แชร์

ปฐมบท 1 กำราบให้สิ้น1

ผู้เขียน: LiHong
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-02 17:43:29

เนินเขาหินปูนสูงตระหง่านเหนือพื้นน้ำสีคราม  อันเป็นธรรมชาติสรรสร้างภูมิทัศน์ราวกับความฝัน

ทะเลยามสายัณ อาทิตย์อัสดง ท้องฟ้าและท้องทะเลกลายเป็นสีแดงโลหิต บรรยากาศเหนือมวลน้ำเยียบเย็นอบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะ

เรือรบขนาดใหญ่หลายลำเคลื่อนตัวล้อมรอบเข้ามา ทหารเกราะเหล็กรูปร่างกำยำสูงใหญ่บนเรือหลายร้อยชีวิตกำลังยกคันธนูขึ้นเตรียมยิง ทุกสายตามองปลายธนูอย่างแข็งกร้าว กล้ามเนื้อทุกส่วนตึงเครียดอย่างยิ่ง

ภายในหุบเขามรณะบนเกาะลึกลับกลางทะเลที่เคยเขียวชอุ่ม บัดนี้กลับชุ่มโชกไปด้วยเลือดของเหล่าผู้คน กำเนิดธารโลหิตแดงฉานไหลหลากไปตามรากไม้

สายลมเย็นเยียบม้วนตัวอย่างบ้าคลั่งราวพายุที่เก็บกดมาแรมปี หอบโชยทุกความหนาวเหน็บที่ผสานกลิ่นคาวคละคลุ้งทั่วบริเวณมาโอบรอบเรือนร่างระหงสีชาด

นางคือหมิงเยว่

เจ้าของหน้ากากเงินยวงดุจสีนวลแห่งดวงจันทร์ ผู้ยืนตระหง่านเบื้องหน้าสมุนโจรทุกคน

ท่ามกลางซากศพมากมาย ท่ามกลางชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์ที่ฉีกขาดกระจายเกลื่อน ภายใต้ความรู้สึกอันหลากหลายที่สาดซัดอย่างคลุ้มคลั่งยามก้มมองเศษซากชีวิตที่สิ้นสูญของคนที่เคยคุยเล่น เคยหยอกล้อ เคยหัวเราะ เคยทะเลาะกันทุกวัน ท่ามกลางแสงแดดอันเดือดระอุส่องกระทบหน้ากากเงินบนใบหน้าส่งผลให้ดวงเนตรงดงามภายใต้หน้ากากนั้น...

ช่างดูวาววับจับตา ทว่ากลับเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ

หญิงสาวชุดสีดำคาดแดงมองคล้ายรัตติกาลที่แขวนเสี้ยวจันทร์สีเลือดยืนหยัดเหนือกลุ่มคนอย่างมั่นคงดุจหินผา นางยกมือชี้ดาบขึ้นฟ้าท้าแสงตะวันที่กำลังแผ่รังสีแรงกล้า

“เหล่าพี่น้องข้า...จงฟัง!”

เสียงของหมิงเยว่สะท้อนก้องสะเทือนห้วงอารมณ์ ดวงตาคู่กลมแต่กร้าวแกร่งเกินบุรุษกวาดมองเหล่าพี่น้องกองโจรทมิฬที่ยังเหลือรอดชีวิต

“พวกเจ้าจงไปให้ไกล ไปใช้ชีวิตปกติเป็นคนธรรมดา จงลืมเสียว่าเคยทำสิ่งใดไว้ วันหน้า หากพบเห็นใครตาย จงปล่อยให้ตาย พบใครเดือดร้อนก็อย่าได้สอดมือยุ่มย่าม ยามใดก็ตามเมื่อพบเห็นความอยุติธรรม จงปล่อยวางเสีย!”

“พี่ใหญ่!”

แม่นางน้อยเจ้าของหน้ากากเงินที่วับวาวไม่แตกต่างจากสตรีเหนือกลุ่มตะเบ็งเสียงไม่ยินยอม

“หากจะตายก็ตายได้ด้วยกัน ข้าไม่มีทางทิ้งท่าน!”

คนเป็นพี่ใหญ่หันมาคำราม “ซิงเยว่!” นางลดดาบในมือลงเพื่อนำมาจ่อคอเจ้าของนาม “มีเพียงเจ้าที่ข้าไว้ใจให้คุ้มครองพี่น้อง อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”

“แต่!”

“ไม่มีแต่!”

“พี่หมิงเยว่...”

“ซิงเยว่...อย่าทำให้ข้าตายตาไม่หลับเพราะเจ้า จงไป!”

หมิงเยว่ไม่คิดเจรจาอีก นางสะบัดฝ่ามือคราหนึ่ง   ฝุ่นขาวกระจายคลุ้ง

รอบด้านพลันขาวโพลนไม่ต่างจากสมอง มองไม่เห็นแม้แต่ฝ่ามือตนเอง

ครู่เดียวฝุ่นขาวก็จางหาย รอบด้านคงเหลือเพียงความว่างเปล่า ไร้เงาคนเป็นพี่ใหญ่

กลิ่นอายอันงดงามแต่น่าเกรงขามก็เช่นกัน ทุกสิ่งอันตรธาน มีเพียงเงาไม้กระเพื่อมไหวท่ามกลางหมอกสีจาง คล้ายควันไฟบางเบา

ซิงเยว่ทำท่าจะวิ่งตาม หากแต่คล้ายมีม่านมายาขวางกั้น ไม่อาจข้ามผ่านได้แม้ครึ่งก้าว มีแต่ต้องหันหลังแล้ววิ่งไปอีกทางเท่านั้น

สาวน้อยหรี่ตา ฝ่ามือที่กำดาบสั่นระริก นางกัดปากจนเลือดซึม ก่อนเผยอสั่งการแก่เหล่าสมุนโจรที่เหลือรอดด้วยเส้นเสียงเฉียบขาด

“พี่น้องข้า...จงลืมทุกสิ่งให้หมด ปลดหน้ากากออก ค่ายโจรจันทราแดงไม่เคยปรากฏต่อใต้หล้า”

ทุกคนกลั้นน้ำตาประสานหมัดแบบไร้เสียง

การปลดหน้ากากคือการทำลายตัวตนโจรถ่อยจนสิ้น คงเหลือเพียงคนธรรมดาสามัญ ไร้ซึ่งพิรุธป่าเถื่อนต่ำช้าให้ใครสังเกตเห็น จนนำไปสู่การจับกุมเค้นอดีตแล้วลงทัณฑ์

ซิงเยว่ประสานหมัดตอบก่อนสั่ง “จงไป!”

เงาดำหลายสายพลันอันตรธานหายไปไร้ร่องรอย

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุพเพรักแม่ทัพสุริยัน   ตอนที่ 11 เกี้ยวพาให้คนเดิมของใจหวนมา 1

    ฐานะของกู้ซินในจวนเสนาบดีกู้คือญาติผู้น้องของกู้ซือหมิง บุรุษหนุ่มที่วันนี้มีสตรีหลายคนเริ่มให้ความสนใจเมื่อแรกเจอตอนเข้างาน สาวน้อยกับสหายของนางนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มของธิดาขุนนางที่งดงามดุจนางสวรรค์ ประหนึ่งบุปผาแข่งขันกันผลิกลีบแย้มบานยวนตาหมู่ภมร กู้ซินกับจื่อหรานจึงโดดเด่นอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ เสมือนจุดสีดำเล็กๆ บนกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่ก็มิปาน สตรีหลายคนพากันลุกขึ้นเข้ามาทักทายผูกมิตรอย่างคึกคัก กู้ซินไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธจึงพูดคุยด้วยรอยยิ้มโม่เหลียนก็เช่นกัน นางแย้มยิ้มให้สหายใหม่รวมถึงกู้ซือหมิงที่เพิ่งได้พูดคุยเป็นวันแรกหลังจากได้ยินชื่อมานานในงานเลี้ยงวันนี้พิเศษตรงที่กู้เจิ้งจัดสวนดอกไม้เพื่อเอาใจหลินเพ่ย และแขกเหรื่อสามารถเดินชมความงามได้ตามอัธยาศัย อันเป็นการประกาศศักดาชนิดหนึ่งของคนเป็นภรรยาที่ได้รับความโปรดปรานจากสามีอย่างล้นเหลือ คุณหนูผู้หนึ่งกล่าวอย่างใจกล้าว่าปรารถนาเดินชมทิวทัศน์ในจวนเสนาบดี ให้กู้ซินแจ้งแก่ญาติผู้พี่ได้หรือไม่ ให้เขาพาเดินชมได้หรือเปล่า ร่วมวงสนทนากันดีหรือไม่ เมื่อคนหนึ่งจบคำถาม อีกสองสามคนจึงพยักหน้าคล้อยตาม เห็นด้วยอย่างยิ่ง พวกนางปรารถนาใ

  • บุพเพรักแม่ทัพสุริยัน   ตอนที่ 10 พบหน้าสบตา2

    งานเลี้ยงวันนี้ ผู้ตรวจการหานย่อมได้รับเทียบเชิญ เขาไม่มีฮูหยินจึงมากับธิดาหนึ่งเดียวของตนเมื่อเข้างานมาก็พาหานจื่อหรานกล่าวทักทายกู้เจิ้งและอวยพรหลินเพ่ย หลังจากนั้นก็แยกไปคนละฝั่งที่ถูกจัดแยกชายหญิง ก่อนหมุนตัวไปยังไม่ลืมหันมาทำตาดุ“ห้ามเจ้าซุกซน” หานเซิงกำชับบุตรสาวเสียงขรึม ตอนนี้นางเรียบร้อยสงบเสงี่ยมขึ้นมากก็จริง ทว่าเมื่อก่อนดื้อรั้นเอาแต่ใจอย่างยิ่ง เขาจึงยังไม่อาจไว้ใจได้เต็มส่วนโม่เหลียนย่อมเข้าใจความห่วงใยนี้ บิดาผู้นี้เป็นคนดียิ่งนัก นางรักเคารพไม่ต่างจากบิดาแท้ๆ จึงรีบออดอ้อนว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าจะไปอยู่กับกู้ซินและเหยาฮูหยิน อยู่ใกล้ผู้อาวุโสเช่นนั้น ตัวข้าย่อมไม่สะดวกซุกซนแล้ว จะทำตัวดีๆ เพื่อท่านพ่อไม่ต้องเครียด ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ”ได้ยินคำยืนยันหนักแน่นยาวเหยียด หานเซิงจึงวางใจพยักหน้าให้นางไปได้งานเลี้ยงนี้ ทางฝั่งบุรุษมีคณะดนตรีมีสาวงามร่ายรำ ทางฝั่งสตรี มีคณะละครเลื่องชื่อ แขกเหรื่อบ้างเดินออกไปชมดอกไม้ในสวน บ้างนั่งดูการแสดง บ้างหันไปชื่นชมทิวทัศน์ บ้างก็จับกลุ่มคุยกัน กู้ซินนั่งอยู่กับเหยาจิน โม่เหลียนเดินตรงเข้าไปทำความเคารพทักทายแล้วนั่งลง

  • บุพเพรักแม่ทัพสุริยัน   ตอนที่ 10 พบหน้าสบตา1

    วันที่เก้าเดือนสิบเป็นวันคล้ายวันเกิดของหลินเพ่ยเสนาบดีกู้ผู้หลงใหลในตัวภรรยาสาวผู้อ่อนเยาว์จึงจัดงานเลี้ยงให้อย่างสมเกียรติไร้ที่ติ ส่งเทียบเชื้อเชิญครอบครัวของสหายขุนนางมามากหน้าหลายตาท่ามกลางบุปผาแพรพรรณประดับประดาตระการตา ผู้คนเดินเข้ามาร่วมงานครึกครื้น หลินเพ่ยสวมใส่ชุดสีแดงสมตำแหน่งฮูหยินใหญ่เสนาบดียืนยิ้มสูงส่งอยู่ข้างๆ กู้เจิ้ง โดยมีกู้ซือหมิงและเด็กชายกู้ซูเย่ยืนร่วมการแสดงความรักเอาใจใส่ในตัวภรรยาสาวถึงขั้นที่ผู้คนเคยบรรยายว่าลุ่มหลงสาวงามของกู้เจิ้งเรียกสายตาของแขกเหรื่อได้ไม่น้อยเช่นเดิม ทว่านั่นกลับไม่อาจมากกว่าร่างสูงโปร่งงามสง่าของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีคนหนึ่ง พวกเขาต่างจ้องมองกู้ซือหมิงไม่วางตา ไม่เว้นแม้แต่บ่าวไพร่ในจวนกู้เองหลังจากบุตรชายคนโตของเสนาบดีกู้หายป่วย เหล่าบ่าวไพร่พลันรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลง บุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง ไม่ว่าการแต่งกาย ท่วงท่ากิริยา สีหน้าท่าทาง แม้แต่การเดินการนั่ง เมื่อก่อนกู้ซือหมิงมักมีลักษณะคนที่ขาดความมั่นใจ ตั้งแต่สูญเสียมารดาไปในวัยเยาว์ก็ใช้ชีวิตเรียบเรื่อยสืบมา ไม่กระตือรือร้น เพียงเชื่อ

  • บุพเพรักแม่ทัพสุริยัน   ตอนที่ 9 สัญญา2

    “เจ้าหึงก็บอกว่าหึง หวงก็บอกว่าหวง ได้ไหม?”วงแขนอุ่นซ่านยิ่งกระชับแน่นขึ้น สุ้มเสียงหัวเราะของบุรุษยังทุ้มแผ่วเอาแต่ใจ ทำเอาโม่เหลียนขนลุกตั้งชัน สองแก้มสุกปลั่ง ใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง นึกอยากตามใจเขา ท้ายที่สุดก็แสร้งฉุนเฉียวไม่ไหว จำต้องยอมรับแต่โดยดี“อือ...ข้าชอบหึงหวงไม่รู้หรือไร ว่าที่สามีต้องทำตัวดีๆ เข้าใจหรือไม่? ห้ามพาหญิงอื่นกลับมาด้วย แล้วค่อยทำเรื่องของเราให้ถูกต้อง ตกลงไหม?”เยี่ยนเต๋อให้นึกเอ็นดูเหลือเกิน จมูกโด่งจึงกดลงตรงกระหม่อมนางเบาๆ อย่างรักใคร่ทะนุถนอม “โอกาสในชาตินี้ที่จะได้มีเจ้าเคียงข้างเป็นภรรยา ข้าไม่มีทางปล่อยไปให้เสียชาติเกิดอย่างโง่เขลาแน่นอน”“สัญญานะ”“อืม...” สุ้มเสียงตอบรับแม้แผ่วเบาแสนสั้น ทว่ากลับให้ความรู้สึกหนักแน่นมั่นคงอย่างที่สุด โม่เหลียนผลิยิ้มหลับตา ซุกใบหน้าฝังอกเขาเงียบงัน สองแขนกอดเอวสอบแน่นขึ้น ไม่ให้เขาเห็นน้ำตาเด็ดขาดกิริยาของนางในอ้อมแขนทำเยี่ยนเต๋อเกินห้ามใจ ใบหน้าหล่อเหลาจึงก้มลงต่ำมอบจุมพิตหวานละมุนเนิ่นนานแม้ตรงนี้จะเป็นมุมห่างไกลจากผู้คนหน้าประตูเมือง ไม่มีใครเดินผ่านเท่าใด หากแต่กู้ซินก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดี นางกางพัดยกร่ม

  • บุพเพรักแม่ทัพสุริยัน   ตอนที่ 9 สัญญา 1

    หลังจากฝึกฝนจนคนผู้หนึ่งฟื้นฟูฝีมือได้มากพอ จำต้องตัดสินใจลาจากเพื่อไปต่อที่ค่ายทหารอย่างที่ตั้งใจวันที่สี่เดือนสิบโม่เหลียนมายืนรอเพื่อส่งเยี่ยนเต๋อเดินทางไกลที่หน้าประตูเมืองตั้งแต่ฟ้าสาง เมื่อสว่างเต็มที่จึงได้เห็นรถม้าจวนกู้เคลื่อนตัวใกล้เข้ามาเยี่ยนเต๋อในชุดสีดำรัดกุมควบม้าย่างเยาะอยู่ข้างๆ รถม้าของครอบครัวที่เดินทางมาส่งอย่างอบอุ่นไม่นานชายหนุ่มก็มาหยุดเบื้องหน้าของโม่เหลียนหญิงสาวแหงนหน้ามอง จับจ้องนิ่ง กู้ฉีรุ่ยยามนี้ที่อายุเพียงสิบแปดปีก็จริงทว่าท่วงท่าองอาจผึ่งผายสมชายชาตรีของเขาเหมือนเยี่ยนเต๋อที่อายุยี่สิบกว่าปีในชาติก่อนไม่ผิดเพี้ยน แตกต่างตรงใบหน้าซึ่งควรคมเข้มเคร่งขรึม ชาตินี้กลับงดงามละมุนละไมยิ่งกว่าและมีดวงตาดอกท้อคู่นั้นเพิ่มขึ้นมา ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ดวงตาดอกท้อที่มองดูแล้วเหมือนคนเจ้าชู้หลายใจ โม่เหลียนกลับสัมผัสได้ดีถึงความหยิ่งทะนงและเย็นชาของคนตระกูลสูงศักดิ์เท่านั้นที่มียิ่งสวมชุดนี้ก็ยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขาม เมื่อมองแล้วทำให้ไม่สามารถละสายตาไปทางอื่นได้เลย“จ้องข้าเช่นนี้ อย่าบอกนะว่าตกหลุมรักข้ามากขึ้น”ชายหนุ่มส่งเสียงทุ้มต่ำหยอกเอินเบาๆ พลางลงจา

  • บุพเพรักแม่ทัพสุริยัน   ตอนที่ 8 เพลงดาบจันทราเย็น3

    “ท่านแกล้งข้า...”ดวงตาคมวาวทอดนิ่งที่พวงแก้มแดง “ผู้ใดแกล้ง ข้าอยากทำจริงๆ ต่างหาก อยากแต่งงานกับเจ้าใจจะขาด ผิวขาวๆ นี่ข้าปรารถนาขบเม้มยิ่งนัก”ความหมายชัดเจนว่าอยากเข้าหอ อยากทำขั้นตอนผลิตทายาทแบบเต็มพิธีการกับนางอันเป็นที่รักทั้งวันทั้งคืนโม่เหลียนพลันหน้าแดงเถือกกับความเถรตรงนี้“เยี่ยนเต๋อ!”ฝ่ามือจึงตีเต็มแรงที่บ่ากว้าง“อ่า...”ทำผู้อื่นเขินอายก็ต้องถูกตีเช่นนี้แล...หยอกล้อจนชุ่มชื่นหัวใจ ชายหนุ่มก็พาหญิงสาวไปนั่งลงที่เก้าอี้กลมริมหน้าต่าง นำห่อผ้าหนึ่งวางลงบนโต๊ะ เมื่อแกะห่อผ้าออกจึงเห็นเป็นดาบสองเล่มคู่กัน เล่มหนึ่งเป็นดาบธรรมดามีหนึ่งคมหนึ่งสัน รูปทรงโค้งเอียง มีโกร่งดาบกลมแบนใช้ฟันเป็นหลัก อีกเล่มคือดาบวงเดือน โม่เหลียนเบิกตามองดาบเล่มที่สองตาค้างเยี่ยนเต๋อจึงเอื้อมมือลูบศีรษะนางอย่างเอ็นดู“ดาบวงเดือนข้ามอบให้เจ้า”ว่าพลางหยิบดาบอีกเล่มขึ้นมา “ส่วนเล่มนี้ของข้า เป็นอาวุธสำคัญของทหารราบ ใช้เวลาฝึกฝนเพียงแค่ไม่นานก็ใช้การได้คล่องมือพร้อมฆ่าฟันข้าศึกแล้ว”โม่เหลียนกะพริบตา “ท่านหมายความว่าอย่างไร”เยี่ยนเต๋อหย่อนกายสูงใหญ่นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง ดึงนางขึ้นนั่งบนตักแกร

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status