หลิวไท่หยางเห็นกิริยาของนางแล้วนัยน์ตาก็เข้มขึ้น ความปรารถนาที่เพียรซุกซ่อนไว้เริ่มพลุ่งพล่านยากควบคุมซิงเยว่ยอมไม่รู้ตัวว่าท่าทางเช่นนี้ของนางแอบแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ชวนวาบหวามใจเพียงใด ทำเอาเจ้าของตักแกร่งต้องลอบสูดลมทอดถอนใจ นึกอยากก้มหน้าลงกัดจมูกเล็กเชิดรั้นสักคำจริงๆ พวงแก้มแดงเรื่อนี่อีก น่ากดจูบยิ่งนักกลิ่นอายอึมครึมบนกายบุรุษจึงผ่อนคลาย ความตึงเครียดเมื่อครู่คล้ายได้รับการปลอบประโลมเพราะเหตุฉะนี้“เจ้าหลับเถอะ ตื่นมาจะได้ดูแลข้าไม่บกพร่อง”ตักอุ่นสูงค่าขนาดนี้ ปฏิเสธย่อมโง่เต็มที ซิงเยว่จึงขยับกายจัดท่าสบายตัวแล้วหลับตาสบายใจขบวนสินค้าสกุลหลิว ทอดตัวยาวเหยียด คดเคี้ยวไปตามทางตรอกซอกหุบเขาเนินสูงมีพุ่มไม้ใบหนาปกคลุมโดยทั่ว เงาดำทะมึนเคลื่อนไหวเนิบนาบ อำพรางกายมิดชิดเสียงแหบห้วนเอ่ยแผ่วเบา “สินค้ามากมายปานนั้น ปล้นชิงมาสักคันรถ คงมีเงินให้พวกเราได้ร่ำสำราญนานเป็นเดือนกระมัง” จบคำก็หัวเราะในลำคอ แววตาเหี้ยมเกรียมอีกคนแสยะยิ้มกล่าว “ขบวนยาวขนาดนี้ สมควรเข้าปล้นและฉกชิงมาสักสองคันรถ เจ้าอย่ามักน้อย!”“หึๆ ความคิดดี ฆ่าได้ฆ่า! ไป!”จังหวะนั้น บุรุษหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งพลันชักดาบขว
การเดินทางแม้ราบรื่นทว่ารถม้าที่โยกคลอนนั้น ทำคนอ่อนเพลียยากหลีกเลี่ยงซิงเยว่ถูกหลิวไท่หยางบังคับให้นั่งรถม้าอยู่ด้วยกัน นางจึงคอยดูแลรินน้ำชาจัดขนมใส่จานให้เขาอย่างเอาใจใส่ จากนั้นก็นั่งปักผ้าอย่างเพลิดเพลินไปเรื่อยๆทว่านานเข้าก็เริ่มปวดเมื่อยและเหนื่อยล้านัยน์ตา อดมิได้ที่จะแอบเหลือบมองผู้เป็นนายข้างกายจนคลายใจว่ามิต้องรับใช้อันใดอีก ขบคิดครู่หนึ่งจึงอิงศีรษะกับผนังรถม้า ขยับกายจัดท่วงท่าจนสบายตัว จากนั้นก็งีบหลับเสียเลยครั้นคนหนึ่งแอบหลับ อีกคนที่แกล้งหลับก่อนหน้าก็ค่อยๆ ปรือตาขึ้นช้าๆแท้จริงแล้ว หลิวไท่หยางเพียงนั่งนิ่งแสร้งหลับอย่างไม่สงวนท่าทีเพื่อให้ซิงเยว่ได้ผ่อนคลายนั่นเองชายหนุ่มพรูลมหายใจออกมา รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการตีหน้าเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาครึ่งค่อนวันเรื่องของซ่งเสวียนชิงรบกวนจิตใจของเขายิ่งนัก คิดว่าก็คงรบกวนจิตใจของซิงเยว่เช่นกันหากบอกว่านางเองก็แอบเก็บไปคิดมากย่อมต้องใช่ เมื่อมีคนหนึ่งออกปากว่าอาจเป็นบิดา มีใครบ้างไม่ใส่ใจกระนั้นเป็นเขาเองที่ทำปากหนักตีหน้านิ่งไม่สึกรู้สาในเมื่อเขาผู้เป็นนายไม่เอ่ย นางผู้เป็นบ่าวไหนเลยจะกล้าไต่ถามเอาความได้เขาแ
เมื่อส่งซิงเยว่เข้าไปนั่งในรถม้า ปิดผ้าม่านมิดชิด หลิวไท่หยางก็ออกมายืนตระหง่านดุจปราการอยู่ด้านล่างสายตาดำจัดคมกริบปะทะเข้ากับสายตาที่กำลังมองเข้ามายังรถม้าของซ่งเสวียนชิงเข้าพอดิบพอดีซ่งเสวียนชิงที่กำลังมองรถม้าจึงเห็นเพียงบุรุษหนุ่มที่ยืนปิดกั้นผ้าม่านซึ่งกำลังพลิ้วไหวปิดเงาร่างเป้าหมายทันทีความเย็นชาชวนเหน็บหนาวที่แผ่ซ่านออกมาจากเรือนกายของชายหนุ่มนั้นทำคนมองต้องขมวดคิ้วเข้าหากันยิ่งการวางท่าห่างเหินทั้งสร้างกำแพงออกมากางกั้นมิให้ย่างกรายเข้าใกล้ ยิ่งทำคนฉงนจนต้องหลุบตาขบคิด เพียรคาดคะเนไปต่างๆ นานา ถึงอาการเช่นนั้นของคนหนุ่มหากคาดเดาไม่ผิด หลิวไท่หยางคงกำลังหวงแหนสตรีของตน กลัวคนมาพรากไปจากอกกระมังซ่งเสวียนชิงมั่นใจว่าตนเองมิได้ทำสิ่งใดไม่ถูกต้อง ตรงกันข้าม มีแต่จะทำให้ถูกต้องอย่างที่สุดต่างหากเขาเดินเข้ามาทักทายหลิวไท่หยางผู้เป็นเจ้าบ้านและผู้ว่าจ้างงานคุ้มกันรายใหญ่“นายน้อยหลิว”หลิวไท่หยางประสานหมัดคารวะผู้อาวุโสกว่าตามมารยาท “นายท่านซ่ง”หลังคำนับทักมาย บุรุษต่างวัยพลันมองหน้ากันนิ่งๆ คล้ายหยั่งเชิงในที ความเงียบสงัดโรยตัวอยู่รอบกายครู่หนึ่งทั้งสองยืนอยู่ด้านข้างของร
การรับอนุสักคนเข้ามาเป็นเรื่องเล็กๆ ของเรือนหลัง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะริษยาชิงชังของอิสตรีทั้งสิ้นการที่สามีรับอนุสักคนเหตุใดต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ จิตใจคับแคบเกินไปแล้วหรือไม่?นี่คือเหตุผลที่เด็กหนุ่มหลายคนในยามนั้นที่รอดชีวิตเลือกที่จะติดตามซ่งเสวียนชิงมา แม้จะยากลำบากก็ตามกระนั้นก็มิใช่ว่าจะไม่รู้สึกเห็นใจอดีตฮูหยินและบุตรีของอดีตฮูหยิน เพียงแต่บุรุษย่อมเห็นใจบุรุษด้วยกัน ถึงอย่างไร เรื่องนี้คนที่น่าเห็นใจที่สุดล้วนเป็นซ่งเสวียนชิงไม่เพียงแต่คนเหล่านี้ที่คิดเช่นนั้น ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ครั้งที่เกิดเรื่องลอบวางเพลิงจนมีคนบาดเจ็บ คนส่วนใหญ่ที่พอทราบข่าวล้วนคิดเช่นเดียวกันยามนั้นทุกคนเห็นว่าการวางเพลิงเผาจวนผู้อื่นจนวอดวายสิ้นเนื้อประดาตัวเพราะสตรีผู้หนึ่งเป็นเรื่องที่อุกอาจอย่างที่สุด ท้าทายกฎหมายบ้านเมืองจนเกินไป มิอาจอภัยนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดคนกลุ่มหนึ่งจึงเร้นกายหายไปไม่หวนกลับมา“เมื่อพูดถึงฮูหยินจู ข้าว่าพวกเจ้าก็อย่าเพิ่งพูดมากเกินไปจะดีกว่า รอความจริงกระจ่างก่อนเถอะ หากมิใช่บุตรสาวของพี่ใหญ่ซ่งก็แล้วไป แต่ถ้าใช่ นางก็จะได้หลุดพ้นจากฐานะสาวใช้ พวก
สองวันให้หลัง ขบวนเดินทางของหลิวไท่หยางรวมถึงขบวนสินค้าถูกจัดเตรียมอย่างรัดกุมสกุลหลิวเป็นคหบดีใหญ่ในเมืองหลวง เป็นหนึ่งในสี่ผู้ทรงอิทธิพลฝ่ายวาณิชย์แห่งเยี่ยน ดังนั้นการเคลื่อนขบวนแต่ละคราจึงค่อนข้างยิ่งใหญ่และยาวเหยียด สินค้าล้ำค่าและหายากมากมายถูกบรรจุในขบวนเต็มอัตราหลิวไท่หยางมีอีกตัวตนคือเจ้าแห่งสำนักตะวันเดือด แต่เกิดเหตุผลิกผันจึงนำพาสมุนจากสำนักตะวันเดือดกลับเข้าเมืองหลวงหลายชีวิตจากนั้นก็กระจายคนไปทั่วแคว้น เพื่อคอยปกป้องและดูแลกิจการอันมั่งคั่งให้สกุลหลิวซึ่งมีทั่วราชอาณาจักรเรียกได้ว่าเป็นพ่อค้าเหนือสามัญ มีหลงจู๊ไม่ธรรมดายามนี้ข้างกายหลิวไท่หยางคงเหลือเพียงจิ้นสิงและองครักษ์จำนวนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่หลักคือคุ้มครองเจ้านายส่วนสินค้าย่อมว่าจ้างสำนักคุ้มภัยที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคและปีนี้ผู้ถูกเลือกคือสำนักคุ้มภัยของซ่งเสวียนชิง โดยจิ้นสิงคัดสรรเลือกเฟ้นจากร้อยสำนักคุ้มภัยในเยี่ยนมาตรว่าสำนักคุ้มภัยของซ่งเสวียนชิงเข้าตาจิ้นสิงเพราะได้รับการยืนยันว่ามุมานะบากบั่นอย่างอดทนถึงเก้าปี ล้มลุกคลุกคลานมาไม่น้อย กระนั้นกลับไม่ย่อท้อ ยังสู้ต่อ กระทั่งเข้าปีที่สิบก็กลายเป็นที่ยอมรับในวงก
ซิงเยว่นึกเข่นเขี้ยวเหลือจะกล่าว “ท่านสั่งซิงเอ๋อร์เยอะเกินไปจนจำได้ไม่หมดกระมัง?”หลิวไท่หยางชอบเวลานี้ที่สุด เขาชอบที่นางต่อปากต่อคำกับเขานี่ล่ะ“เช่นนั้นเจ้าก็ปักผ้าเถอะ ข้าไม่รบกวนเจ้าหรอก” ว่าแล้วก็หลับตา คำว่าไม่รบกวนของเขาคือนอนหนุนตัก ชนิดปักหลักไม่ลุกขึ้นแต่อย่างใดหญิงสาวถอนหายใจเสียงดัง “อันที่จริง นายน้อยควรกลับไปนอนบนเตียงของตัวเองนะเจ้าคะ แบบนั้นถึงจะเรียกว่าไม่รบกวน”“ข้าจะนอนตรงนี้ นอนนิ่งๆ เจ้าก็ปักผ้าไปสิ”ซิงเยว่กรอกตานึกเอือมระอา หันไปวางสดึงอันเล็กแล้วหยิบอันใหญ่ที่ขึงผ้าไว้บนโต๊ะมาปักแทน ผ้าผืนใหม่ปลายของมันค่อนข้างยาวจึงทิ้งตัวรุ่มร่ามระใบหน้าคนนอน หลังจากลงฝีเข็มไปได้สักพัก จึงรู้สึกถึงแรงขยับของเขาเมื่อปลายผ้าทำผิวหน้าคันยุบยิบ หลิวไท่หยางพลันย่นจมูก รู้ว่านางกลั่นแกล้งคิดเอาคืน หวังไล่คนชายหนุ่มหรี่ตาแลดูคนเจ้าเล่ห์ใช้อารมณ์ แต่กลับแสร้งทำตัวน่ารักว่าง่ายอ่อนแอปวกเปียกผู้นี้นิ่งๆบุรุษมิได้เอ่ยวาจาใด เพียงพลิกกายนอนตะแคงข้างหานางแล้วเอื้อมวงแขนกอดเอวบางเสียเลย ใบหน้ายังซุกซบตรงหน้าท้องแบนราบหอมกรุ่นซิงเยว่ตื่นตะลึง ตัวเกร็งแข็งทื่อ อึ้งไปชั่วขณะนางพ่ายแพ้