ข้าคือหมิงเยว่ นางโจรสาวผู้ชั่วช้าจ้าวแห่งหุบเขาบนเกาะมรณะอันลึกลับกลางทะเล จอมยุทธ์หญิงผู้เก่งกล้าถึงขั้นถูกขนานนามว่า เงาดาบแห่งจันทรา
แต่กลับตายภายใต้คมกระบี่ของเขา
แล้วอย่างไรเล่า?
ข้าได้แต่คิดอย่างปลดปลง
เพราะเขาคือหยางเจี้ยน แม่ทัพพยัคฆ์ร้าย ชายหนุ่มผู้มีคุณธรรมสูงส่งผดุงความยุติธรรมให้แก่ใต้หล้ามาช้านาน แต่ไม่เคยระรานนางสักครา
วาจาหนักแน่นดุจขุนเขา สัจจะมีค่ายิ่งกว่าทองคำ แม้ไม่เคยคบหาแต่กลับรู้ได้ไม่ยาก
ชื่อเสียงอันเกรียงไกรของเขามิใช่แค่ตำแหน่งแม่ทัพทว่าหมายถึงนิสัยใจคอ ต่อให้อยู่คนละฝ่ายกลับรู้สึกเลื่อมใส
เจ้าของฉายาจอมกระบี่สุริยัน
การตายด้วยน้ำมือเขานั้นนับว่าไม่เสียชาติเกิดเท่าใด ทว่า...การกลับชาติมาเกิดใหม่ กลายเป็นภรรยาของเขา ต้องคลอดลูกให้เขาคืออันใด?
ไม่จริงใช่ไหม?
***
จากใจนักเขียน
‘บุพเพรักแม่ทัพสุริยัน’ เป็นเรื่องราวของแม่ทัพหนุ่มจอมเคร่งขรึมเย็นชาและยึดมั่นกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผน แต่กลับต้องแต่งงานกับคุณหนูต่ำศักดิ์ผู้หนึ่ง ซึ่งนางผู้นี้แท้จริงคือร่างที่ถูกสวมวิญญาณของนางโจรจอมกลิ้งกลอกไม่ต่างจากจิ้งจอกสาว เมื่อถึงคราวที่ชายหญิงผู้ต่างกันสุดขั้วต้องอยู่ในรั้วเรือนเดียวกัน นอนเคียงข้างเดินคู่กันในฐานะสามีภรรยา ความหรรษาดั่งแดนสวรรค์คงไกลเกินเอื้อมแล้ว
พบกับเรื่องราวหลังเรือนชวนปวดหัวที่สุดในหล้า...
นิยายสองเรื่องในชุดสุริยาจันทนาแดงนี้ หลี่หงยังคงเน้นแนวรักหวานซึ้งเช่นเดิม เนื้อหาไร้ดราม่าเหมือนเดิม เพิ่มความฟินด้วยนิยายอีกเรื่องในชุดคือ‘สุริยันเคียงจันทรา’
นิยายบุพเพรักแม่ทัพสุริยันและสุริยันเคียงจันทรา สองเรื่องนี้สามารถอ่านแยกได้ค่ะ
*****
คำโปรย
ชายหญิงแต่งงานมิอาจเลือกคู่ครองตามแต่ใจ
คู่ชีวิตศีลเสมอกัน บัณฑิตคู่กับบัณฑิต คุณชายสูงศักดิ์ย่อมคู่กับคุณหนูในห้องหับแสนเรียบร้อย
ทว่าแม่ทัพผู้สูงส่งเกรียงไกรทั้งเคร่งครัดศีลธรรมจรรยากลับได้ภรรยาเป็นสตรีจอมมารยาเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวทั้งกลิ้งกลอกไม่ต่างจากจิ้งจอกสาว
การเป็นสตรีผู้เพียบพร้อมงดงามมีคุณธรรมสูงส่งช่างยากเย็นแสนเข็น การประคองชีวิตคู่ที่ดำขาวผิดแผกเยี่ยงนี้จะเป็นสุขตลอดรอดฝั่งได้หรือไม่ ปัญหาหลังเรือนคงมิใช่บานปลาย จนต้องตามแก้ไขทุกวันกระมัง
สืบเนื่องจากความทรงจำที่เลือนหาย ตัวตนแท้จริงยิ่งกว่าการเป็นคุณหนูจวนซ่งนางคงเป็นใครสักคนที่มิอาจจะใช้ชีวิตภายนอกแบบไร้ทิศทางให้อยู่รอดได้“ท่านควรพักผ่อนเสียที ดึกมากแล้ว เรื่องปวดหัวเอาไว้ค่อยๆ ขบคิดแก้ไขเถิด”ซิงเยว่ว่าพลางขยับนิ้วคลึงขมับแกร่งคลายการเกร็งร่างสูงจึงค่อยๆ เข้าสู่นิทราอย่างเชื่อฟังเช้าวันรุ่งขึ้น รถม้าถูกเตรียมไว้พร้อมตามคำสั่งของผู้เป็นนาย“เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วันต้องเดินทางอีกแล้วหรือ?” จ้าวซินเจี๋ยเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “น้ายังไม่หายคิดถึงเลย”รอยยิ้มบางเบาแตะแต้มมุมปากของหลิวไท่หยาง เขาไม่เคยโกรธเคืองแม่เลี้ยงผู้นี้ได้นานเลย“ข้าต้องติดต่อการค้ากับผู้สูงศักดิ์ต่างแคว้น จำต้องเดินทางไปเจรจาด้วยตัวเอง มิอาจหลีกเลี่ยง”หญิงวัยกลางคนพยักหน้าเข้าใจ นางกล่าวอวยพรและย้ำเตือนเรื่องความปลอดภัยอีกหลายประโยคค่อยปล่อยชายหนุ่มหมุนกายเดินห่างไปเพื่อเตรียมขึ้นรถม้าโจวซู่ฉินยืนยิ้มหวานรออยู่ที่รถม้า เมื่อหลิวไท่หยางเดินเข้าหา นางจึงเงยทักทาย ร่างสูงก้มหน้ายิ้มส่งให้ทั้งสองมีท่าทีสนิทสนมปรองดอง ทำให้ผู้มองเบาใจจ้าวซินเจี๋ยยิ้มละไมให้กับภาพนั้น ก่อนหมุนกายกลับเข้าเรือนเพื่อไปหาสาม
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาหลายวันแล้วบุรุษผู้กลัดกลุ้มยังคงต้องอาศัยนอนหนุนตักนุ่มนิ่มเพื่อคลายอาการเคร่งเครียดในคืนที่มืดมิดมองไม่เห็นแม้แต่เสี้ยวจันทร์ ซิงเยว่ถูกหลิวไท่หยางยึดตัวไว้ที่ตั่งตัวยาวริมหน้าต่างนางนั่ง เขานอน ศีรษะหนุนอยู่บนตักนางตลอดคืนกลิ่นหอมสบายจากร่างเนื้อนวลอบอวลคละเคล้ากับกลิ่นอายกร้าวแกร่งจากคนร่างใหญ่ ทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ยิ่งกว่ากลิ่นอายไหนๆไม่มีเรื่องกามารมณ์มาเกี่ยวข้องแน่นอนว่าไม่อาจข้องเกี่ยวกันเชิงชู้สาวได้แม้แต่น้อย เหตุเพราะฝ่ายหนึ่งเป็นบุรุษที่มีคู่หมั้นแล้วและอีกฝ่ายยังเย่อหยิ่งถือตัวมากพอที่จะไม่ทำเรื่องผิดศีลธรรมกับผู้ชายที่มีเจ้าของหลิวไท่หยางไม่มีทางทำลายเกียรติของนางในดวงใจซิงเยว่เองก็ไม่คิดเป็นอนุใครเช่นกันแม้ว่าผู้คนจะมองพวกเขาเป็นอื่น หากแต่ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่สองชายหญิงรู้ดีแก่ใจก็เพียงพอแล้ว“ข้าส่งคนไปตามหาผู้แซ่เนี่ยทุกสารทิศทั่วแคว้น กระทั่งจิ้นสิงยังไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมา แต่ยังคงไร้ข่าว”หลิวไท่หยางเปรยอย่างเหนื่อยใจขณะนอนเอนกายให้ซิงเยว่คลึงหว่างคิ้วที่ขมวดแน่นระดับจอมยุทธ์เร้นกายขนาดผู้เยี่ยมยุทธ์ทัดเทียมกันยังไม่แน่ว่าจะหาต
ชายหนุ่มปัดความคิดนี้ไปสิ้น เขาแน่ใจว่าไม่มีแน่ จึงหันมาสนใจคู่สนทนา“ซู่ฉิน เหตุใดสตรีเรียบร้อยอ่อนหวานเช่นเจ้าถึงได้ใจร้อนวู่วามด่วนตัดสินเยี่ยงนี้”หญิงสาวนัยน์ตาแข็งกร้าวทันที“สตรีเรียบร้อยอ่อนหวานก็มีหัวใจนะ เมื่อเจอสภาพคนรักเช่นนั้น เรี่ยวแรงมหาศาลมันก็มาเอง”เจ้าผู้แซ่เนี่ยก็ช่างกระไร ไยมิใช่อธิบายอย่างจริงจัง ไฉนโง่งมยืนให้คนรักแทงจนหมดโอกาสพูด!หลิวไท่หยางเข่นเขี้ยวในใจโจวซู่ฉินเสียงสั่น “ข้าก็เพิ่งสืบรู้ภายหลังว่าเข้าใจผิด ทุกวันนี้ยังเสียใจมิเสื่อมคลาย ท่านจะซ้ำเติมข้าเพื่ออันใด”“แล้วเรื่องแต่งงาน เจ้าต้องการประชดเขาถูกไหม”หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ ข้าแค่อยากรักษาตัวเองไว้ หากข้าไม่แต่งกับท่าน คงไม่พ้นแต่งให้หนึ่งในสองสกุลเซี่ยโอว คืนเข้าหอ ข้ายังจะรักษาสิ่งล้ำค่าที่สุดของสตรีได้หรือ? วันหนึ่งเมื่อได้เจอพี่เนี่ย ข้ายังจะมองเขาได้เต็มตาอีกหรือ?”หลิวไท่หยางมองโจวซู่ฉินอย่างอึ้งๆ เมื่อคาดเดาความคิดของนางได้ทั้งหมดแล้วแน่นอนว่าโจวซู่ฉินเองก็รับรู้ได้ถึงความปราดเปรื่องของสหาย นางจึงคุกเข่าลง ดวงตาหวานมีประกายวอนขอ ไม่ให้อีกฝ่ายปฏิเสธได้“ข้าใช้การแต่งงานกับท่านเพื่อรักษาความบร
นางรีบเอ่ย “ไท่หยาง ท่านใจเย็นเถิด เห็นแก่ที่เราเป็นสหายมาหลายปี ทุกสิ่งที่ทำไปข้ามีเหตุผลนะ”โจวซู่ฉินพูดเสียงนุ่มนวลหวังคลายโทสะคู่สนทนา ท่วงท่ากิริยายังคงอ่อนโยนทว่าไม่กล้าเชิดหน้ามั่นใจอีกชายหนุ่มยังคงเดือดดาล “อย่าเล่นลิ้นกับข้า ”เรือนร่างกลมกลึงสะดุ้งอีกคราสีหน้าเผือดลงทันควัน นางก้มหน้าเม้มปาก กะพริบขนตาที่เปียกชื้น สลดลงทันใด ช่างเป็นภาพของโฉมสะคราญงามล่มเมืองผู้น่าสงสารที่ทำคนต้องมองแล้วมองอีกทว่าหลิวไท่หยางกลับแค่นเสียงเย็น “เจ้าคิดหรือว่าหากเป็นน้องสาวเจ้าก้าวเข้ามาข้าจะจัดการนางอย่างเด็ดขาดไม่ได้ แต่เพราะเป็นเจ้า ข้าถึงยินยอมเจรจา บอกมา เนี่ยจื่อหานคนรักของเจ้า รู้เรื่องนี้หรือไม่? มิใช่ว่าพวกเจ้าทะเลาะกันถึงได้ประชดประชันกันด้วยวิธีนี้ ข้าไม่สะดวกเล่นสนุกด้วย”ครั้นได้ยินนามนั้น โจวซู่ฉินพลันสะอึก นางมิอาจสะกดกลั้นอีกต่อไป น้ำตาร่วงหล่นดุจเม็ดมุกขาดจากสาย ท่าทางบอบบางน่าสงสารจับใจมากกว่าเดิมเรื่องที่โจวซู่ฉินแอบคบหากับเนี่ยจื่อหานไม่มีใครรู้ นอกจากหลิวไท่หยาง เนื่องจากอีกฝ่ายคือศิษย์ร่วมสำนักกับเนี่ยจื่อหานและเป็นสหายกับนางเมื่อเห็นโจวซู่ฉินร้องไห้ต่อหน้า หลิวไท่หยา
เรือนหลังด้านในล้วนเป็นที่พำนักของเหล่าสตรีบุรุษคนใดไม่มีสิทธิ์ย่างกรายตามอำเภอใจทั้งสิ้น แม้แต่พี่ชายน้องชายวัยหนุ่มแน่นหรือกระทั่งบิดามาเยือน ยังต้องรั้งตัวรออยู่เรือนหน้าด้านนอกต้องเป็นผู้ที่มีฐานะพิเศษกับเจ้าของเรือนเท่านั้น ถึงจะเข้ามาได้ตามอำเภอใจ นั่นก็คือว่าที่สามีชายเดียวที่จะเข้าใกล้หญิงสาวเจ้าของเรือนได้หลิวไท่หยางยืนมองหน้าประตูชั่วครู่ ทั่วร่างยังคงแผ่ซ่านกลิ่นอายเย็นเยียบชวนขนลุกด้วยความเหน็บหนาวกระนั้นเหล่าสาวใช้กลับมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างเหม่อลอย พวงแก้มแดงก่ำ ในใจอดมิได้ที่จะวูบวาบสั่นไหว นึกกระอักกระอ่วนกับเสน่ห์เพศอันดึงดูดของเจ้านายหนุ่มพวกนางต่างถูกคัดสรรเลือกเฟ้นมาอย่างดีเยี่ยม เพื่อติดตามนายสาวมาจากจวนเดิม ทั้งรูปร่างและหน้าตาล้วนงดงามเกินฐานะ หมายช่วยเสริมความโปรดปรานและเหนี่ยวรั้งให้สามีของเจ้านายมาเยือนเรือนนี้บ่อยๆนั่นคือธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาช้านานในตระกูลใหญ่ อนุของสามีสมควรเป็นคนของภรรยาเอกแต่ดั้งเดิมให้มากเข้าไว้ เรือนหลังจึงจะไม่วุ่นวายเกินไปบุรุษหนุ่มผู้ถูกกลุ่มสตรีมองอย่างหมายมาดเพียงกวาดตามองตอบอย่างช้าๆ ก่อนโบกมือสั่งเสียงเย็นชา “พวกเจ้าออ
เมื่ออยู่เพียงลำพังสองต่อสอง นางจึงเริ่มไกลเกลี่ย “หยางเอ๋อร์ มิใช่ว่าน้าอยากขู่เข็ญหรือบีบบังคับเจ้า เพียงแต่เมื่อก่อนน้าก็ตามใจให้เจ้าออกไปทำสิ่งที่ชอบแล้ว เจ้าอยากฝึกวรยุทธ์ ปรารถนาท่องหล้า ข้าไม่เคยขัดสักครา”นางเว้นวาจาถอนหายใจกล่าวด้วยน้ำเสียงพลิ้วแผ่วทว่ากลับเต็มไปด้วยความเฉียบขาดไม่ให้โอกาสคนโต้แย้ง “เจ้าก็รู้ว่าแคว้นเยี่ยนมีสกุลทรงอิทธิพลที่คอยจ้องกลืนกิน หมายมาดคิดกำราบเราให้ตกต่ำโดยตลอด สี่สกุล หลิว โจว เซี่ย โอว ต่างขับเคี่ยวกันและกันเสมอมา”หลิวไท่หยางนิ่งฟังมิเอ่ยวาจา แววตายังคงเย็นชาไร้ความรู้สึก สีหน้าไม่บ่งบอกความคิดใด ยากคาดเดาทุกสิ่ง เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายกล่าวต่อ“หยางเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ ปีนี้เป็นปีที่ดีปานใด สกุลโจวคิดเชื่อมสัมพันธ์หนึ่งในสามสกุล หากเราไม่ลงมือทำอะไรเลย ปล่อยให้สกุลเซี่ยหรือสกุลโอวได้สกุลโจวไป สกุลหลิวจะรักษาอันดับหนึ่งได้หรืออย่างไร ยังจะยืนหยัดเพื่อบรรพบุรุษที่เพียรสร้างมาอย่างยากลำบากได้หรือ?”นางส่ายหน้าน้อยๆ กล่าวต่ออย่างทอดถอนใจว่า“หยางเอ๋อร์ เจ้าก็รู้ ด้วยตำแหน่งผู้สืบทอดของเจ้าและความสามาถที่มีมากกว่าน้องเล็ก ใช่ว่าเจ้าอยากปฏิเสธก็ปฏิเสธไ