“สวัสดีค่ะ นี่ใครคะ?” เสียงอันบริสุทธิ์และไพเราะของผู้หญิงคนหนึ่งดังแว่วเข้าหูของเมเดลีนหญิงสาวถือโทรศัพท์ด้วยความมึนงง เธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินเสียงนี้ช่างคุ้นเคยและยังคงตราตรึงไว้ในส่วนลึกที่สุดของความทรงจำเธอ“เคธี่?” เมเดลีนถามอย่างสงสัย“ใครคะ?” ผู้หญิงคนนั้นถามด้วยความงุนงง ราวกับว่าเธอไม่รู้จักชื่อ ‘เคธี่’เมเดลีนเองก็ผงะเช่นกัน แต่เมื่อเธอกำลังจะถามอีกครั้ง โทรศัพท์ก็ดูเหมือนจะถูกยื่นให้คนอื่นแล้ว จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงของอดัม “เจเรมี่? มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า?”เมื่อได้ยินเสียงของอดัม เมเดลีนก็รีบบอกอาการของเจเรมี่ทันที “อดัม ยาพิษในร่างกายสามีฉันกำลังออกฤทธิ์อีกแล้ว คุณต้องมีวิธีที่จะช่วยเขาใช่ไหม! ฉันจะส่งที่อยู่ให้ คุณรีบมาทีนะ”“เข้าใจแล้ว จะไปเดี๋ยวนี้” อดัมตอบรับทันทีเมเดลีนคิดว่าเธอน่าจะฟังดูสุภาพพอ เมื่อคิดถึงเรื่องที่อดัมร่วมมือกับไรอันในตอนนั้น เธอก็รู้สึกโกรธอยู่ในใจหลังจากที่วางสาย เธอก็เข้ามาประคองร่างสูงที่กำลังเหงื่อแตกพลั่ก หัวใจเจ็บปวดมากจนรู้สึกหายใจไม่ออกราวกับว่าเธอรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เจเรมี่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้“อีก
เมเดลีนยังคงรู้สึกงุนงงกับข้อมูลใหม่ที่เธอเพิ่งจะได้รับ และเธอก็ยังจำเสียงผู้หญิงที่รับสายโทรศัพท์ของอดัมได้อย่างชัดเจน“อดัม ตอนนี้คุณมีแฟนเหรอ?” เธอถามเพื่อความมั่นใจหลังจากที่พูดแบบนั้น เมเดลีนก็เห็นว่าอดัมผงะไปเล็กน้อย ในทางกลับกันเจเรมี่ก็มองอดัมด้วยความอยากรู้อยากเห็น“ทำไมคุณถามแบบนั้น ลินนี่?”“เปล่าคะ แค่ตอนที่ฉันโทรหาอดัมมีผู้หญิงคนหนึ่งรับโทรศัพท์แทนเขา ฉันรู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินเสียงนั้นจากที่ไหนสักแห่ง” เมเดลีนอธิบายด้วยรอยยิ้มและท่าทางสงบนิ่ง “อดัม ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่เรารู้จักหรือเปล่า?”“ไม่ พวกคุณไม่รู้จักหรอก” อดัมรีบปฏิเสธ แต่แล้วก็ยอมรับเล็กน้อย “แต่เธอเป็นแฟนผมจริง ๆ”เขาพูดพลางก้มมองเวลา “ผมคงต้องไปแล้ว แฟนผมเธอเป็นคนขี้กลัวเลยอาจจะรู้สึกไม่ปลอดภัยที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวตอนกลางคืน”อดัมพูดก่อนจะเดินกลับออกไปหลังจากที่เมเดลีนเดินไปส่งเขาที่ประตู เธอก็รีบกลับมาที่ห้องแล้วหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเจเรมี่ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวที่ปรากฏในแววตา“เจเรมี่ เกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับอดัม ทำไมคุณถึงไว้ใจเขามากขนาดนั้น?”“เขาน่าจะถูกบังคับจนต้องอ
“ตอนไหนคะ?” เมเดลีนขยับเข้ามาใกล้เจเรมี่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เจเรมี่ คุณรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอดัมกับเคธี่เหรอ?”“ผมไม่แน่ใจ” เขาส่ายหน้าเบา ๆ แต่มีร่องรอยของความเบิกบานในแววตา “ลินนี่ ถ้าเป็นแบบนั้นเคธี่อาจจะยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ อดัมไม่ใช่หมอธรรมดาทั่วไป เขามีความสามารถพอที่จะทำให้เคธี่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”หัวใจของเมเดลีนเต้นรัว “คงจะดีมากเลยถ้าเคธี่ยังมีชีวิตอยู่”เธอยิ้มและคล้องแขนไปรอบคอของเขา “เจเรมี่ ฉันรู้ว่าการเริ่มต้นใหม่ของเรามันยากแค่ไหน ฉันเลยหวังว่าเคธี่กับเฟลิเป้จะได้รับโอกาสนั้นเหมือนกัน”“ตราบใดที่เคธี่ยังมีชีวิตอยู่ ผมก็คิดว่าเฟลิเป้คงจะมีความสุข แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสเริ่มต้นใหม่ก็ตาม”“ค่ะ” เมเดลีนตอบแล้วซบลงที่อกของเจเรมี่เธอรู้สึกราวกับว่าไม่ต้องเผชิญความกังวลภายในใจอีกแล้ว เมื่อได้ดื่มด่ำกับความอบอุ่นจากอกแกร่งของเขาวันรุ่งขึ้น เมเดลีนอยากจะบอกเรื่องนี้กับเฟลิเป้ว่ามีความเป็นไปได้ที่เคธี่จะยังมีชีวิตอยู่ แต่เจเรมี่หยุดเธอเอาไว้เสียก่อน“ลินนี่ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย เรายังไม่แน่ใจ ผมกลัวว่ามันจะเป็นการให้ความหวังแล้วอาจทำให้เขารู้สึกผ
เมื่อคุณนายโจนส์เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งไม่พอใจ “ทำไมเขาเข้าไปได้ แต่ฉันเข้าไปหาลูกไม่ได้ล่ะ?”“คุณวิทแมนมาจากหน่วยสืบสวนภายในของอินเตอร์โพล เขาเป็นสายลับอาวุโสที่สอบสวนคดีของลูกชายคุณ ดังนั้นบอกผมทีว่าเขาควรจะเข้าไปได้ไหม?”“...” แม่ของไรอันเงียบ แล้วถอยห่างออกมาแต่ยิ่งรอนานเธอก็ยิ่งหงุดหงิด หลังจากคิดแบบนี้เธอก็ออกไปโทรศัพท์ภายในห้องไรอันเป็นเหมือนรูปปั้นที่ไร้ชีวิตในขณะที่จ้องมองคนที่กำลังเดินมาหาเขาอย่างไร้ความรู้สึก“ฉันต้องการเจอเอวลีน ไม่ใช่แก” ไรอันเอ่ย ราวกับว่าเขาต้องใช้แรงในการพูดเป็นอย่างมากสายตาของเจเรมี่สังเกตอาการของไรอันอย่างเย็นชา “แกคิดว่า แกคู่ควรที่จะได้เจอภรรยาของฉันตอนนี้เหรอ?”ไรอันเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อเจเรมี่ “เธอเป็นคนปลุกฉัน ดังนั้นเธอมีหน้าที่พูดในสิ่งที่เธอต้องการจะพูดกับฉันให้เสร็จ”“ไรอัน แกคิดว่าเธอมีเรื่องอยากจะบอกจริง ๆ งั้นเหรอ?” เจเรมี่หัวเราะอย่างเย็นชา “ฟางเส้นสุดท้ายสำหรับฉันคือการปล่อยให้คนที่ฉันรักมอบความตั้งใจที่จะช่วยให้แกได้มีชีวิตรอดต่อไป เธอจะไม่มาเจอแกอีก เลิกหวังได้แล้ว”ความผิดหวังปราก
ไรอันฉวยจดหมายมาไว้ในมือพลางไล่สายตาผ่านลายมืออันคุ้นเคย ทุกคำสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน“ปะ… เป็นไปไม่ได้…”การหายใจของไรอันเริ่มติดขัดเขาหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แต่ไม่ว่าเขาจะอ่านมันยังไง คำพูดเหล่านั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลง“ไม่ คุณปู่จะไม่ทำอะไรแบบนั้น…”ไรอันไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้ ริมฝีปากซีดและแห้งผากเริ่มพึมพำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงตาสีเทาเต็มไปด้วยการสูญเสียที่ไม่มีที่สิ้นสุด“ไรอัน ฉันรู้ว่ามันยากที่จะยอมรับเรื่องนี้ แต่มันคือความจริง” เจเรมี่เอ่ยอย่างใจเย็น“เป็นไปไม่ได้!” ไรอันใช้กำลังทั้งหมดคำรามออกมา ก่อนจะกุมหัวใจด้วยสีหน้าเจ็บปวดเจเรมี่เห็นการเปลี่ยนแปลงนั้นและรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายอาจจะถูกเรื่องนี้กระตุ้นอย่างแรง ทว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกสงสารอีกฝ่ายไปด้วยเลยในความคิดของเขา ไรอันเป็นแบบนี้ก็เพราะการกระทำของเขาเองการฟื้นขึ้นมาได้นับว่าเป็นพรอันใหญ่หลวงสำหรับไรอันแล้วแต่ไม่ว่ายังไงเจเรมี่ก็ยังรีบเรียกหมอให้เขาทว่าเมื่อประตูเปิดออก นักข่าวกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นจากไไหนก็ไม่รู้ และพยายามอย่างมากที่จะเข้ามาดูว่าด้านในเกิดอะไรขึ้นเมื่อพ่อและแม่ของไรอันเห็นหมอ
“ถ้าคุณคิดว่าจะสามารถช่วยไรอันให้พ้นจากอาชญากรรมที่เขาก่อได้ด้วยวิธีแบบนี้ แสดงว่าคุณไร้เดียงสายิ่งกว่าลูกชายและลูกสาวของฉันเสียอีกนะ”ทันใดนั้นน้ำเสียงที่สดใสและบริสุทธิ์ก็ดังขึ้นจากฝูงชนที่โหวกเหวกหัวใจที่เต้นแรงของเจเรมี่เต็มไปด้วยความสุขเมื่อได้ยินเสียงนี้ เขามองเมเดลีนที่เดินฝ่าฝูงชนเข้ามาด้วยท่าทางที่สง่างามนักข่าวเล็งกล้องไปที่เธอ และใช้โอกาสนี้ยิงคำถามเพิ่มเติม“คุณกำลังพูดเพื่อปกป้องคุณวิทแมนใช่ไหมคะ?”“ความสัมพันธ์ของคุณกับไรอัน โจนส์เป็นยังไงกันแน่ครับ?”“ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้สภาพจิตใจของคุณยังไม่ปกติ ตอนนี้บางคนก็บอกว่าคุณเสียสติไปแล้ว แน่ใจนะว่าคุณ…”“พวกคุณคิดว่าฉันดูเหมือนคนเสียสติหรือเปล่า?” เมเดลีนเดินไปหาเจเรมี่แล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับกล้องอย่างมั่นใจ “ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดแทนใคร ฉันแค่หวังว่าเรื่องนี้จะจบลงโดยเร็วที่สุด”เธอมองเจเรมี่ด้วยแววตาที่จริงจัง “เจเรมี่ ฉันรู้ว่าคุณกำลังพยายามรักษาศักดิ์ศรีของใครบางคน แต่สิ่งนี้ควรจะเกิดขึ้นอย่างยุติธรรมกับทุกฝ่ายเหมือนกัน ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการแสดงความเอื้อเฟื้อเช่นเดียวกันกับที่คุณทำ แล้วทำไมเราต้องทำร้ายตัว
การที่จดหมายถูกแย่งออกไปกะทันหันแบบนั้นทำให้เมเดลีนตกใจมากเธอเงยหน้าขึ้นมองนักข่าวที่แย่งจดหมายไปทันทีหากเนื้อหาในจดหมายถูกเปิดเผย ชื่อเสียงของตระกูลโจนส์จะถูกทำลายทันที และผู้อาวุโสโจนส์ที่ล่วงลับก็จะจากไปอย่างไม่สงบเมเดลีนวิ่งขึ้นมาเพื่อแย่งจดหมายคืนเมื่อเห็นว่านักข่าวกำลังจะอ่านเนื้อหาในโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ตอนที่เธอกำลังจะทำแบบนั้น พ่อของไรอันก็พุ่งเข้ามาหานักข่าวคนนั้นทันทีราวกับสิงโตที่กำลังโกรธเกรี้ยว เขาคว้าคอเสื้อนักข่าวแล้วเอ่ยลอดไรฟันอย่างเอาเรื่อง “เอาจดหมายคืนมา!”นักข่าวตกใจมาก แต่ในขณะเดียวกันเขารู้ว่าตัวเองกำลังถือชิ้นส่วนของข่าวสำคัญอยู่ เขาจึงไม่สามารถปล่อยมันไปได้“คืนมันให้เขา”ทันใดนั้นเสียงของเจเรมี่ก็เอ่ยขึ้นเนิบ ๆ อย่างน่ากลัว แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะสงบ แต่รังสีของเขาก็เพียงพอที่จะทำให้นักข่าวคนนั้นรู้สึกกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่เจเรมี่กำลังจ้องมองอย่างไม่วางตา สายตาของเขาเฉียบคมราวกับนกอินทรีที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างตรงหน้าจนคนมองรู้สึกเสียวสันหลังอยู่ไม่น้อย“ทำไม? คุณจะคืนให้เขาหรือเปล่า? หรืออยากให้ผมไปเอามันคืนมาเอง หืม?” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างช
เมื่อเธอเห็นไรอัน เธอก็จะนึกถึงความโหดร้ายที่เขาปฏิบัติต่อเธอในตอนนั้น“ลินนี่ กลับบ้านกันเถอะ”เมเดลีนคว้าแขนของเจเรมี่เอาไว้ “ค่ะ”ทว่าก่อนที่พวกเขาจะหันหลังกลับ พ่อของไรอันก็คว้าข้อมือเธอไว้ในทันที“คุณนายวิทแมน!”แม่ของไรอันเองก็เข้ามาหาเมเดลีนอย่างลนลาน ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยการวิงวอนและคำขอโทษ“ได้โปรด ได้โปรดเข้าไปหาไรย์อีกครั้งเถอะนะ!”เมเดลีนเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นแม่ดี แต่เธอไม่ต้องการเห็นหน้าไรอันจริง ๆ“เอวลีน ฉันรู้ว่าตอนนั้นฉันพูดเรื่องแย่ ๆ กับคุณมากมาย ในฐานะแม่และลูกสะใภ้ในอดีต ฉันหวังว่าคุณจะยกโทษให้ฉันที่หยาบคายและใจร้อนเกินไป“ไรย์ผิดไปแล้ว เขาไม่ควรทำร้ายคุณแบบนั้น ไม่ว่าเขาจะต้องเผชิญกับการลงโทษอะไรก็ตาม ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นคือผลจากการกระทำของเขาเอง ฉันขอร้อง ตอนนี้ช่วยรักษาชีวิตของไรย์เอาไว้อีกสักครั้งได้ไหม?”แม่ของไรอันโวยวายเสียงดังและจับมือเมเดลีนแน่นไม่ยอมปล่อย “เธอเป็นคนใจดีเอวลีน เธอเคยช่วยเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นได้โปรดช่วยเขาอีกครั้งได้ไหม ฉันขอร้องจากใจเลยจริง ๆ นะ!”คำขอร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าออกมาจากปากคุณนายโจนส์ ท่าทางของเธอแตกต่างไปจากเด