คิมหันต์ จุดเริ่มต้นของความเกลียดและความกลัวที่ฉันมีต่อผู้ชายคนนี้…มันเริ่มตั้งแต่ตอนไหนกันนะ? พอมาคิดๆดูแล้ว…มันเริ่มตั้งแต่แรกเลยนี่ ฉันเกลียดผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลอัศวนันทร์เลยด้วยซ้ำ
“เกวลิน! ต่อไปนี้เธอมาอยู่ที่บ้านหลังนี้นะ ฉันจะส่งเสียเลี้ยงดูเธอเอง” นี่คือคำพูดของคุณกรณ์หรือท่านประธานที่พูดกับฉันไว้เมื่อเจ็ดปีก่อน เมื่อเจ็ดปีก่อนฉันสูญเสียพ่อไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ พ่อฉันถูกคนขับรถของตระกูลอัศวนันทร์ขับรถชนจนเสียชีวิต หลังจากงานศพพ่อหนึ่งอาทิตย์ ฉันกับแม่ก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และจากอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ฉัน…สูญเสียแม่ไปด้วยอีกคน ส่วนตัวฉัน…ฉันจำเหตุการณ์ตอนที่ตัวเองโดนรถชนไม่ได้เลย พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลแล้ว ภายในเวลาแค่เดือนเดียวฉันสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปทั้งคู่ เหตุการณ์นี้มันสร้างความเจ็บปวดให้ฉันที่อายุแค่สิบสามปีในตอนนั้นเป็นอย่างมาก เพราะชีวิตฉันนอกจากพ่อแม่แล้วฉันก็ไม่เหลือใครให้พึ่งพิงอีกเลย จนกระทั่ง…คุณกรณ์ คนที่เป็นเจ้านายของคนที่ขับรถชนพ่อฉันเข้ามาหา เขาบอกว่าเขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ลูกน้องเขาทำไป เลยต้องการจะรับผิดชอบฉัน ด้วยการรับอุปถัมภ์ฉัน เขาจะช่วยส่งเสียเลี้ยงดูฉันแทนพ่อแม่ที่เสียไปของฉัน เพราะงั้นตั้งแต่นั้นมาฉันเลยได้เข้ามาอยู่ในตระกูลอัศวนันทร์ เดิมทีฉันอยู่ที่บ้านหลังนี้ในฐานะผู้อาศัยเท่านั้น และฉันก็คอยช่วยงานในบ้านเป็นการตอบแทนคุณกรณ์อยู่ตลอด ฉันใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้อย่างสงบมาตลอด จนกระทั่งวันนั้น วันที่ฉันได้บังเอิญไปเจอเข้ากับคุณคิมหันต์ที่สระว่ายน้ำในสวนหลังบ้าน “เธอใช่มั้ย? เด็กที่พ่อฉันเอาเข้ามาในบ้าน” ตอนนั้นฉันจำได้ว่าตัวเองกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ริมสระว่ายน้ำ “ใช่ค่ะ พี่เป็นใครเหรอคะ?” “ฉันชื่อคิมหันต์” “ฉันรู้จักพี่ค่ะ ท่านประธานเคยบอกไว้ว่าท่านมีลูกชายชื่อคิมหันต์” “เหรอ? แล้วเธอล่ะ?” “ฉันชื่อเกวลินค่ะ” ในตอนนั้นฉันตอบโต้เขาไปอย่างยิ้มแย้มด้วยอัธยาศัยที่ดี โดยที่ไม่รู้เลยว่าตอนนั้นเขาไม่ได้เข้ามาหาฉันเพื่อทำความรู้จักแต่อย่างใด แต่ตั้งใจเข้ามาทำร้ายจิตใจฉันตั้งแต่แรก “ได้ข่าวว่าพ่อแม่เธอโดนรถชนตายทั้งคู่เลยนี่ ใช่มั้ย?” “อะไรนะคะ?” “เธอเองก็อยู่บนรถคันเดียวกับแม่ด้วยไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมีแค่เธอคนเดียวที่รอดล่ะ?” น้ำเสียงเรียบนิ่งที่เอ่ยออกมาของเขามันบาดลึกลงไปถึงในใจของฉันเลย “ฉัน…จำไม่ได้ค่ะ” “แม่เธอตายทั้งคนเลยนะ เธอจำวันที่แม่ตัวเองตายไม่ได้เหรอ? หึ! เธอนี่มันอกตัญญูจังเลยนะ” “นี่พี่พูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง? ฉันก็ไม่ได้อยากจะลืมมันซักหน่อย” “แม่เธอที่ตายไปคงจะเสียใจน่าดูเลยนะ ถ้ารู้ว่าลูกตัวเองได้มาอยู่อย่่างสุขสบายจนลืมเขาแบบนี้” สายตาดูถูกเหยียดหยามที่มองมาของเขาและคำพูดที่ไม่ให้เกียรตินั่นมันทำฉันโกรธเอามากๆ จนน้ำตาไหลออกมา “ฮึก! ฉันไม่เคยลืมพ่อกับแม่ฉันซักหน่อย ฮึก พี่เป็นใครถึงได้มาพูดจาดูถูกฉันแบบนี้ฮ่ะ!” “ถ้าไม่ลืม…ก็อยู่ในที่ของเธอซะ เกวลิน!” ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเขาพูดอะไรของเขา เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง สายตาที่ดูถูกเหยียดหยามของเขาในตอนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นแววตาเยือกเย็นน่าขนลุก พร้อมทั้งยังก้าวเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆอีกด้วย “…หรือถ้าไม่อย่างงั้น…ก็ตายไปเหมือนกับแม่เธอซะดีกว่า” พลั่ก!! เขาเดินเข้ากระซิบใกล้หูฉัน ก่อนจะใช้สองมือผลักตัวฉันออกไปอย่่างเต็มแรง “กรี๊ดดดดด!!” ตู้มมมม!!! ใช่แล้ว! คุณคิมหันต์ตั้งใจผลักฉันให้ตกลงไปในสระ และการตกลงไปในสระของฉันครั้งนั้นมันจะไม่ใช่เรื่องแย่เลย ถ้าฉันว่ายน้ำเป็น แต่เพราะฉันว่ายน้ำไม่เป็นเนี่ยสิ ตอนนั้นฉันถึงได้ตะเกียกตะกายเอาตัวรอดอยู่ในน้ำ “ชะ…อึก…ช่วย…ดะ…อึก…ด้วย!!” ตอนนั้นฉันพยายามตะโกนขอความช่วยเหลือจากคนบนบกอย่างทุรนทุราย แต่ภาพสุดท้ายที่ฉันเห็นคือ…สีหน้าที่เรียบไม่สะทกสะท้านอะไรของเขา แววตาที่เยือกเย็น และรอยยิ้มที่ยกยิ้มมุมปากขึ้นมาจนน่าขนลุก เขายืนมองดูฉันจมน้ำอย่างใจเย็นไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้น ท่าทางของเขาเหมือนกำลังคิดอยู่…ว่าต่อให้ฉันตายไปมันก็คงไม่เป็นไรหรอก เขาไม่คิดที่จะช่วยฉันเลยสักนิด สิ่งที่เขาทำหลังจากนั้น คือการเดินหันหลังกลับไปโดยไม่หันกลับมามองฉันอีกเลย โชคดีที่วันนั้นมีคนไปช่วยฉันไว้ได้ทัน ไม่อย่างงั้นป่านนี้ฉันคงไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้หรอก และหลังจากวันที่ฉันจมน้ำได้สองวัน คุณกรณ์หรือท่านประธานก็เข้ามาพูดคุยกับฉัน เรื่องที่เขาอยากจะรับเลี้ยงดูฉันเป็นลูกบุญธรรม ตอนนั้นเองแหละที่ฉันพอจะเข้าใจคำพูดของคุณคิมหันต์ที่พูดกับฉันเมื่อสองวันก่อนที่ริมสระได้ ‘อยู่่ในที่ของเธอซะ!’ เขาคงไม่อยากให้ฉันตอบรับคำขอของท่านประธานเองสินะ ตอนนั้นฉันเลยปฏิเสธการรับเลี้ยงดูฉันเป็นลูกบุญธรรมของท่านประธานไป แต่ฉันไม่ได้ปฏิเสธไปเพราะคุณคิมหันต์หรอกนะ ฉันปฏิเสธเพราะฉันไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณท่านประธานมากไปกว่านี้แล้ว และนอกจากจะปฏิเสธการรับเป็นลูกบุญธรรมของท่านประธานแล้ว ฉันยังขอทำงานรับใช้ที่บ้านท่านประธานเหมือนคนอื่นๆ…ฉันเลยได้กลายเป็นคนรับใช้ของบ้านอัศวนันทร์ตั้งแต่นั้นมา ส่วนคุณคิมหันต์ ฉันเองก็เริ่มเกลียดเขามาตั้งแต่ตอนนั้น แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของความเกลียดเท่านั้น เพราะหลังจากวันนั้นมันก็ยังมีอีกหลายๆเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกเกลียดและกลัวคนๆนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกเกลียดและกลัวเขามากขึ้นไปทุกวันเหมือนกัน…ปริบๆ! ฉันกำลังนอนกระพริบตาไปสองสามทีมองไปยังเพดานห้องที่ไม่คุ้นเคย ความจริงก็ลืมตามาได้สักพักแล้วล่ะ แต่ตอนนี้กำลังงงๆอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง? แล้วตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน? “โอ้ย!!” ฉันพลิกตัวเพื่อจะลุกขึ้น แต่กลับต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทำไมมันปวดหลังอย่างงี้เนี่ย?!ฟุ่บ!! แม้จะปวดหลังแต่ก็พยายามพยุงตัวขึ้นมานั่งได้สำเร็จ แต่เมื่อก้มลงไปมองข้างล่าง ฉันถึงได้รู้ว่าทำไมฉันถึงได้ตื่นมาแล้วปวดหลังขนาดนี้ …พื้น! ใช่! ฉันนอนบนพื้น! ขวับ!! และพอเงยหน้าขึ้นไปสังเกตรอบๆห้องก็รู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ฉันมานอนอยู่ที่ไหน? นี่มันห้องของอีตานั่นนี่ ฉันกำลังนอนอยู่บนพื้นในห้องของอีตาคิมหันต์นั่น อ่อ! ฉันจำได้ล่ะ! ฉันจำได้ว่าตัวเองเกิดอาการหายใจไม่ออก(กลัวแหละ)แล้วก็สลบไปต่อหน้าอีตานั่น! ตรงนี้เลย! ตรงที่ฉันกำลังนั่งอยู่นี่เลย! เฮอะ! อย่าบอกนะว่าหลังจากฉันสลบไปอีตานั่นคงปล่อยให้ฉันนอนอยู่ที่เดิมอย่างนี้มาตลอดเลยเหรอ? แต่ก็อย่างที่รู้แหละนะ คนใจร้ายแบบเขาไม่มีทางสนใจคนที่นอนสลบจะเป็นจะตายอยู่ตรงหน้าหรอก ฉันรู้ดี! “ไอ้คนเฮงซวย!!” “ฟื้นแล้วเหรอ?”“เฮ้ย!!” เสียงที่ดังขึ้นมาทำฉันตกใจจนสะดุ้ง และเมื่
ความมืดมิดในยามค่ำคืน ความเงียบสงัดกำลังกัดกินบรรยากาศให้น่าขนลุกยิ่งขึ้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด…สิ่งที่น่ากลัวที่สุดตอนนี้ คงหนีไม่พ้นสายตาคู่นั้นของคนตัวสูง ที่กำลังจ้องมองมาที่ฉันอย่างไม่วางตาตึก!ตึก!ตึก! เสียงฝีเท้าของเขาที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ฉันตัวแข็งทื่อจนขยับไปไหนไม่ได้“เธอเกลียดฉันมากเลยเหรอ? เกวลิน” ระยะห่างของเราสองคนที่ห่างกันเพียงไม่ถึงคืบ เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาเรียบนิ่ง โดยเฉพาะแววตาเหยียดหยามที่จ้องมองที่ฉันราวฉันเป็นเพียงแค่สัตว์ตัวเล็กคู่นั้นของเขา ทำฉันรู้สึกเกลียดที่สุด! เกลียดจนแทบจะไม่อยากมองหน้าด้วยซ้ำไป“ใช่ค่ะ! เกลียด ฉันเกลียดคุณที่สุด”“หึ! แต่ฉันชอบนะ ชอบ…เวลาที่เธอทำท่าทีเกลียดฉันจนจะตาย” นิสัยน่ารังเกียจตอนนี้ของเขาก็เหมือนกัน มันทำฉันเกลียดจนขยาดจะแย่“ทำไมคะ? ทำไมคุณต้องคอยหาเรื่องฉันอยู่เรื่อยด้วย ทำไมต้องมาคอยแกล้งฉันตลอดเวลาด้วย!!” ตั้งแต่ฉันเข้ามาในบ้านหลังนี้ ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันจะอยู่อย่างสงบสุข โดยที่ไม่โดนคนๆนี้เข้ามาคุกคาม“เพราะสนุกไง!” คำพูดของเขาทำฉันกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ “ถ้าฉันออกไปจากบ้านหลังนี้ได้ ฉันจะไม่มีวันกลับมาเ
ชีวิตของคนปกติทั่วไปอาจจะถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยยังชีพที่แตกต่างกันไป บางคนอาจจะมีชีวิตอยู่เพื่อการทำงาน บางคนอาจจะเป็นเพราะความรัก แต่สำหรับชีวิตของฉัน…มันถูกขับเคลื่อนด้วยคำว่าหนี้บุญคุณแค่นั้น ฉันมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้เพราะหนี้บุญคุณ และไอ้คำว่าหนี้บุญคุณเนี่ยแหละ ที่พรากหลายสิ่งหลายอย่างไปจากฉัน ทั้งความรัก ทั้งเพื่อน ทั้งเงิน โดยเฉพาะ…อิสระ ตลอดเวลาที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ในตระกูลยิ่งใหญ่ที่อันตรายแบบนี้ สิ่งเดียวฉันเฝ้าคอยมาตลอดก็คือ…อิสระ แม้ท่านประธานจะเป็นคนที่มีบุญคุณกับฉันมากๆ แต่ตลอดระยะเวลากว่าเจ็ดปีที่ฉันอยู่ที่นี่ ฉันจงรักษ์ภักดีต่อท่านประธาน และตระกูลมาเสมอ จนเมื่อถึงตอนนี้…ตอนที่ฉันบรรลุนิติภาวะแล้ว ฉันอยากจะออกไปใช้ชีวิตที่อิสระของตัวเองสักที ฉันอยากจะออกไปใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วๆไปบ้าง“ฮู่ววว!!” ฉันถอนหายใจออกมาเพื่อเตรียมความพร้อม พลางกระชับแก้วน้ำชาที่อยู่ในมือให้แน่นไม่ให้มันสั่นไหว เพราะตอนนี้ฉันกำลังจะไปทำสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตของฉันที่สุด นั่นก็คือ…การร้องขออิสระจากผู้มีพระคุณของฉันนั่นเอง ก๊อกๆๆ! ฉันค่อยๆยกมือขึ้นไปเคาะประตูห้องท่านประธานสามครั้งตามปกติ
ซ่าาา!! ฉันปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวไหลรดผ่านใบหน้าและลำตัวไปอย่างช้าๆ พลางใช้เวลาระหว่างนี้นึกถึงคำพูดของท่านประธานที่พูดกับฉันก่อนหน้านี้‘พรุ่งนี้เธอเตรียมตัวย้ายออกจากบ้านใหญ่ไปบ้านเจ้าคิมหันต์มันซะนะ เกวลิน’‘หมายความว่ายังไงคะ?’‘ฉันตกลงกับเจ้าคิมหันต์มันแล้ว ว่าจะยกเธอให้มัน’‘ท่านประธานช่วยฟังเรื่องที่เกวจะขอก่อนได้มั้ยคะ?’‘เฮ้อ…เธอว่ามาสิ’‘ความจริงวันนี้…เกวตั้งใจจะมาขออนุญาติท่านประธาน…ให้เกวออกไปจากตระกูลได้มั้ยคะ?’‘เฮ้อออ!! ฉันรับฟังเธอนะ แต่ตอนนี้…ฉันไม่มีสิทธิ์ในตัวเธอแล้ว ฉันยกเธอให้คิมหันต์ไปแล้ว เพราะฉะนั้น…คนที่เธอจะต้องไปขออนุญาติคือเจ้าคิมหันต์ ไม่ใช่ฉันอีกแล้ว’‘อ่าา เข้าใจแล้วค่ะ’เฮอะ! ฟังดูน่าขำชะมัดว่ามั้ย? สุดท้ายแล้ว…ความหวังที่จะเป็นอิสระของฉันมันก็เป็นเพียงแค่ความหวังลมๆแล้วๆที่ไม่มีทางเป็นไปได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ของเจ้านายกับลูกน้อง ผู้มีบุญคุณกับผู้ตอบแทนบุญคุณ มันตัดกันง่ายๆไม่ได้สินะ เฮ้อออ…คนเป็นเจ้านายคงจะทำอะไรกับลูกน้องอย่างฉันก็ได้สินะ จะรับมาเลี้ยงตอนไหนก็ได้ จะยกให้ใครง่ายๆเหมือนสิ่งของก็คงไม่ใช่เรื่องยากเลย แล้วยิ่งเจ้านายคนใหม่ขอ
ณ บ้านคิมหันต์ตอนนี้ฉันกำลังยืนอยูในบ้านของคุณคิมหันต์ บ้านเล็กที่ใหญ่โตโอ่อ่าไม่แพ้บ้านใหญ่ของท่านประธาน ในที่สุดฉันก็ถูกย้ายให้มาอยู่ที่นี่จนได้“คุณคิมไม่ได้บอกให้ป้าเตรียมห้องไว้ ยังไงคืนนี้หนูนอนในห้องนี้ไปก่อนล่ะกันนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ป้าทำความสะอาดห้องให้หนูเสร็จแล้ว ค่อยย้ายไปอีกห้อง” ป้ากานเป็นแม่บ้านที่บ้านของคุณคิมหันต์ ป้ากานเป็นคนที่คอยแนะนำฉันทันทีที่ฉันมาถึงที่นี่ และยังเป็นคนพาฉันมาที่ห้องพักอีกด้วย “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ห้องไหนหนูก็อยู่ได้ทั้งนั้นแหละ” “ถ้างั้น…เดี๋ยวเก็บของเสร็จแล้ว ก็อย่าลืมขึ้นไปหาคุณคิมที่ห้องด้วยนะ” “ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” สิ้นเสียงของฉันป้ากานก็หันหลังเดินออกไปจากห้องตุบ!! ทันทีที่ป้ากานเดินออกไปจากห้อง ฉันรีบเดินเข้ามาทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยหน่าย “เฮ้อออ! เหนื่อยชะมัด” ฉันเดินทางมาที่นี่พร้อมกับคุณคิมหันต์ แค่สองคน! ตลอดระยะเวลาเกือบสามชั่วโมงที่ฉันต้องนั่งรถมากับเขา รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก แค่เห็นหน้าเขา ไม่สิ! แค่ได้ยินชื่อเขาแค่นั้น มันก็ทำให้ฉันหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกทั้งโกรธ ทั้งเกลียด
ปริบๆ! ฉันกำลังนอนกระพริบตาไปสองสามทีมองไปยังเพดานห้องที่ไม่คุ้นเคย ความจริงก็ลืมตามาได้สักพักแล้วล่ะ แต่ตอนนี้กำลังงงๆอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง? แล้วตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน? “โอ้ย!!” ฉันพลิกตัวเพื่อจะลุกขึ้น แต่กลับต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทำไมมันปวดหลังอย่างงี้เนี่ย?!ฟุ่บ!! แม้จะปวดหลังแต่ก็พยายามพยุงตัวขึ้นมานั่งได้สำเร็จ แต่เมื่อก้มลงไปมองข้างล่าง ฉันถึงได้รู้ว่าทำไมฉันถึงได้ตื่นมาแล้วปวดหลังขนาดนี้ …พื้น! ใช่! ฉันนอนบนพื้น! ขวับ!! และพอเงยหน้าขึ้นไปสังเกตรอบๆห้องก็รู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ฉันมานอนอยู่ที่ไหน? นี่มันห้องของอีตานั่นนี่ ฉันกำลังนอนอยู่บนพื้นในห้องของอีตาคิมหันต์นั่น อ่อ! ฉันจำได้ล่ะ! ฉันจำได้ว่าตัวเองเกิดอาการหายใจไม่ออก(กลัวแหละ)แล้วก็สลบไปต่อหน้าอีตานั่น! ตรงนี้เลย! ตรงที่ฉันกำลังนั่งอยู่นี่เลย! เฮอะ! อย่าบอกนะว่าหลังจากฉันสลบไปอีตานั่นคงปล่อยให้ฉันนอนอยู่ที่เดิมอย่างนี้มาตลอดเลยเหรอ? แต่ก็อย่างที่รู้แหละนะ คนใจร้ายแบบเขาไม่มีทางสนใจคนที่นอนสลบจะเป็นจะตายอยู่ตรงหน้าหรอก ฉันรู้ดี! “ไอ้คนเฮงซวย!!” “ฟื้นแล้วเหรอ?”“เฮ้ย!!” เสียงที่ดังขึ้นมาทำฉันตกใจจนสะดุ้ง และเมื่
คิมหันต์ จุดเริ่มต้นของความเกลียดและความกลัวที่ฉันมีต่อผู้ชายคนนี้…มันเริ่มตั้งแต่ตอนไหนกันนะ? พอมาคิดๆดูแล้ว…มันเริ่มตั้งแต่แรกเลยนี่ ฉันเกลียดผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลอัศวนันทร์เลยด้วยซ้ำ “เกวลิน! ต่อไปนี้เธอมาอยู่ที่บ้านหลังนี้นะ ฉันจะส่งเสียเลี้ยงดูเธอเอง” นี่คือคำพูดของคุณกรณ์หรือท่านประธานที่พูดกับฉันไว้เมื่อเจ็ดปีก่อน เมื่อเจ็ดปีก่อนฉันสูญเสียพ่อไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ พ่อฉันถูกคนขับรถของตระกูลอัศวนันทร์ขับรถชนจนเสียชีวิต หลังจากงานศพพ่อหนึ่งอาทิตย์ ฉันกับแม่ก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และจากอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ฉัน…สูญเสียแม่ไปด้วยอีกคน ส่วนตัวฉัน…ฉันจำเหตุการณ์ตอนที่ตัวเองโดนรถชนไม่ได้เลย พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลแล้ว ภายในเวลาแค่เดือนเดียวฉันสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปทั้งคู่ เหตุการณ์นี้มันสร้างความเจ็บปวดให้ฉันที่อายุแค่สิบสามปีในตอนนั้นเป็นอย่างมาก เพราะชีวิตฉันนอกจากพ่อแม่แล้วฉันก็ไม่เหลือใครให้พึ่งพิงอีกเลย จนกระทั่ง…คุณกรณ์ คนที่เป็นเจ้านายของคนที่ขับรถชนพ่อฉันเข้ามาหา เขาบอกว่าเขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ลูกน้องเขาทำไป เลยต้องการจะร
ณ บ้านคิมหันต์ตอนนี้ฉันกำลังยืนอยูในบ้านของคุณคิมหันต์ บ้านเล็กที่ใหญ่โตโอ่อ่าไม่แพ้บ้านใหญ่ของท่านประธาน ในที่สุดฉันก็ถูกย้ายให้มาอยู่ที่นี่จนได้“คุณคิมไม่ได้บอกให้ป้าเตรียมห้องไว้ ยังไงคืนนี้หนูนอนในห้องนี้ไปก่อนล่ะกันนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ป้าทำความสะอาดห้องให้หนูเสร็จแล้ว ค่อยย้ายไปอีกห้อง” ป้ากานเป็นแม่บ้านที่บ้านของคุณคิมหันต์ ป้ากานเป็นคนที่คอยแนะนำฉันทันทีที่ฉันมาถึงที่นี่ และยังเป็นคนพาฉันมาที่ห้องพักอีกด้วย “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ห้องไหนหนูก็อยู่ได้ทั้งนั้นแหละ” “ถ้างั้น…เดี๋ยวเก็บของเสร็จแล้ว ก็อย่าลืมขึ้นไปหาคุณคิมที่ห้องด้วยนะ” “ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” สิ้นเสียงของฉันป้ากานก็หันหลังเดินออกไปจากห้องตุบ!! ทันทีที่ป้ากานเดินออกไปจากห้อง ฉันรีบเดินเข้ามาทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยหน่าย “เฮ้อออ! เหนื่อยชะมัด” ฉันเดินทางมาที่นี่พร้อมกับคุณคิมหันต์ แค่สองคน! ตลอดระยะเวลาเกือบสามชั่วโมงที่ฉันต้องนั่งรถมากับเขา รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก แค่เห็นหน้าเขา ไม่สิ! แค่ได้ยินชื่อเขาแค่นั้น มันก็ทำให้ฉันหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกทั้งโกรธ ทั้งเกลียด
ซ่าาา!! ฉันปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวไหลรดผ่านใบหน้าและลำตัวไปอย่างช้าๆ พลางใช้เวลาระหว่างนี้นึกถึงคำพูดของท่านประธานที่พูดกับฉันก่อนหน้านี้‘พรุ่งนี้เธอเตรียมตัวย้ายออกจากบ้านใหญ่ไปบ้านเจ้าคิมหันต์มันซะนะ เกวลิน’‘หมายความว่ายังไงคะ?’‘ฉันตกลงกับเจ้าคิมหันต์มันแล้ว ว่าจะยกเธอให้มัน’‘ท่านประธานช่วยฟังเรื่องที่เกวจะขอก่อนได้มั้ยคะ?’‘เฮ้อ…เธอว่ามาสิ’‘ความจริงวันนี้…เกวตั้งใจจะมาขออนุญาติท่านประธาน…ให้เกวออกไปจากตระกูลได้มั้ยคะ?’‘เฮ้อออ!! ฉันรับฟังเธอนะ แต่ตอนนี้…ฉันไม่มีสิทธิ์ในตัวเธอแล้ว ฉันยกเธอให้คิมหันต์ไปแล้ว เพราะฉะนั้น…คนที่เธอจะต้องไปขออนุญาติคือเจ้าคิมหันต์ ไม่ใช่ฉันอีกแล้ว’‘อ่าา เข้าใจแล้วค่ะ’เฮอะ! ฟังดูน่าขำชะมัดว่ามั้ย? สุดท้ายแล้ว…ความหวังที่จะเป็นอิสระของฉันมันก็เป็นเพียงแค่ความหวังลมๆแล้วๆที่ไม่มีทางเป็นไปได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ของเจ้านายกับลูกน้อง ผู้มีบุญคุณกับผู้ตอบแทนบุญคุณ มันตัดกันง่ายๆไม่ได้สินะ เฮ้อออ…คนเป็นเจ้านายคงจะทำอะไรกับลูกน้องอย่างฉันก็ได้สินะ จะรับมาเลี้ยงตอนไหนก็ได้ จะยกให้ใครง่ายๆเหมือนสิ่งของก็คงไม่ใช่เรื่องยากเลย แล้วยิ่งเจ้านายคนใหม่ขอ
ชีวิตของคนปกติทั่วไปอาจจะถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยยังชีพที่แตกต่างกันไป บางคนอาจจะมีชีวิตอยู่เพื่อการทำงาน บางคนอาจจะเป็นเพราะความรัก แต่สำหรับชีวิตของฉัน…มันถูกขับเคลื่อนด้วยคำว่าหนี้บุญคุณแค่นั้น ฉันมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้เพราะหนี้บุญคุณ และไอ้คำว่าหนี้บุญคุณเนี่ยแหละ ที่พรากหลายสิ่งหลายอย่างไปจากฉัน ทั้งความรัก ทั้งเพื่อน ทั้งเงิน โดยเฉพาะ…อิสระ ตลอดเวลาที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ในตระกูลยิ่งใหญ่ที่อันตรายแบบนี้ สิ่งเดียวฉันเฝ้าคอยมาตลอดก็คือ…อิสระ แม้ท่านประธานจะเป็นคนที่มีบุญคุณกับฉันมากๆ แต่ตลอดระยะเวลากว่าเจ็ดปีที่ฉันอยู่ที่นี่ ฉันจงรักษ์ภักดีต่อท่านประธาน และตระกูลมาเสมอ จนเมื่อถึงตอนนี้…ตอนที่ฉันบรรลุนิติภาวะแล้ว ฉันอยากจะออกไปใช้ชีวิตที่อิสระของตัวเองสักที ฉันอยากจะออกไปใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วๆไปบ้าง“ฮู่ววว!!” ฉันถอนหายใจออกมาเพื่อเตรียมความพร้อม พลางกระชับแก้วน้ำชาที่อยู่ในมือให้แน่นไม่ให้มันสั่นไหว เพราะตอนนี้ฉันกำลังจะไปทำสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตของฉันที่สุด นั่นก็คือ…การร้องขออิสระจากผู้มีพระคุณของฉันนั่นเอง ก๊อกๆๆ! ฉันค่อยๆยกมือขึ้นไปเคาะประตูห้องท่านประธานสามครั้งตามปกติ
ความมืดมิดในยามค่ำคืน ความเงียบสงัดกำลังกัดกินบรรยากาศให้น่าขนลุกยิ่งขึ้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด…สิ่งที่น่ากลัวที่สุดตอนนี้ คงหนีไม่พ้นสายตาคู่นั้นของคนตัวสูง ที่กำลังจ้องมองมาที่ฉันอย่างไม่วางตาตึก!ตึก!ตึก! เสียงฝีเท้าของเขาที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ฉันตัวแข็งทื่อจนขยับไปไหนไม่ได้“เธอเกลียดฉันมากเลยเหรอ? เกวลิน” ระยะห่างของเราสองคนที่ห่างกันเพียงไม่ถึงคืบ เสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาเรียบนิ่ง โดยเฉพาะแววตาเหยียดหยามที่จ้องมองที่ฉันราวฉันเป็นเพียงแค่สัตว์ตัวเล็กคู่นั้นของเขา ทำฉันรู้สึกเกลียดที่สุด! เกลียดจนแทบจะไม่อยากมองหน้าด้วยซ้ำไป“ใช่ค่ะ! เกลียด ฉันเกลียดคุณที่สุด”“หึ! แต่ฉันชอบนะ ชอบ…เวลาที่เธอทำท่าทีเกลียดฉันจนจะตาย” นิสัยน่ารังเกียจตอนนี้ของเขาก็เหมือนกัน มันทำฉันเกลียดจนขยาดจะแย่“ทำไมคะ? ทำไมคุณต้องคอยหาเรื่องฉันอยู่เรื่อยด้วย ทำไมต้องมาคอยแกล้งฉันตลอดเวลาด้วย!!” ตั้งแต่ฉันเข้ามาในบ้านหลังนี้ ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันจะอยู่อย่างสงบสุข โดยที่ไม่โดนคนๆนี้เข้ามาคุกคาม“เพราะสนุกไง!” คำพูดของเขาทำฉันกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ “ถ้าฉันออกไปจากบ้านหลังนี้ได้ ฉันจะไม่มีวันกลับมาเ