หลังจากคืนที่แม่จากไป ขุนก็กลับไปใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ อีกครั้ง เขากลายเป็นคนเงียบขรึม เก็บตัว และทำงานหนักยิ่งกว่าเดิม เพื่อกลบฝังความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดที่กัดกินอยู่ในใจ ไร่ลำไยถูกทิ้งไว้เบื้องหลังพร้อมกับความทรงจำที่เจ็บปวด และคำสัญญาที่ยังคงค้างคา
เจ็ดปีผ่านไป… เดือน เติบโตจากเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความสดใส กลายเป็นหญิงสาววัยสิบเก้าปีบริบูรณ์ที่งดงาม เธอเรียนจบ ม.ปลาย และกลับมาช่วยคุณพ่อคุณแม่ดูแล บ้านที่อยู่ติดกับไร่ลำไย ของครอบครัวเธอเอง ในแต่ละวัน เดือนยังคงใช้ชีวิตเรียบง่ายภายในบ้านและบริเวณรอบ ๆ เธอยังคงรดน้ำต้นไม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ปลูกไว้รอบบ้าน และช่วยงานบ้านคุณแม่ แต่ไม่ว่าเธอจะยุ่งแค่ไหน ไม่ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าจะสดใสเพียงใด ลึก ๆ ในใจของเดือนยังคงมีเงาของใครบางคนอยู่เสมอ ทุกเช้าและเย็น เดือนจะมองไปยังบ้านของขุนที่อยู่ไม่ไกล ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความคิดถึงและความหวังที่ไม่เคยจางหาย เธอไม่เคยลืมคำสัญญาที่เคยให้ไว้ใต้ต้นลำไยเมื่อครั้งยังเด็ก “โตขึ้นหนูจะแต่งงานกับพี่ขุน!” คำพูดนั้นยังคงก้องอยู่ในหัวใจของเธอ เป็นเหมือนแสงนำทางเล็ก ๆ ที่คอยบอกว่าการรอคอยนั้นคุ้มค่า ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา เดือนได้ยินข่าวคราวของขุนบ้างประปรายจากพี่เข้มที่แวะเวียนมาที่บ้านเดือนเป็นครั้งคราว หรือเวลาที่พี่เข้มมาเดินดูแนวรั้วไร่ที่ติดกับบ้านเธอ แต่พี่เข้มก็ไม่เคยเล่ารายละเอียดอะไรมากนัก เพียงแค่บอกว่าขุนสบายดี และทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ เดือนรู้ว่าพี่เข้มก็คงคิดถึงขุนไม่ต่างจากเธอ แต่ทั้งสองคนต่างก็เก็บความรู้สึกไว้ในใจเงียบ ๆ เธอเคยแอบไปยืนอยู่ริมรั้วใกล้บ้านของขุนในบางวัน มองเข้าไปในความเงียบงันของบ้านที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เธอมักจะจินตนาการว่าถ้าขุนกลับมา จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาจะจำเธอได้ไหม เขาจะยังอยากทำไร่ลำไยอยู่หรือเปล่า และเขาจะยังจำคำสัญญาในวัยเด็กของพวกเขาได้ไหม สำหรับเดือน เจ็ดปีที่ผ่านมาคือการเติบโต การเรียนรู้ และการรอคอย การรอคอยที่เปี่ยมด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่ง “พี่ขุน” ของเธอจะกลับมา และสานต่อเรื่องราวที่ยังค้างคาให้จบลงด้วยความสุข และแล้ว…ในบ่ายคล้อยของวันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังช่วยคุณแม่รดน้ำต้นไม้หน้าบ้าน สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นเงาร่างคุ้นตาที่เดินเข้ามาจากทางหน้าไร่ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวคล้ำแดด ใบหน้าคมสัน ดวงตาที่เคยเป็นประกายในวัยเด็ก ตอนนี้กลับดูสุขุมและลึกซึ้งกว่าเดิม เขากำลังเดินตรงมายังบ้านของพี่เข้ม หัวใจของเดือนเต้นรัวราวกับกลองศึก มือไม้สั่นไปหมด เธอไม่แน่ใจว่านี่คือความฝันหรือความจริง “เดือน…” เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อเธอขณะที่เขาเดินผ่านรั้วบ้านของเธอ เดือนเงยหน้าขึ้นมองเขาช้า ๆ ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจระคนดีใจ น้ำตาคลอเบ้า “พี่… พี่ขุน…” ใช่แล้ว… ขุนกลับมาแล้ว หัวใจของเดือนเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าคนที่เดินเข้ามาคือ พี่ขุน คนที่เธอเฝ้ารอคอยมาตลอดเจ็ดปี ดวงตาของเดือนเบิกกว้าง น้ำตาที่คลออยู่เมื่อครู่ไหลเอ่อออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “พี่…พี่ขุนจริง ๆ ด้วย” เดือนพึมพำเสียงสั่นเครือ เธออยากจะวิ่งเข้าไปหา อยากจะโผกอดเขาเหมือนวันเก่า ๆ แต่ร่างกายกลับแข็งทื่อไปหมด ขุนมองเดือนด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา เขายืนนิ่งอยู่ตรงรั้ว มองไปยังเด็กสาวตรงหน้าที่ไม่ได้เป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนเดิมอีกแล้ว เดือนเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง งดงามกว่าที่เขาจำได้มากนัก “เดือน…” ขุนเอ่ยเรียกชื่อเธออีกครั้ง เสียงของเขาทุ้มต่ำและนุ่มนวลกว่าที่เธอจำได้ “โตขึ้นเยอะเลยนะ” คำพูดสั้น ๆ ของเขาทำให้เดือนรู้สึกเหมือนเวลาได้ย้อนกลับไปในอดีต เธอปาดน้ำตาเบา ๆ แล้วพยายามจะยิ้มตอบ แต่รอยยิ้มนั้นกลับสั่นคลอน “พี่ขุนหายไปไหนมาคะ…หนูคิดถึงพี่ขุนมาก” เดือนถามออกไปในที่สุด คำถามที่เก็บงำมานานหลายปี ขุนหลบสายตาไปเล็กน้อย เขามองไปยังบ้านของพี่เข้มที่อยู่ถัดไป “พี่…พี่เพิ่งกลับมาถึงครับ” เขาตอบเพียงสั้น ๆ ยังไม่พร้อมจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา ในขณะนั้นเอง พี่เข้ม ก็เดินออกมาจากบ้าน เขาเห็นขุนยืนคุยอยู่กับเดือนที่รั้ว ก็เดินเข้ามาหา “อ้าว เดือน มายืนคุยอะไรตรงนี้ลูก” พี่เข้มเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดือนรีบปาดน้ำตา แล้วหันไปพยักหน้าให้พี่เข้ม “สวัสดีค่ะพี่เข้ม” พี่เข้มพยักหน้ารับ แล้วหันมามองขุน ดวงตาของเขาสื่อความหมายที่ลึกซึ้งกว่าคำพูด เขาคงอยากถามมากมาย แต่ก็เลือกที่จะเก็บงำไว้ เขาวางมือบนไหล่น้องชายเบา ๆ “เข้าไปในบ้านเถอะขุน” ขุนพยักหน้า เขามองเดือนอีกครั้ง ดวงตาของเขาสื่อความหมายบางอย่างที่เดือนยังจับต้องไม่ได้ ก่อนที่เขาจะเดินตามพี่เข้มเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้เดือนยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง เดือนมองตามแผ่นหลังของขุนที่เดินลับหายเข้าไปในบ้าน เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในความฝันที่กลายเป็นจริง แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกใจหายกับท่าทีที่ดูแปลกไปของเขา ขุนเปลี่ยนไปมากจริง ๆ ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นแววตาที่ดูสุขุมและลึกซึ้งกว่าเดิม หลังจากที่ขุนก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน ความเงียบก็เข้าปกคลุมบ้านหลังใหญ่ที่เคยอบอุ่น ขุนเดินเข้าไปในห้องโถง มองไปที่เก้าอี้ตัวโปรดของแม่ที่ว่างเปล่า ความทรงจำถึงรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของแม่ยังคงชัดเจนในใจ เขารับรู้ถึงการไม่มีอยู่ของแม่ด้วยความเจ็บปวดที่บาดลึกกว่าเดิม พี่เข้มเดินมาหยุดข้างน้องชาย เขาวางมือบนไหล่ขุนอีกครั้ง ครั้งนี้แน่นกว่าเดิม “แกคงเหนื่อย…ไปพักเถอะ” พี่เข้มพูดเสียงแผ่ว ขุนพยักหน้า เขาก้าวเข้าไปในห้องนอนเก่าของเขา ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่กลับรู้สึกอ้างว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คืนนั้น ขุนนอนไม่หลับ เขามองเพดานห้องที่คุ้นเคย เสียงจิ้งหรีดเรไรดังแว่วมาจากนอกหน้าต่าง กลิ่นดินและกลิ่นลำไยลอยเข้ามาในห้อง ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเดิม…ยกเว้นเขา และการไม่มีอยู่ของแม่ เขาหลับตาลง พยายามไล่ภาพความโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่ และความรู้สึกผิดที่ฝังอยู่ในใจออกไป เขาอยากจะเริ่มต้นใหม่ อยากจะแก้ไขทุกอย่าง แต่เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน ขุนลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่ มองออกไปเห็นแสงจันทร์ที่สาดส่องลงบนไร่ลำไย และมองไปยังบ้านอีกหลังที่อยู่ไม่ไกลนัก บ้านของ เดือน เขาจำคำพูดของเดือนในวัยเด็กได้ดี “โตขึ้นหนูจะแต่งงานกับพี่ขุน!” และคำพูดนั้นเองที่ทำให้เขารู้สึกได้ว่า…เขายังมีบางสิ่งที่ต้องเผชิญหน้าและรับผิดชอบ ขุนหลับตาลงอีกครั้ง หัวใจเต้นช้าลง แต่หนักอึ้งกว่าเดิม ความรู้สึกผิดในอดีตไม่ได้จางไปตามเวลา กลับยิ่งหนาขึ้นเมื่อเขายืนอยู่ในสถานที่ที่เคยทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยคาดคิด คือการได้เห็น “เดือน” ในวันนี้ เด็กหญิงตัวน้อยที่เคยวิ่งตามเขาทุกเช้าเย็น บัดนี้กลายเป็นหญิงสาวผู้เปล่งประกาย เธอยังคงเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงสั่นไหว และมองเขาด้วยสายตาเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ...ขุนกลัว กลัวว่าสายตานั้นจะเปลี่ยนไป เมื่อเธอรู้เรื่องทั้งหมด กลัวว่าเธอจะผิดหวังในตัวเขาเหมือนที่เขาผิดหวังในตัวเองมาตลอด ณ อีกฟากของรั้วบ้าน เดือนเองก็ยังยืนอยู่ที่เดิม มือยังกำลังรดน้ำต้นไม้ตรงโคนมะลิริมรั้ว แต่ดวงตานั้นลอยไกลเกินกว่าจะอยู่กับปัจจุบัน เสียงเรียกชื่อของเขายังคงก้องอยู่ในใจ...ทั้งเสียงในวันนี้ และเสียงในความทรงจำ "พี่ขุนกลับมาแล้วจริง ๆ..." เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะยิ้มทั้งน้ำตา เธอไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้เขากลับมาในที่สุด เธอไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเธอบ้างในตอนนี้ แต่เธอรู้เพียงสิ่งเดียว หัวใจของเธอไม่เคยเปลี่ยน และหากเขาจะเริ่มต้นใหม่…เธอก็พร้อมจะยืนข้างเขา เหมือนวันเก่า ๆ ที่เธอเคยเดินตามเขาไปตามแนวไร่ คืนเดือนหงายคืนนั้น ผ่านไปอย่างช้า ๆ แต่กลับมีบางอย่างในอากาศที่แตกต่างจากทุกค่ำคืนที่ผ่านมาบางอย่างที่ชื่อว่า “ความหวัง”บรรยากาศในบ้านของ พี่เข้ม เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองให้กับ บัณฑิตใหม่ อย่าง ขุนพอล และ ลินดา เดินทางมาร่วมงานด้วย พวกเขานำไวน์ชั้นดีและขนมเค้กมาเป็นของขวัญ ข้าวหอมช่วยจัดเตรียมอาหารเย็นชุดใหญ่ มีทั้งอาหารพื้นบ้านและอาหารที่ขุนชอบเป็นพิเศษโต๊ะอาหารถูกจัดวางไว้นอกชานบ้าน ใต้แสงไฟสลัว ๆ ที่ห้อยระย้าจากต้นไม้ใหญ่ เสียงดนตรีเบา ๆ คลอเคล้าไปกับเสียงพูดคุยและเสียงแก้วกระทบกันเดือน มาถึงพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เธอสวมชุดที่เรียบง่ายแต่ดูสง่างาม ดวงตาเป็นประกายเมื่อมองมาที่ขุน“ยินดีด้วยอีกครั้งนะคะพี่ขุน” เดือนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่จริงใจขุนยิ้มตอบ “ขอบคุณนะเดือน” เขารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดเมื่อได้เห็นเธออยู่ตรงนี้ทุกคนนั่งล้อมวงกันที่โต๊ะอาหาร พี่เข้มรินไวน์ให้ทุกคน พอลยกแก้วขึ้น“ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ของเราด้วยนะขุน” พอลกล่าว “นายเก่งมากจริง ๆ”ทุกคนยกแก้วขึ้นชนกัน เสียง “ไชโย!” ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงลินดายิ้มให้ขุน “ดีใจด้วยนะคะขุน ที่ดิน 50 ไร่ที่พี่เข้มให้…อยู่ติดกับไร่ดอกไม้ของลินดาเลยนะ” เธอเอ่ยขึ้น “ถ้ามีอะไรให้ช่วย บอกได้เลยนะ”ขุนพยั
หลังจากวันนั้นที่คาเฟ่ ขุน ตัดสินใจที่จะกลับไปเรียนต่อในเมืองตามคำแนะนำของ พี่เข้ม แม้ในใจลึก ๆ จะมีความรู้สึกบางอย่างที่อยากจะอยู่ใกล้ เดือน และไร่ลำไย แต่เขาก็รู้ว่าการเรียนคือโอกาสสำคัญที่พี่ชายมอบให้ และเป็นสิ่งที่เขาเคยใฝ่ฝันมาตลอดขุนเดินทางกลับเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เขาทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างหนัก ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องสมุดและห้องปฏิบัติการ ความรู้ใหม่ ๆ ที่ได้รับทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขามองเห็นอนาคตที่สดใสขึ้นเรื่อย ๆ และตั้งใจว่าจะนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนา "บ้านไร่ในฝัน" ของเขาให้เป็นจริงตลอดช่วงเวลาที่ขุนเรียนอยู่ในเมือง เขาจะโทรศัพท์กลับมาคุยกับพี่เข้มและข้าวหอมเป็นประจำ เพื่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบและข่าวคราวของไร่ลำไย และแน่นอนว่าเขามักจะแอบถามถึง เดือน เสมอเดือนเองก็ใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็งและมีความสุขกับการทำงานที่คาเฟ่ดอกไม้ของ ลินดา เธอเติบโตเป็นหญิงสาวที่มั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังคงเฝ้ารอคอยการกลับมาของขุนเสมอเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว…ในที่สุด วันที่ ขุน รอคอยก็มาถึง วันรับปริญญา ของเขาพี่เข้มและข้าวหอมพร้อมด้วย ต้นฝัน ลูกสา
เสียงเรียกชื่อของ เดือน แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้โลกทั้งใบของ ขุน หยุดนิ่ง ดวงตาของทั้งคู่สบกัน ขุนเห็นความตกใจและแปลกใจในแววตาของเดือน ส่วนเดือนก็เห็นความรู้สึกบางอย่างที่เธออ่านไม่ออกในดวงตาของเขาลูกค้าหนุ่ม ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างก็หันมามองขุนด้วยความสงสัยเล็กน้อย เดือนที่ตั้งสติได้ก่อน รีบส่งยิ้มให้ลูกค้าพร้อมรับออเดอร์อย่างเป็นธรรมชาติ“พี่ขุนมาเมื่อไหร่คะ” เดือนถามขณะที่เธอกำลังชงกาแฟให้ลูกค้า มือของเธอดูคล่องแคล่ว แต่ขุนก็สังเกตเห็นว่ามันสั่นไหวเล็กน้อย“เมื่อวาน” ขุนตอบสั้น ๆ สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เดือน ไม่ได้สนใจลูกค้าคนอื่น ๆ เลยเมื่อเดือนชงกาแฟเสร็จและส่งให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว เธอก็หันมาเผชิญหน้ากับขุนอย่างเต็มที่“มาเที่ยวคาเฟ่เหรอคะ” เดือนพยายามยิ้มให้เขาอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นยังคงสวยงาม แต่ดูต่างไปจากรอยยิ้มสดใสในวัยเด็กอย่างสิ้นเชิง มันคือรอยยิ้มของหญิงสาวที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย“มาเยี่ยมหลาน” ขุนตอบ และในที่สุดเขาก็เดินเข้าไปยืนที่หน้าเคาน์เตอร์ “พี่เข้มมีลูกสาวแล้ว ชื่อต้นฝัน”ดวงตาของเดือนเป็นประกายด้วยความยินดี “จริงเหรอคะ! ดีใจด้วยจังเล
หลังจากวันที่ ขุน จากไปอีกครั้งพร้อมกับคำสัญญาที่ยังค้างคา เดือน ใช้เวลาอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ เธอปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาจนหมดสิ้น ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เดือนรู้ดีว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป และเธอจะต้องเข้มแข็งให้ได้เวลาผ่านไป เดือนเริ่มเติบโตเป็นสาวเต็มตัว ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นความคิดและจิตใจ เธอตัดสินใจที่จะไม่จมอยู่กับความเศร้า แต่จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด เพื่อรอคอยวันที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ด้วยความช่วยเหลือของ พี่เข้ม และ ข้าวหอม เดือนได้มีโอกาสเข้าไปทำงานใน ไร่ดอกไม้เรือนกระจกของลินดา ซึ่งอยู่ทางเหนือของไร่ลำไย เธอเริ่มต้นจากการเป็นผู้ช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เรียนรู้การดูแลดอกไม้ การจัดดอกไม้ และการบริหารจัดการคาเฟ่ดอกไม้ที่สวยงามลินดา มองเห็นความตั้งใจและความมุ่งมั่นในตัวเดือน เธอเอ็นดูเดือนเหมือนน้องสาวคนเล็ก คอยสอนงาน ให้คำแนะนำ และเป็นที่ปรึกษาในทุก ๆ เรื่อง ลินดาไม่ได้สอนแค่เรื่องงาน แต่ยังสอนเรื่องการใช้ชีวิต การจัดการกับอารมณ์ และการมองโลกในแง่บวก“ดอกไม้ก็เหมือนใจคนนะเดือน” ลินดาเคยพูดขึ้นในวันหนึ่งขณะที่ทั้งคู่กำลังจัดดอกไม้อยู่ในเรือนกระจก “ถ้าเราดูแลมันดี
วันเดินทางมาถึง ท้องฟ้าแจ่มใสผิดกับคืนก่อน ๆ ที่มืดครึ้ม ขุน ตื่นแต่เช้า จัดกระเป๋าเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดลงในกระเป๋าเดินทางใบเก่า ความรู้สึกตื่นเต้นระคนสับสนยังคงวนเวียนอยู่ในใจหลังจากทานอาหารเช้าที่ ข้าวหอม เตรียมไว้ให้ ขุนก็เดินออกมาที่หน้าบ้าน พี่เข้ม ยืนรออยู่แล้ว ข้าง ๆ เขาคือรถกระบะคันเก่าของไร่ สีซีดจางไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังดูดีและใช้งานได้“รถคันนี้…พี่ให้แกเอาไปใช้ในเมือง” พี่เข้มพูดขึ้น น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ แต่แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย “มันอาจจะเก่าหน่อย แต่ก็ยังวิ่งได้ดี ดูแลมันดี ๆ นะ”ขุนมองรถคันนั้นด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ เขาไม่คิดว่าพี่เข้มจะให้รถเขาไปใช้ในเมือง “ขอบคุณครับพี่”พี่เข้มวางมือบนไหล่น้องชาย “ไปถึงแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”ขุนพยักหน้า เขารับกุญแจรถมาจากพี่เข้ม ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถ เตรียมตัวที่จะก้าวเข้าไปก่อนที่จะสตาร์ทรถ ขุนเหลือบมองไปยัง บ้านของเดือน ที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบที่ปกคลุมอยู่ แต่ในใจก็อดคิดถึงเธอไม่ได้เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเสียบกุญแจและบิดสตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงเครื่องยนต์เก่า ๆ ดังกระหึ่มขึ้นมาใน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความคิดคำนึงถึงคำสัญญาในวัยเด็ก ขุน ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ยังหนักอึ้ง แต่เขาก็พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นมาช่วยงานในไร่ลำไยเหมือนเช่นเคยขณะที่ขุนกำลังช่วย พี่เข้ม ตัดแต่งกิ่งลำไยอยู่กลางไร่ พี่เข้มก็วางกรรไกรลง เขามองไปยังขุนด้วยแววตาที่จริงจังกว่าปกติ“ขุน…แกอยากกลับไปเรียนไหม” พี่เข้มเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหันขุนชะงักมือที่กำลังตัดกิ่งไม้ เขาเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าพี่เข้มจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา“เรียนเหรอครับพี่” ขุนทวนคำถามพี่เข้มพยักหน้า “ใช่…พี่รู้ว่าแกอยากเรียนมาตลอด พี่…พี่ขอโทษนะที่วันนั้นพี่พูดไม่ดี” น้ำเสียงของพี่เข้มแผ่วลงเล็กน้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เก็บงำมานาน “พี่อยากจะชดเชยให้แก”ขุนยืนนิ่ง เขามองพี่ชายด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งแปลกใจ ตื้นตัน และสับสน เขาไม่เคยคิดว่าพี่เข้มจะพูดคำว่าขอโทษ และไม่เคยคิดว่าพี่ชายจะยังจำความฝันเรื่องการเรียนของเขาได้“พี่ได้คุยกับ อาจารย์สมศักดิ์ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว ท่านเป็นเพื่อนเก่าของพ่อเรา ท่านบอกว่าถ้าแกสนใจ ท่านจะช่วยดูเรื่องทุนการศึกษาให้