ฤดูเหมันต์เวียนบรรจบ หิมะโปรยปราย สองข้างทางขาวโพลนอีกครา เกิดประกายระยิบระยับยามกระทบโคมไฟยามราตรีอีกครั้งในรอบหลายปี แม้ต่างเวลา ทว่าความตระการตากลับไม่แตกต่างจากปีนั้นปีที่ชายหญิงคู่หนึ่งพบพานและประชันกันที่ลู่หยุน จวบจนความรักลอยวนรอบกายพวกเขาทั้งสองกลายเป็นคู่รักร่วมฝ่าฟันอุปสรรคกระทั่งได้แต่งงานกันในที่สุดวันนี้ซิงเยว่กลายเป็นภรรยาของหลิวไท่หยางแล้วสตรีผู้หนึ่งหยุดการเดินทางโลดโผนในยุทธภพกลายเป็นฮูหยินของคหบดีหนุ่มอย่างเต็มตัวเต็มใจนางยินดีอยู่เหย้าเฝ้าเรือนอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ให้สามีทำงานนอกบ้านหาเลี้ยงเฉกสตรีทั่วไปชั้นห้าภายในโรงเตี๊ยมเก้าชั้นค่ำคืนนี้ได้รับเกียรติต้อนรับคณะเดินทางของกลุ่มพ่อค้าต่างเมืองหลายกิจการ หลิวไท่หยางจึงอยู่ร่วมวงสังสรรค์โดยปล่อยภรรยาอยู่บ้านงานเลี้ยงวันนี้มีพ่อค้าหลายคน ข้างกายแต่ละคนล้วนมีสาวงามนั่งขนาบด้านซ้าย คอยดูแลปรนนิบัติอย่างดีไม่ต่างจากภรรยาไม่เว้นแม้แต่หลิวไท่หยางข้างกายของเขาก็มีสาวงามรูปโฉมเป็นเลิศเช่นกันสตรีผู้นี้ใบหน้าสะสวยอย่างยิ่ง ความสะคราญโฉมรวมกับรูปร่างอรชรแลดูเย้ายวนทุกส่วนของนางเป็นสิ่งที่บุรุษมิอาจเพิกเฉยมองเมินได้เ
การประลองคู่แรกเริ่มต้นยามเฉิน[1]ซิงเยว่เป็นผู้ชมที่ดี ยืนรอลำดับการแข่งขันของตนอยู่ที่มุมเล็กหลังสุดเงียบๆ โดยมีซีฮวาคอยดูแลผ้าโปร่งสีขาวปิดหน้าให้อย่างระมัดระวังและพิถีพิถันการแข่งขันดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างครึกครื้น มีผู้แพ้และผู้ชนะในแต่ละรอบที่เรียกได้ว่าฝีมือเท่าเทียมสูสีเมื่อได้เวลาของซิงเยว่ หญิงสาวก็เดินขึ้นบันไดไปยืนกลางลานประลอง โค้งกายคำนับรอบทิศอย่างนอบน้อม เพื่อมิให้ตนเองดูผิดแผกจากผู้อื่นมากนักผู้คุมการประลองประกาศถาม “จอมยุทธ์หญิงผู้นี้ เจ้ามีนามว่าอะไร?”สตรีร่างระหงหนึ่งเดียวยืนตระหง่านบนเวทีประลอง ท่าทางสุขุมลุ่มลึกสงบเยือกเย็นแต่แฝงเร้นซึ่งอันตราย“เรียกข้าว่าบุปผารัตติกาล...”“เป็นนามที่ดี” ผู้คุมการประลองกล่าวอย่างขึงขัง “เชิญแม่นางเลือกป้ายชื่อท้าประชัน”นางกวาดดวงตาหงส์ทรงเสน่ห์มองนิ่งประกาศท้าชิงอย่างเย็นชา “ข้าขอท้าประลองศิษย์อันดับหนึ่งลู่หยุน”เสียงฮือฮาเกิดขึ้นทันที ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสตรีใจกล้าถึงขั้นท้าประชันกับบุคคลผู้นี้ซิงเยว่ไม่รู้ว่าทุกคนจะส่งเสียงเอิกเกริกทำไมและยิ่งไม่รู้ว่าบุคคลที่นางท้าชิงเป็นใครหน้าตาเป็นเช่นไร นางเพียงยืนรออย่างสงบเสงี่ยมท่า
ฤดูเหมันต์ หิมะโปรยปราย สองข้างทางขาวโพลน เกิดประกายระยิบระยับยามดวงตะวันส่องกระทบลงมาหลังจากเสร็จสิ้นงานปล้นชิงเศรษฐีหน้าเลือดผู้หนึ่งด้วยความสะใจ นายหญิงรองซิงเยว่ก็พาสมุนสองสามคนเดินทางมายังบ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหานโจวหญิงสาวมิได้มาเพื่อใช้เงินถลุงกับบ่อนพนันแห่งนี้ หากแต่นางมาเก็บเงินจากรายได้ทั้งหมดของบ่อนต่างหากเมื่อซิงเยว่ปรากฏกายภายใต้หน้ากากเงินเย็นเยียบ นายใหญ่ของโรงพนันแห่งนี้ก็โค้งคำนับอย่างกล้าๆ กลัวๆ พร้อมมอบเงินก้อนทองให้สองหีบใหญ่อย่างไม่อิดเอื้อนซิงเยว่มองนิ่งๆ ไม่กล่าวสิ่งใดเพียงโบกมือสั่งการสมุนสองคนให้นำเงินทั้งหมดกลับไป“ข้ากับซีฮวาจะอยู่เที่ยวเล่นสักสองสามวัน พวกเจ้ากลับไปรายงานพี่ใหญ่ตามนี้”“ขอรับนายหญิง”สมุนร่างสูงตัวโตสองคนประสานหมัด จากไปทันทีซิงเยว่จึงพาสมุนที่เหลืออีกคนนามว่าซีฮวาเดินทางไปยังสำนักลู่หยุนแคว้นเยี่ยนแบ่งแยกบุ๋นบู๊ชัดเจน สำนักศึกษาจึงมีสำนักบัณฑิตและสำนักฝึกยุทธ์หลายแห่ง หญิงสาวได้ข่าวว่าจะมีการท้าประลองระหว่างสำนักบู๊เพื่อเชิดชูอาจารย์และประกาศศักดาแต่ละสำนักให้ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือขจรไกล ทั้งนี้ยังมีเงินรางวัลล่อตาล่อใจสำหร
ซินเอ๋อร์ให้นึกระอา “ไอ๋หยา พี่ใหญ่ ทำสีหน้าแบบนี้อีกแล้ว รู้หรือไม่ว่าพี่จื่อหรานหลงรักพี่มากปานใด แต่ดูท่าน รังเกียจนางปานนี้ ทำตัวเสเพลเพื่อกลั่นแกล้งให้นางเกลียด ใจร้ายเกินไปแล้ว นางเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้านะ”เยี่ยนเต๋อชะงักเล็กน้อย ที่แท้กู้ฉีรุ่ยก็ไม่ชอบหรือ?ชายหนุ่มกระแอมไอ เอ่ยเสียงขรึม “เรื่องของจิตใจบังคับกันไม่ได้ มีทางใดจะถอนหมั้นนางได้หรือไม่?”ซินเอ๋อร์ถอนหายใจเฮือก กล่าวอย่างหนักอก“พี่ใหญ่ไม่รู้อะไร วันที่พี่ใหญ่ต่อยตีกับอันธพาล พี่จื่อหรานเข้าไปช่วยพี่ใหญ่จนเป็นลมหมดสติ พอฟื้นขึ้นมาก็ประกาศว่าจะถอนหมั้นกับพี่เสียอย่างนั้น ข้าตกใจนัก”เยี่ยนเต๋อเลิกคิ้ว ยังไม่ทันโต้ตอบอะไรกลับได้ยินน้องสาวกล่าวอย่างกังวลใจว่า “มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่สบายใจ เมื่อวานตอนไปเยี่ยมพี่จื่อหราน นางเหมือนจำตัวเองไม่ได้เฉกเดียวกับพี่ใหญ่ ทั้งยังเรียกตัวเองว่าโม่เหลียน”สิ้นวาจาของน้องสาวตัวน้อย บุรุษหนุ่มพลันลุกพรึบ แววตาลึกล้ำเจือประกายประหลาดไม่รอให้ถึงวันใหม่ เพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ เยี่ยนเต๋อก็พาร่างสูงของตนมาถึงจวนของคู่หมั้นแล้วขณะเดินไปมาเพื่อรอพบหน้าคนตรงเรือนด้านนอก ชายหนุ่มพ
หมิงเยว่เอ่ยบ้าง “ข้ารู้เหตุผลที่ท่านแม่ทำลงไปนั้น แม้ดูเหมือนเห็นแก่ตัวแต่แท้จริงท่านแม่แค่อยากปล่อยมือจากท่านพ่อโดยไม่ต้องทรมานทั้งตนเองและผู้อื่น ท่านแม่รู้นิสัยของพวกข้าพี่น้องดี หากยังอยู่ร่วมชายคากับคนเหล่านี้มีแต่จะฟาดฟันกันไร้ความสงบสุข ท่านแม่ให้พวกข้าไปอยู่กับท่านตาและใช้วิธีโหดเหี้ยมเพื่อตัดขาดไม่เกี่ยวข้องกันอีก เพื่อให้ท่านพ่อได้อยู่กับครอบครัวใหม่โดยไม่มีท่านแม่และพวกข้าคอยสร้างเรื่องให้พวกเขาทุกข์ทนมากกว่าที่เป็นอยู่”หลิวไท่หยางสบตากับหยางเจี้ยนสองบุรุษให้นึกเลื่อมใสความใจกว้างยอมเสียสละนี้ของมารดาภรรยาอย่างไร้ข้อกังขาสตรีนามโม่เหลียนจะถูกจารึกไว้ในใจตลอดไปทุกคนจึงยกจอกสุราขึ้นเบื้องหน้าแล้วดื่มรวดเดียว เป็นอันตกลงร่วมกัน ตระเตรียมสิ่งของเริ่มวิชามารทันทีจวนสกุลกู้ของเสนาบดีกู้เจิ้งแคว้นเยี่ยนบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาบนเตียง เขาทอดกายนอนอยู่นานแค่ไหนก็สุดรู้หลังลุกขึ้นนั่งสลัดศีรษะสองสามครั้งเพื่อเรียกสติที่พร่าเลือนให้แจ่มชัดขึ้นจึงได้สำรวจทั่วห้องอย่างละเอียด พบว่าที่นี่มิใช่ตำหนักหรูหราที่ตนเคยอยู่แต่อย่างใดเยี่ยนเต๋อมิรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ภา
ต่อให้ซ่งเสวียนชิงไม่อาจยอมรับแต่จำต้องแบกรับความผิดบาปนี้ไว้ตลอดชีวิตที่เหลือครอบครัวที่เหมือนสมบูรณ์กลับให้ความรู้สึกขาดวิ่นแหว่งเว้าในทุกวันเยี่ยนเต๋อรู้ข่าวของโม่เหลียนในวันที่สายเขาเร่งรุดมาถึงกลับเห็นเพียงป้ายวิญญาณของนาง จึงทำได้เพียงหลั่งน้ำตาเงียบงัน เฝ้าโทษตัวเองที่ตัดสินใจปล่อยมือโม่เหลียนง่ายเกินไป ทุกอย่างคือความผิดของเขาเป็นความผิดไม่อาจอภัยเยี่ยนเต๋อที่ยามนี้ไร้สตรีข้างกาย ทั้งยังไร้บุตรธิดา จึงเลือกติดตามโม่เหลียนไปเพื่อแก้ไขสิ่งผิดคิดเพียงให้นางได้เลือกใหม่ในภพชาติหน้า...เรือนพักผ่อนริมทะเลสาบชานเมืองของสกุลหลิวทุกคนนัดรวมตัวกันที่นี่เพื่อหลีกเลี่ยงหูตาที่จับจ้องความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างผู้ทรงอิทธิพลที่สุดสองขั้วอำนาจแห่งแคว้นเยี่ยนไม่ควรเปิดเผยอย่างยิ่งหยางเจี้ยนและหลิวไท่หยางบุรุษทั้งสองจำต้องมาเจอหน้าเพราะภรรยาของตนพวกนางสองคนคือพี่น้อง ชอบนัดเจอกันนอกเรือน สามีจึงต้องตามติดมาดูแลอย่างใกล้ชิดมิให้ห่างกายซิงเยว่มิได้สนใจฝ่ามือรุ่มร่ามซุกซนจากสามีขี้อ้อนของตน นางหันมาคุยกับอีกคน“พี่เขย ข้ารู้ว่าท่านมีวิชายุทธ์สูงส่ง ทั้งยังสำเร็จวิชาในตำนาน ข้ามีความ