลานกว้างต่างพากันเงี่ยหูฟังเรื่องเล่าอย่างตั้งใจ นางผู้อยู่เบื้องหลังอย่างเสิ่นอวี้เจา กลับนั่งละเลียดชากับขนมอย่างสบายอารมณ์ใต้เวที ราวกับเรื่องที่ผู้คนร่ำลือกันอยู่นั้น หาได้เกี่ยวข้องกับตนไม่แม้แต่น้อย หากแต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อยๆ กลับเผยให้เห็นชัดว่าเจ้าตัวกำลังฟังเรื่องราวของตนเองด้วยความเพลิดเพลินยิ่งนัก
"นายหญิง...ท่านไม่คิดจะห้ามปรามผู้คนเหล่านี้บ้างหรือ?" เจียงเฉิน องครักษ์ผู้ยืนอยู่เบื้องหลังกล่าวขึ้นในที่สุด หลังจากกลั้นใจอดทนมานานนับเค่อ "คืนนี้พวกเรายังต้องไปร่วมงานเลี้ยงฉลองของสกุลหลิวอีกนะขอรับ แต่ท่านกลับมัวแต่ละเลียดชา ลิ้มขนมไม่หยุด...เช่นนี้แล้วข้าควรกล่าวขอโทษต่อเจ้าภาพไว้ล่วงหน้าดีหรือไม่?"
"มิเป็นอันใด ถึงไปถึงที่นั่น ข้าก็กินต่อได้อยู่ดี ไม่ปล่อยให้ของดีต้องเสียเปล่าแน่นอน" เสิ่นอวี้เจากล่าวเสียงเรียบ ดวงหน้าไร้อารมณ์ราวสรรพสิ่งรอบกายหาได้เกี่ยวข้องกับนางไม่ มือเรียวยังหยิบขนมขึ้นเข้าปากอย่างเป็นจังหวะ
"ในโลกนี้ มีอยู่สองสิ่งเท่านั้นที่ไม่ควรละเลย" นางเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนปรายตามองเจียงเฉินอย่างแผ่วเบา"หนึ่งคือความรัก...และอีกหนึ่งคืออาหารอร่อย จำไว้ให้ดี เฉินเฉิน"
พูดจบ นางหันไปชมเชยนักเล่านิทานที่ กำลังเล่าเรื่องของตนเอง "เล่าดีมาก รับรางวัลไป"
นักเล่าเรื่องเห็นเงินแล้วตาเป็นประกาย รีบพุ่งตัวเข้ามารับไปแทบจะในเสี้ยวพริบตา องครักษ์หนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับลอบกลอกตาจนแทบจะมองทะลุกะโหลกตัวเอง ในใจนึกประชดว่า เขาเคยเป็นถึงหัวหน้าทหารองครักษ์ ผู้ได้รับคำสั่งตรงจากฮ่องเต้แท้ๆ แต่ตอนนี้กลับต้องมาคอยติดตามสตรีในโรงน้ำชา แถมยังต้องทนฟังคำสั่งสอนที่ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นปรัชญาหรือเหลวไหลดี...ช่างน่าเวทนายิ่งนัก! ใจดวงนี้มันช่างขมขื่นราวกับกินน้ำสมุนไพรต้มสิบครั้งยังไม่หวานเลยแม้แต่น้อย
"ท่านหญิงเสิ่น ถ้าท่านไม่ตั้งชื่อแปลกๆ ให้ข้าน้อย บางทีอาจจะจำได้ง่ายขึ้น"
"เฉินเฉิน เจ้ากำลังมีท่าทีแบบใดกัน?"
"ข้าน้อยเพียงพูดความจริงเท่านั้น"
เสิ่นอวี้เจาไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้น นางหยิบเงินจากเสื้อด้านใน ยื่นให้องครักษ์อย่างไม่ใส่ใจ
"ข้าน้อยจะจดจำคำของท่านหญิงไว้ให้ขึ้นใจ!" เจียงเฉินรีบโค้งคำนับ หยิบเงินอย่างรวดเร็วและใส่เข้ากระเป๋า "จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเคร่งครัด ไม่ทำให้ท่านต้องลำบากใจ!"
ควรพูดถึงด้วยว่าเหตุผลที่เขายอมตามคำสั่งของฮ่องเต้ และมาเป็นองครักษ์ให้นาง คุณหนูผู้มั่งคั่งที่ใช้เงินเปลืองยิ่งกว่าสาดน้ำกลางฤดูร้อน เช่นนี้แล้วอย่างน้อยก็ยังมีแรงจูงใจให้ทำหน้าที่ต่อไปได้บ้าง!
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันจบ เสียงดังลั่นมาจากอีกด้านหนึ่งของโรงน้ำชา ราวกับต้องการกลบเสียงของนักเล่านิทาน
“คิดจะเล่าเรื่องเหลวไหลอะไรอีกหรือ? แม่สื่ออันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงงั้นหรือ? ข้าว่าไม่ต่างอะไรจากหญิงบ้าที่ชอบสร้างความวุ่นวายให้ชาวบ้าน แล้วยังทำให้คนหลงผิดไปกันใหญ่!”
ผู้คนในโรงน้ำชาต่างพากันหันขวับไปมองด้วยความสนอกสนใจ หลายคนถึงกับเริ่มซุบซิบถามไถ่กันเบาๆ ดวงตาเต็มไปด้วยแววอยากรู้อยากเห็น
ชายหนุ่มร่างท้วมผู้เป็นคนเริ่มเรื่องดูจะปลาบปลื้มที่ได้เป็นจุดสนใจ เขาเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเริ่มเล่าอย่างเมามัน น้ำลายกระเด็นออกมาเป็นละอองเล็กๆ ทุกคราวที่พูดเสียงดังจนคนข้างๆ ต้องคอยเบี่ยงตัวหลบอย่างกลั้นใจ
“คุณหนูแห่งจวนสกุลโหยวผู้เลอโฉมดุจดอกไม้แรกแย้ม กลับถูกจับคู่กับเจ้าหนุ่มไร้ประโยชน์จากจวนสกุลหลิวนั่นน่ะหรือ!?” ชายหนุ่มร่างท้วมโพล่งออกมาเสียงดังพลางทุบโต๊ะเบาๆ อย่างคับแค้นใจ “ข้านี่ทั้งเปี่ยมด้วยความสามารถ แถมยังหล่อเหลาเกินผู้ใด แต่นางกลับปฏิเสธข้าอย่างไม่ไยดี! หากไม่ตาบอดเสียแล้ว ก็เห็นทีจะมีรสนิยมประหลาดยิ่งนัก!
” ทุกคน: "..."
“นี่หมูตัวไหนหลุดออกมาจากเล้ากันหรือ? หรือไม่รู้จริงๆ ว่าควรมีเชือกผูกไว้ให้แน่น จะได้ไม่เที่ยวเพ่นพ่านมาพ่นน้ำลายเหม็นๆ ใส่คนอื่นเขา!”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น คุณชายจางก็หันขวับไปด้วยความโกรธเกรี้ยว หน้าอ้วนฉุขึ้นสีแดงจัด แต่เพียงได้เห็นใบหน้าของผู้ที่กล่าววาจานั้น สีหน้าของเขาก็พลันแข็งค้าง ราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหินในบัดดล
หญิงสาวตรงหน้าแย้มยิ้มบางๆ ริมฝีปากคล้ายหยอกล้อ ดวงตาทอประกายเจ้าเล่ห์อย่างยากจะจับทาง ในน้ำมือเรียวงามยังสะบัดพัดผ้าไหมลายละเอียดประณีต ซึ่งดูก็รู้ว่าเป็นของที่ได้รับพระราชทาน
ไม่ต้องมีใครบอก ทุกคนในที่นั้นก็ล้วนรู้ดีว่านางคือใคร แม่สื่ออันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ที่เขาเพิ่งเอ่ยปากดูหมิ่นไปหยกๆ นั่นเอง!
"เสิ่น เสิ่นอวี้เจา!"
แม่สื่อผู้เปี่ยมด้วยความหรูหรา เพียงสะบัดมือเบาๆ ปัดเศษขนมบนอาภรณ์ออกอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ดวงตาเรียวยาวดั่งเมล็ดอัลมอนด์งามล้ำ ทว่ากลับไร้ซึ่งแววอารมณ์กระเพื่อม ท่าทีสงบนิ่งประหนึ่งธารน้ำแข็ง มิได้มีโทสะใดเจืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
"ข้าไม่เคยยอมทำอะไรที่ฝืนกับจิตสำนึกของตนเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณสมบัติของเจ้าแซ่จาง ที่ไม่สนทั้งศักดิ์ศรีและความเหมาะสม ข้ายังเห็นว่าใช้เชือกม้าแทนด้ายแดง ก็มิอาจผูกมัดเจ้าและคุณหนูสกุลโหยวไว้ด้วยกันได้ จงตัดใจเสียตั้งแต่ตอนนี้เถิด"
พูดจบ นางก็ยืนขึ้นพลางกวาดสายตาเย็นชาไปทั่วบริเวณ สร้างความสะพรึงกลัวให้แก่ผู้คนรอบข้าง แล้วเดินออกไปอย่างมั่นคง
"เจียงเฉินที่ตามหลังนางมาติดๆ ถึงกับยกมือขึ้นลูบหน้าผากอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“นายหญิง…ท่านกล่าวถากถางผู้อื่นถึงเพียงนี้ เห็นว่าเหมาะสมแล้วหรือ? หรือว่าท่านเกิดมาเพื่อทำให้ผู้อื่นเจ็บแสบโดยแท้?"
ใครเล่าจะคาดคิดว่าเสิ่นอวี้เจานอกจากจะไม่ใส่ใจคำพูดของเขาแม้แต่น้อย ยังทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรสนุกๆ ขึ้นมาได้อีกต่างหาก นางหันกลับมาพูดด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับไม่ได้มีเรื่องค้างคาใดในใจเลยแม้แต่นิดเดียว
“อีกอย่างหนึ่งนะ…ในเมื่อคุณชายจางไม่วางใจในฝีมือของข้า เช่นนั้นก็มิต้องชดเชยอันใดให้ลำบากใจหรอก ข้าจะจดจำไว้ให้ขึ้นใจเลยว่า ตั้งแต่นี้ไป ข้ามิต้องรับงานจากสกุลจางอีก!"
ช่างเป็นหมัดเด็ดที่ร้ายกาจยิ่งนัก
คำกล่าวของแม่สื่ออันดับหนึ่งแห่งราชสำนัก ที่ประกาศกร้าวประหนึ่งฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางใจผู้คนเช่นนี้ ย่อมหมายความว่า...นับจากนี้ไป คงไม่มีผู้ใดกล้ารับงานจัดหาคู่ให้กับตระกูลจางอีกแล้วกระมัง
กล่าวได้ว่าคุณชายจางควรเตรียมใจครองโสดไปตลอดชาติ
เรื่องนี้ทำให้ข้านึกถึงคำสั่งสอนของบรรพบุรุษที่ว่า 'ยามออกนอกบ้าน จงรู้จักควบคุมถ้อยคำของตน' นับเป็นสัจธรรมที่ควรจารึกไว้หน้าศาลบรรพชนโดยแท้จริง!"
ยามค่ำคืน ณ ตำหนักชิวสุ่ยในวังหลวง
หลังจากดื่มฉลองชัยให้แก่คุณชายสกุลหลิวเสร็จสิ้น เสิ่นอวี้เจาก็กลับมาที่ตำหนักของตน นางนั่งลงด้วยท่าทีแสนสบาย ก่อนจะเริ่มนับปึกเงินหนาในมืออย่างคล่องแคล่วประหนึ่งเคยทำมานับพันครั้ง
ใบหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความสงบสุขเฉกเช่นนักบุญผู้ไร้กิเลส ราวกับว่าอีกเพียงครู่ นางก็กำลังจะลอยขึ้นสวรรค์พร้อมเสียงพิณเบาๆ จากแดนสุขาวดี หาใช่เพราะความดีงามใดไม่ หากแต่เป็นเพราะกลิ่นเงินหอมจับใจ!
เจียงเฉินมองนายหญิงของตนด้วยแววตาอัศจรรย์ใจยิ่งนัก นางสามารถกวาดอาหารทุกจานบนโต๊ะได้ถึงสองรอบในงานเลี้ยงใหญ่ แล้วยังรับเงินจากเสนาบดีหลิวเจ้ากรมพิธีการอย่างหน้าตาเฉย แถมยังทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่านางกำลังแสดงความเมตตาเสียอีก
"นายหญิง ท่านอยากดูตารางงาน ที่จะต้องจัดการในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้หรือไม่?"
เสิ่นอวี้เจานั่งจิบชาด้วยท่าทีสบายอารมณ์ โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น "ยังต้องจัดการอะไรอีกหรือ? ข้าบอกไปแล้วว่าหลังเสร็จงานนี้จะพักผ่อนเสียหน่อย คงไม่มีใครกล้าเรียกใช้อีก"
"แต่ขุนนางผู้ใหญ่หลายท่านถึงขั้นจ่ายมัดจำไว้แล้ว คอยท่านด้วยความหวัง อย่างกับเฝ้ารอดวงจันทร์ในคืนมืด ท่านจะส่งข้าไปปฏิเสธพวกเขาจริงๆ หรือ?"
"เจ้ากินข้าวอยู่ตำหนักข้า นอนอยู่ตำหนักข้า ใช้เงินข้า แล้วเหตุใดจึงกลัวผู้อื่นมากกว่าเล่า?" คำพูดของนางมาพร้อมกับใบหน้าเคร่งขรึม ราวกับกำลังว่าความในศาล "ไปบอกพวกเขาเสีย ว่าข้าจัดหาคู่มามากมายจนถึงขั้นอ่อนล้า จำต้องเก็บตัวพักฟื้น หากยังฝืนทำงานต่อ เกรงว่าจะเกิดอาการวอกแวก เผลอจับคู่ผิดคนเข้า แม้แต่งงานกันไปแล้ว...สุดท้ายก็ต้องจบลงด้วยการหย่าอยู่ดี!"
เจียงเฉินถึงกับสะดุ้ง รู้สึกอยากชักดาบออกมาเสียตรงนั้น
"นายหญิง ใครจะไปเชื่อเรื่องเหลวไหลของท่านกัน!"
เสิ่นอวี้เจาค่อยๆ ล้วงตั๋วเงินออกมาปึกใหญ่ แล้วยื่นให้องครักษ์หนุ่ม
"เอ่อ ข้าจะปฏิบัติตามคำสั่งขอรับ! ข้าจะรายงานข่าวการเก็บตัวของท่านอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แม้แต่เงาจิ้กจกก็ยังมิอาจมารบกวนได้!"
"ว่านอนสอนง่าย" เสิ่นอวี้เจายกยิ้มอย่างพอใจ
แต่ดูเหมือนจะมีเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้
"เอ่อ นายหญิง ข้าน้อยมีอีกเรื่อง ฝ่าบาทส่งคนมาแจ้งข่าว ทรงขอให้ท่านจัดสรรเวลาเสียหน่อย ก่อนการเก็บตัวครั้งนี้ อยากพบท่านเป็นการส่วนตัว"
เสิ่นอวี้เจาส่ายหน้าอย่างเย็นชา "ตาแก่นั่นชอบทำตัวเกรงใจ รู้ทั้งรู้ว่าข้าจะพักแล้ว ยังมาแสดงมารยาทอีก มีธุระอันใดกันแน่ หรือคิดจะมองหาสาวงามหลังเห็นบรรดาเหล่านางสนม?"
เจียงเฉินแทบอยากกลั้นน้ำตาในใจ ไม่มีใครทนความปากคมของนายหญิงได้จริงๆ
"ข้าน้อยขอร้องล่ะนายหญิง หุบปากเถอะ หากท่านเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่มีใครกล้ามาขอแต่งงานกับท่านแน่!"
"หากใจมีรัก ก็อย่าห่วงว่าจะไร้คนมา"
เจียงเฉินสงบใจแล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง "ข่าวที่ข้าน้อยมาแจ้ง ดูเหมือนจะเกี่ยวกับ..." เขาหยุดครู่หนึ่ง ก่อนพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา "เรื่องขององค์รัชทายาท"
ถ้วยชาที่อยู่ในมือของเสิ่นอวี้เจาพลันสั่นไหว น้ำชาหกเปื้อนเต็มไปหมด นางนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ก่อนเช็ดคราบน้ำด้วยผ้าอย่างใจเย็น "กำลังของข้ายังไม่มั่นคงพอ"
เจียงเฉินมองด้วยความงุนงง จนได้ยินเสียงพึมพำของนาง
"ฮ่องเต้คิดจะลากข้าเข้าไปพัวพันกับปัญหาอีกแล้วหรือ? ฉู่มู่ฉือ คิดจะก่อเรื่องทำลายชีวิตลูกสาวชาวบ้านอีกแล้ว"
การกระทำของเจียงเฉินย่อมไม่อาจสำเร็จแท้จริงแล้ว ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เขาแอบย่องเข้าไปในห้องของฉู่มู่ฉืออย่างเงียบเชียบ ก็ถูกจับได้เสียแล้ว ตอนที่ก้าวออกมา สิ่งที่เห็นคือองค์รัชทายาทยืนพิงประตูอยู่ หาวออกมาด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ทันใดนั้นเจียงเฉินก็ตัวแข็งทื่อยืนจังงังอยู่กับที่"ฝะ...ฝ่าบาท..."" ถึงกับรบกวนองครักษ์เจียง มาช่วยทำความสะอาดห้องให้ข้า ช่างรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก"หัวใจของเจียงเฉินแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ มีลางสังหรณ์ว่าเพราะตั๋วเงินสองใบนี้ ตนเองอาจต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างมหาศาล "กระหม่อม…คือ กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จนปัญญาจะพูดอะไรออกมาปลายหางตาของฉู่มู่ฉือยกขึ้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้า "หากข้ามองไม่ผิด เมื่อครู่สิ่งที่เจ้านำเข้าไปในห้องคือ'ตะปูเหล็ก' ใช่หรือไม่? หรือเจ้าตั้งใจจะทำ'กระบองหนามพกพา' ให้ข้าไว้ป้องกันตัวกันแน่?""กระหม่อมเพีย
เพื่อระบายความคับแค้นใจ นางถือกรรไกรในมือ ตัดผมมวยของเหล่าคนรับใช้ ที่มาจากตำหนักองค์รัชทายาทซึ่งยืนเรียงรายกันอยู่หน้าประตูโดยไม่มีความลังเล เสียงร้องโอดครวญดังก้องไปทั่วบริเวณ"ลำพังแค่รับใช้ไท่จื่อก็ลำบากกันจะแย่แล้ว คราวนี้ยังต้องมาเผชิญภัยพิบัติที่ไม่คาดคิดอีก ข้าเองก็จนปัญญาเช่นกัน"เสิ่นอวี้เจาเอ่ยถ้อยคำด้วยท่าทีสบายอารมณ์ ประหนึ่งเหตุโกลาหลเมื่อครู่นั้นเป็นฝีมือของใครสักคนที่ผ่านมา มิใช่นางเองแม้แต่น้อยทว่าแม้ทุกคนจะรู้ดีว่า ใคร คือต้นเหตุของหายนะ พวกเขากลับทำได้เพียงกลืนคำไว้ในลำคอ หอบเอาความโกรธเคล้าความสิ้นหวังเก็บลงไปใต้แววตาขมขื่นมือข้างหนึ่งลูบศีรษะเบาๆ ตรงบริเวณที่ผมบางจนนับเส้นได้ พร้อมคำถามในใจที่ไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ยสรุปแล้วพวกข้ายังมีผมเหลืออยู่กี่เส้นกันแน่…ชีวิตช่างยากลำบากนัก!จนกระทั่งเสียงทุ้มของบุรุษดังขึ้นจากข้างหลัง พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่น่าหมั่นไส้"ฝีมือดีมาก มีเอกลักษณ์ ข้าชอบยิ่งนัก"แน่นอนว่าเจ้าของเสียงคือ องค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ นั่นเอง!เสิ่นอวี้เจานั้นคือสตรีผู้ใช้ชีวิตตามใจ มิใช่เพราะไร้เหตุผล หากแต่เพราะนางเชื่อมั่นในตรรกะของตนเอง และเลือกจ
ทั่วทั้งเมืองหลวงเมื่อลองนับดูแล้ว คงมีเพียงสองคนเท่านั้น ที่สามารถส่งผลต่ออารมณ์ของเสิ่นอวี้เจาได้ คนแรกคือองค์ชายห้าฉู่หยุนชิง ส่วนอีกคนคือ องค์รัชทายาทฉู่มู่ฉือสำหรับคนแรกนั้นเป็นความลับของเสิ่นอวี้เจา จึงยังไม่ต้องพูดถึงในตอนนี้ ส่วนคนหลังกลับกลายเป็นคนที่นางนับว่าเป็นศัตรูโดยแท้ ว่ากันว่าโชคชะตาของฉู่มู่ฉือนั้นแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับในวังหลวง เพราะมีข่าวลือว่าตั้งแต่แรกเกิด องค์รัชทายาทก็ทำให้ ฮองเฮาต้วนฮุ่ย ต้องสิ้นพระชนม์จากการคลอดยาก หลังจากนั้นพี่เลี้ยงก็ลื่นล้มขาหักโดยไม่ทราบสาเหตุ บ่าวไพร่ที่รับใช้ใกล้ชิด ก็ล้วนมีอันเป็นไปในหลากหลายรูปแบบ กล่าวได้ว่าเพียงแค่ได้ยินชื่อก็เศร้าใจ พอได้เห็นก็ยิ่งอยากร้องไห้ถึงกับมีการเชิญนักพรตชื่อดังที่สุดในเมืองหลวงมาเข้าวัง นักพรตได้ประกาศว่า โชคชะตาขององค์รัชทายาทคือดาวพิฆาต ที่ปรากฏครั้งหนึ่งในรอบร้อยปี ใครที่อยู่ใกล้จะโชคร้าย แต่งงานยาก ทำลายครอบครัว สร้างความบาดหมางกับพี่น้อง หากไม่ใช่เพราะ พลังแห่งมังกร คุ้มครองไว้ แม้แต่ฮ่องเต้เองก็อาจถูกดึงเข้าไปในหายนะด้วยสำหรับเสิ่นอวี้เจา นางได้ลิ้มรสความโชคร้าย ที่ฉู่มู่ฉือ
วันหนึ่งที่โรงน้ำชาร้านยอดนิยม ซึ่งแน่นขนัดไปด้วยลูกค้าในเมืองหลวงของแคว้นฉี นักเล่าเรื่องเจ้าของป้ายแดงนำพัดออกมาเคาะโต๊ะเสียง "ปัง" พร้อมหมุนเคราบางๆ อย่างตั้งใจ เล่าเรื่องราวอย่างออกรสจนใบหน้าขึ้นสี"โบราณว่าไว้ว่า ‘รถกวาง วิ่งไปไหนมาไหนอย่างอิสระ เล่นหมากรุก ดื่มเหล้าใต้ร่มต้นอบเชย ความรักของโลกีย์ ความสุขและความเศร้าของการพบและจาก มือที่ถือด้ายแดง’ คำพูดนี้บรรยายถึงเฒ่าจันทรา ซึ่งเปรียบเทียบเท่าแม่สื่อวันนี้เราจะมาพูดถึงแม่สื่ออันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง เสิ่นอวี้เจา!""อยากรู้เกี่ยวกับพื้นเพของ เสิ่นอวี้เจา หรือไม่ ต้องเริ่มต้นจากพี่น้องร่วมสาบานของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน แม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดิน เสิ่นหยุนเซียว บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ และยังเป็นบิดาของเสิ่นอวี้เจาด้วย! เมื่อครั้งที่ทั้งสองแคว้นทำสงครามกัน แม่ทัพเสิ่นเสียชีวิตในสนามรบ และเสิ่นฮูหยินก็ฆ่าตัวตายเพราะความรัก ครอบครัวของนางจึงล่มสลาย ฮ่องเต้ทรงสงสารและรับตัวเด็กหญิงเข้าวังไปเลี้ยงดู ราวกับเป็นลูกสาวของพระองค์เอง! นางได้รับการปฏิบัติเหมือนองค์หญิงทุกประการ เมื่อเติบโตขึ้นและต้องการเป็นแม่สื่อของราชวงศ์ ฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาตอย่างเต็มใจ!
Comments