เนินเขาหินปูนสูงตระหง่านเหนือพื้นน้ำสีคราม อันเป็นธรรมชาติสรรสร้างภูมิทัศน์ราวกับความฝัน
ทะเลยามสายัณ อาทิตย์อัสดง ท้องฟ้าและท้องทะเลกลายเป็นสีแดงโลหิต บรรยากาศเหนือมวลน้ำเยียบเย็นอบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะ
เรือรบขนาดใหญ่หลายลำเคลื่อนตัวล้อมรอบเข้ามา ทหารเกราะเหล็กรูปร่างกำยำสูงใหญ่บนเรือหลายร้อยชีวิตกำลังยกคันธนูขึ้นเตรียมยิง ทุกสายตามองปลายธนูอย่างแข็งกร้าว กล้ามเนื้อทุกส่วนตึงเครียดอย่างยิ่ง
ภายในหุบเขามรณะบนเกาะลึกลับกลางทะเลที่เคยเขียวชอุ่ม บัดนี้กลับชุ่มโชกไปด้วยเลือดของเหล่าผู้คน กำเนิดธารโลหิตแดงฉานไหลหลากไปตามรากไม้
สายลมเย็นเยียบม้วนตัวอย่างบ้าคลั่งราวพายุที่เก็บกดมาแรมปี หอบโชยทุกความหนาวเหน็บที่ผสานกลิ่นคาวคละคลุ้งทั่วบริเวณมาโอบรอบเรือนร่างระหงสีชาด
นางคือหมิงเยว่
เจ้าของหน้ากากเงินยวงดุจสีนวลแห่งดวงจันทร์ ผู้ยืนตระหง่านเบื้องหน้าสมุนโจรทุกคน
ท่ามกลางซากศพมากมาย ท่ามกลางชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์ที่ฉีกขาดกระจายเกลื่อน ภายใต้ความรู้สึกอันหลากหลายที่สาดซัดอย่างคลุ้มคลั่งยามก้มมองเศษซากชีวิตที่สิ้นสูญของคนที่เคยคุยเล่น เคยหยอกล้อ เคยหัวเราะ เคยทะเลาะกันทุกวัน ท่ามกลางแสงแดดอันเดือดระอุส่องกระทบหน้ากากเงินบนใบหน้าส่งผลให้ดวงเนตรงดงามภายใต้หน้ากากนั้น...
ช่างดูวาววับจับตา ทว่ากลับเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
หญิงสาวชุดสีดำคาดแดงมองคล้ายรัตติกาลที่แขวนเสี้ยวจันทร์สีเลือดยืนหยัดเหนือกลุ่มคนอย่างมั่นคงดุจหินผา นางยกมือชี้ดาบขึ้นฟ้าท้าแสงตะวันที่กำลังแผ่รังสีแรงกล้า
“เหล่าพี่น้องข้า...จงฟัง!”
เสียงของหมิงเยว่สะท้อนก้องสะเทือนห้วงอารมณ์ ดวงตาคู่กลมแต่กร้าวแกร่งเกินบุรุษกวาดมองเหล่าพี่น้องกองโจรทมิฬที่ยังเหลือรอดชีวิต
“พวกเจ้าจงไปให้ไกล ไปใช้ชีวิตปกติเป็นคนธรรมดา จงลืมเสียว่าเคยทำสิ่งใดไว้ วันหน้า หากพบเห็นใครตาย จงปล่อยให้ตาย พบใครเดือดร้อนก็อย่าได้สอดมือยุ่มย่าม ยามใดก็ตามเมื่อพบเห็นความอยุติธรรม จงปล่อยวางเสีย!”
“พี่ใหญ่!”
แม่นางน้อยเจ้าของหน้ากากเงินที่วับวาวไม่แตกต่างจากสตรีเหนือกลุ่มตะเบ็งเสียงไม่ยินยอม
“หากจะตายก็ตายได้ด้วยกัน ข้าไม่มีทางทิ้งท่าน!”
คนเป็นพี่ใหญ่หันมาคำราม “ซิงเยว่!” นางลดดาบในมือลงเพื่อนำมาจ่อคอเจ้าของนาม “มีเพียงเจ้าที่ข้าไว้ใจให้คุ้มครองพี่น้อง อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
“แต่!”
“ไม่มีแต่!”
“พี่หมิงเยว่...”
“ซิงเยว่...อย่าทำให้ข้าตายตาไม่หลับเพราะเจ้า จงไป!”
หมิงเยว่ไม่คิดเจรจาอีก นางสะบัดฝ่ามือคราหนึ่ง ฝุ่นขาวกระจายคลุ้ง
รอบด้านพลันขาวโพลนไม่ต่างจากสมอง มองไม่เห็นแม้แต่ฝ่ามือตนเอง
ครู่เดียวฝุ่นขาวก็จางหาย รอบด้านคงเหลือเพียงความว่างเปล่า ไร้เงาคนเป็นพี่ใหญ่
กลิ่นอายอันงดงามแต่น่าเกรงขามก็เช่นกัน ทุกสิ่งอันตรธาน มีเพียงเงาไม้กระเพื่อมไหวท่ามกลางหมอกสีจาง คล้ายควันไฟบางเบา
ซิงเยว่ทำท่าจะวิ่งตาม หากแต่คล้ายมีม่านมายาขวางกั้น ไม่อาจข้ามผ่านได้แม้ครึ่งก้าว มีแต่ต้องหันหลังแล้ววิ่งไปอีกทางเท่านั้น
สาวน้อยหรี่ตา ฝ่ามือที่กำดาบสั่นระริก นางกัดปากจนเลือดซึม ก่อนเผยอสั่งการแก่เหล่าสมุนโจรที่เหลือรอดด้วยเส้นเสียงเฉียบขาด
“พี่น้องข้า...จงลืมทุกสิ่งให้หมด ปลดหน้ากากออก ค่ายโจรจันทราแดงไม่เคยปรากฏต่อใต้หล้า”
ทุกคนกลั้นน้ำตาประสานหมัดแบบไร้เสียง
การปลดหน้ากากคือการทำลายตัวตนโจรถ่อยจนสิ้น คงเหลือเพียงคนธรรมดาสามัญ ไร้ซึ่งพิรุธป่าเถื่อนต่ำช้าให้ใครสังเกตเห็น จนนำไปสู่การจับกุมเค้นอดีตแล้วลงทัณฑ์
ซิงเยว่ประสานหมัดตอบก่อนสั่ง “จงไป!”
เงาดำหลายสายพลันอันตรธานหายไปไร้ร่องรอย
สืบเนื่องจากความทรงจำที่เลือนหาย ตัวตนแท้จริงยิ่งกว่าการเป็นคุณหนูจวนซ่งนางคงเป็นใครสักคนที่มิอาจจะใช้ชีวิตภายนอกแบบไร้ทิศทางให้อยู่รอดได้“ท่านควรพักผ่อนเสียที ดึกมากแล้ว เรื่องปวดหัวเอาไว้ค่อยๆ ขบคิดแก้ไขเถิด”ซิงเยว่ว่าพลางขยับนิ้วคลึงขมับแกร่งคลายการเกร็งร่างสูงจึงค่อยๆ เข้าสู่นิทราอย่างเชื่อฟังเช้าวันรุ่งขึ้น รถม้าถูกเตรียมไว้พร้อมตามคำสั่งของผู้เป็นนาย“เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วันต้องเดินทางอีกแล้วหรือ?” จ้าวซินเจี๋ยเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “น้ายังไม่หายคิดถึงเลย”รอยยิ้มบางเบาแตะแต้มมุมปากของหลิวไท่หยาง เขาไม่เคยโกรธเคืองแม่เลี้ยงผู้นี้ได้นานเลย“ข้าต้องติดต่อการค้ากับผู้สูงศักดิ์ต่างแคว้น จำต้องเดินทางไปเจรจาด้วยตัวเอง มิอาจหลีกเลี่ยง”หญิงวัยกลางคนพยักหน้าเข้าใจ นางกล่าวอวยพรและย้ำเตือนเรื่องความปลอดภัยอีกหลายประโยคค่อยปล่อยชายหนุ่มหมุนกายเดินห่างไปเพื่อเตรียมขึ้นรถม้าโจวซู่ฉินยืนยิ้มหวานรออยู่ที่รถม้า เมื่อหลิวไท่หยางเดินเข้าหา นางจึงเงยทักทาย ร่างสูงก้มหน้ายิ้มส่งให้ทั้งสองมีท่าทีสนิทสนมปรองดอง ทำให้ผู้มองเบาใจจ้าวซินเจี๋ยยิ้มละไมให้กับภาพนั้น ก่อนหมุนกายกลับเข้าเรือนเพื่อไปหาสาม
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาหลายวันแล้วบุรุษผู้กลัดกลุ้มยังคงต้องอาศัยนอนหนุนตักนุ่มนิ่มเพื่อคลายอาการเคร่งเครียดในคืนที่มืดมิดมองไม่เห็นแม้แต่เสี้ยวจันทร์ ซิงเยว่ถูกหลิวไท่หยางยึดตัวไว้ที่ตั่งตัวยาวริมหน้าต่างนางนั่ง เขานอน ศีรษะหนุนอยู่บนตักนางตลอดคืนกลิ่นหอมสบายจากร่างเนื้อนวลอบอวลคละเคล้ากับกลิ่นอายกร้าวแกร่งจากคนร่างใหญ่ ทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ยิ่งกว่ากลิ่นอายไหนๆไม่มีเรื่องกามารมณ์มาเกี่ยวข้องแน่นอนว่าไม่อาจข้องเกี่ยวกันเชิงชู้สาวได้แม้แต่น้อย เหตุเพราะฝ่ายหนึ่งเป็นบุรุษที่มีคู่หมั้นแล้วและอีกฝ่ายยังเย่อหยิ่งถือตัวมากพอที่จะไม่ทำเรื่องผิดศีลธรรมกับผู้ชายที่มีเจ้าของหลิวไท่หยางไม่มีทางทำลายเกียรติของนางในดวงใจซิงเยว่เองก็ไม่คิดเป็นอนุใครเช่นกันแม้ว่าผู้คนจะมองพวกเขาเป็นอื่น หากแต่ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่สองชายหญิงรู้ดีแก่ใจก็เพียงพอแล้ว“ข้าส่งคนไปตามหาผู้แซ่เนี่ยทุกสารทิศทั่วแคว้น กระทั่งจิ้นสิงยังไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมา แต่ยังคงไร้ข่าว”หลิวไท่หยางเปรยอย่างเหนื่อยใจขณะนอนเอนกายให้ซิงเยว่คลึงหว่างคิ้วที่ขมวดแน่นระดับจอมยุทธ์เร้นกายขนาดผู้เยี่ยมยุทธ์ทัดเทียมกันยังไม่แน่ว่าจะหาต
ชายหนุ่มปัดความคิดนี้ไปสิ้น เขาแน่ใจว่าไม่มีแน่ จึงหันมาสนใจคู่สนทนา“ซู่ฉิน เหตุใดสตรีเรียบร้อยอ่อนหวานเช่นเจ้าถึงได้ใจร้อนวู่วามด่วนตัดสินเยี่ยงนี้”หญิงสาวนัยน์ตาแข็งกร้าวทันที“สตรีเรียบร้อยอ่อนหวานก็มีหัวใจนะ เมื่อเจอสภาพคนรักเช่นนั้น เรี่ยวแรงมหาศาลมันก็มาเอง”เจ้าผู้แซ่เนี่ยก็ช่างกระไร ไยมิใช่อธิบายอย่างจริงจัง ไฉนโง่งมยืนให้คนรักแทงจนหมดโอกาสพูด!หลิวไท่หยางเข่นเขี้ยวในใจโจวซู่ฉินเสียงสั่น “ข้าก็เพิ่งสืบรู้ภายหลังว่าเข้าใจผิด ทุกวันนี้ยังเสียใจมิเสื่อมคลาย ท่านจะซ้ำเติมข้าเพื่ออันใด”“แล้วเรื่องแต่งงาน เจ้าต้องการประชดเขาถูกไหม”หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ ข้าแค่อยากรักษาตัวเองไว้ หากข้าไม่แต่งกับท่าน คงไม่พ้นแต่งให้หนึ่งในสองสกุลเซี่ยโอว คืนเข้าหอ ข้ายังจะรักษาสิ่งล้ำค่าที่สุดของสตรีได้หรือ? วันหนึ่งเมื่อได้เจอพี่เนี่ย ข้ายังจะมองเขาได้เต็มตาอีกหรือ?”หลิวไท่หยางมองโจวซู่ฉินอย่างอึ้งๆ เมื่อคาดเดาความคิดของนางได้ทั้งหมดแล้วแน่นอนว่าโจวซู่ฉินเองก็รับรู้ได้ถึงความปราดเปรื่องของสหาย นางจึงคุกเข่าลง ดวงตาหวานมีประกายวอนขอ ไม่ให้อีกฝ่ายปฏิเสธได้“ข้าใช้การแต่งงานกับท่านเพื่อรักษาความบร
นางรีบเอ่ย “ไท่หยาง ท่านใจเย็นเถิด เห็นแก่ที่เราเป็นสหายมาหลายปี ทุกสิ่งที่ทำไปข้ามีเหตุผลนะ”โจวซู่ฉินพูดเสียงนุ่มนวลหวังคลายโทสะคู่สนทนา ท่วงท่ากิริยายังคงอ่อนโยนทว่าไม่กล้าเชิดหน้ามั่นใจอีกชายหนุ่มยังคงเดือดดาล “อย่าเล่นลิ้นกับข้า ”เรือนร่างกลมกลึงสะดุ้งอีกคราสีหน้าเผือดลงทันควัน นางก้มหน้าเม้มปาก กะพริบขนตาที่เปียกชื้น สลดลงทันใด ช่างเป็นภาพของโฉมสะคราญงามล่มเมืองผู้น่าสงสารที่ทำคนต้องมองแล้วมองอีกทว่าหลิวไท่หยางกลับแค่นเสียงเย็น “เจ้าคิดหรือว่าหากเป็นน้องสาวเจ้าก้าวเข้ามาข้าจะจัดการนางอย่างเด็ดขาดไม่ได้ แต่เพราะเป็นเจ้า ข้าถึงยินยอมเจรจา บอกมา เนี่ยจื่อหานคนรักของเจ้า รู้เรื่องนี้หรือไม่? มิใช่ว่าพวกเจ้าทะเลาะกันถึงได้ประชดประชันกันด้วยวิธีนี้ ข้าไม่สะดวกเล่นสนุกด้วย”ครั้นได้ยินนามนั้น โจวซู่ฉินพลันสะอึก นางมิอาจสะกดกลั้นอีกต่อไป น้ำตาร่วงหล่นดุจเม็ดมุกขาดจากสาย ท่าทางบอบบางน่าสงสารจับใจมากกว่าเดิมเรื่องที่โจวซู่ฉินแอบคบหากับเนี่ยจื่อหานไม่มีใครรู้ นอกจากหลิวไท่หยาง เนื่องจากอีกฝ่ายคือศิษย์ร่วมสำนักกับเนี่ยจื่อหานและเป็นสหายกับนางเมื่อเห็นโจวซู่ฉินร้องไห้ต่อหน้า หลิวไท่หยา
เรือนหลังด้านในล้วนเป็นที่พำนักของเหล่าสตรีบุรุษคนใดไม่มีสิทธิ์ย่างกรายตามอำเภอใจทั้งสิ้น แม้แต่พี่ชายน้องชายวัยหนุ่มแน่นหรือกระทั่งบิดามาเยือน ยังต้องรั้งตัวรออยู่เรือนหน้าด้านนอกต้องเป็นผู้ที่มีฐานะพิเศษกับเจ้าของเรือนเท่านั้น ถึงจะเข้ามาได้ตามอำเภอใจ นั่นก็คือว่าที่สามีชายเดียวที่จะเข้าใกล้หญิงสาวเจ้าของเรือนได้หลิวไท่หยางยืนมองหน้าประตูชั่วครู่ ทั่วร่างยังคงแผ่ซ่านกลิ่นอายเย็นเยียบชวนขนลุกด้วยความเหน็บหนาวกระนั้นเหล่าสาวใช้กลับมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างเหม่อลอย พวงแก้มแดงก่ำ ในใจอดมิได้ที่จะวูบวาบสั่นไหว นึกกระอักกระอ่วนกับเสน่ห์เพศอันดึงดูดของเจ้านายหนุ่มพวกนางต่างถูกคัดสรรเลือกเฟ้นมาอย่างดีเยี่ยม เพื่อติดตามนายสาวมาจากจวนเดิม ทั้งรูปร่างและหน้าตาล้วนงดงามเกินฐานะ หมายช่วยเสริมความโปรดปรานและเหนี่ยวรั้งให้สามีของเจ้านายมาเยือนเรือนนี้บ่อยๆนั่นคือธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาช้านานในตระกูลใหญ่ อนุของสามีสมควรเป็นคนของภรรยาเอกแต่ดั้งเดิมให้มากเข้าไว้ เรือนหลังจึงจะไม่วุ่นวายเกินไปบุรุษหนุ่มผู้ถูกกลุ่มสตรีมองอย่างหมายมาดเพียงกวาดตามองตอบอย่างช้าๆ ก่อนโบกมือสั่งเสียงเย็นชา “พวกเจ้าออ
เมื่ออยู่เพียงลำพังสองต่อสอง นางจึงเริ่มไกลเกลี่ย “หยางเอ๋อร์ มิใช่ว่าน้าอยากขู่เข็ญหรือบีบบังคับเจ้า เพียงแต่เมื่อก่อนน้าก็ตามใจให้เจ้าออกไปทำสิ่งที่ชอบแล้ว เจ้าอยากฝึกวรยุทธ์ ปรารถนาท่องหล้า ข้าไม่เคยขัดสักครา”นางเว้นวาจาถอนหายใจกล่าวด้วยน้ำเสียงพลิ้วแผ่วทว่ากลับเต็มไปด้วยความเฉียบขาดไม่ให้โอกาสคนโต้แย้ง “เจ้าก็รู้ว่าแคว้นเยี่ยนมีสกุลทรงอิทธิพลที่คอยจ้องกลืนกิน หมายมาดคิดกำราบเราให้ตกต่ำโดยตลอด สี่สกุล หลิว โจว เซี่ย โอว ต่างขับเคี่ยวกันและกันเสมอมา”หลิวไท่หยางนิ่งฟังมิเอ่ยวาจา แววตายังคงเย็นชาไร้ความรู้สึก สีหน้าไม่บ่งบอกความคิดใด ยากคาดเดาทุกสิ่ง เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ“หยางเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ ปีนี้เป็นปีที่ดีปานใด สกุลโจวคิดเชื่อมสัมพันธ์หนึ่งในสามสกุล หากเราไม่ลงมือทำอะไรเลย ปล่อยให้สกุลเซี่ยหรือสกุลโอวได้สกุลโจวไป สกุลหลิวจะรักษาอันดับหนึ่งได้หรืออย่างไร ยังจะยืนหยัดเพื่อบรรพบุรุษที่เพียรสร้างมาอย่างยากลำบากได้หรือ?”นางส่ายหน้าน้อยๆ กล่าวต่ออย่างทอดถอนใจว่า“หยางเอ๋อร์ เจ้าก็รู้ ด้วยตำแหน่งผู้สืบทอดของเจ้าและความสามาถที่มีมากกว่าน้องเล็ก ใช่ว่าเจ้าอยากปฏิเสธก็ปฏิเสธไ