พ่อนะพ่อ เห็นคนอื่นดีกว่าลูกสาวตัวเอง จากนี้ไปชีวิตของเธอในบ้านหลังนี้คงหาความสงบสุขไม่ได้อีกต่อไป...
เย็นวันนั้นวิศราประท้วงการกระทำของบิดาด้วยการไม่ยอมลงมาร่วมรับประทานอาหารเย็นที่โต๊ะอาหาร แต่กลับสั่งคนให้ยกสำรับขึ้นมาให้บนห้องนอนแทน
“คุณหนูคะ อาหารมาแล้วค่ะ” หญิงสาวขยับตัวเมื่อเห็นแม่บ้านกึ่งพี่เลี้ยงคนสนิทยกถาดอาหารมาให้ อาหารหน้าตาน่ารับประทานชวนให้ท้องร้อง ไอ้หิวน่ะก็หิวอยู่ แต่ไม่อยากไปร่วมโต๊ะกับฆาตกรโหดที่ฆ่าเจ้าถุงแป้ง และผู้หญิงที่มาแย่งพ่อของเธอไปต่างหาก
“โอย...หิวจัง” มือขาวๆ คว้ากุ้งชุบแป้งทอดในจานใส่ปาก
“ก็แล้วทำไมไม่ลงไปทานข้างล่างล่ะคะคุณหนู มาหมกตัวอยู่ในห้องทำไม” นางรื่นรมย์ยิ้มอย่างเอ็นดู
“เรื่องอะไรล่ะคะป้า ก็ส้มไม่อยากร่วมโต๊ะกับคนแปลกหน้าพวกนั้นนี่คะ พวกปลิงทั้งนั้น เชอะ หวังจะมาสูบเลือดสูบเนื้อคุณพ่อน่ะสิไม่ว่า”
“ตายแล้วคุณหนู! พูดอะไรอย่างนั้นคะ ไม่เห็นน่ารักเลย ถ้าคุณพ่อได้ยินคงเสียใจแย่”
“แล้วทำไมคุณพ่อไม่เห็นกลัวว่าส้มจะเสียใจบ้างล่ะคะ” เสียงหวานใสกระเง้ากระงอดงอนๆ
“ไม่เอาค่ะ โตเป็นสาวแล้วนะคะ ทำอะไรต้องรู้จักคิดก่อนทำ คิดก่อนพูดสิคะ” คนมากวัยกว่าตักเตือนด้วยความปรารถนาดี
“นี่ไงคะ ส้มคิดแล้วถึงพูด คิดว่าคนพวกนั้นนิสัยไม่ดีไม่น่าคบหา ก็เลยพูดออกมานี่ไง คิดดูสิคะ เจ้าถุงแป้งอยู่ของมันดีๆ ก็ถูกอีตาคนสารเลวนั่นขับรถชนตายคาที่ แถมชนแล้วยังไม่คิดจะลงมาดูดำดูดีมันด้วย เลือดเย็นที่สุดเลย ขนาดนี้แล้วจะให้ส้มทำใจยอมรับพี่สาวของคนเลวๆ แบบนั้นมาแทนที่คุณแม่อีก คุณพ่อคิดอะไรอยู่กันแน่ ถ้าคนพวกนั้นเกิดโมโหหน้ามืดขึ้นมาไม่จับส้มเชือดคอหมกป่าเลยหรือไง ไม่รู้ละ ส้มไม่มีวันญาติดีกับคนพวกนั้นแน่”
“โถ...คุณหนูคิดอะไรแบบนั้นคะ” แม่บ้านวัยกลางคนถึงกับส่ายหน้าให้แก่ความหัวรั้นของนายสาวที่ตนเลี้ยงดูมาแต่เล็กแต่น้อย
“พอเถอะค่ะ ส้มไม่อยากพูดถึงคนพวกนั้นให้เสียอารมณ์แล้ว กินข้าวดีกว่า เอ๊ะ! วันนี้ข้าวผัดนี่น่าอร่อยจัง ได้สูตรมาใหม่เหรอคะ” หญิงสาวตักข้าวเข้าปากกินอย่างเอร็ดอร่อย ทำให้คนมองอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้
“อ๋อ นั่นฝีมือคุณปูค่ะ เธออุตส่าห์ลงมือเองเลยนะคะ”
“แค่กๆ” คำนั้นทำเอาคนฟังสำลักพรวด ใบหน้าสวยเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นด้วยแรงโทสะที่พุ่งปรี๊ด...
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!
ทันใดนั้นเอง อาหารทั้งถาดถูกปัดตกแตกกระจายเกลื่อนพื้น แถมเจ้าตัวยังทำท่าจะล้วงคอเอาข้าวผัดแสนอร่อยที่เพิ่งกลืนเข้าไปออกมาอย่างรังเกียจอีกด้วย นางรื่นรมย์ยกมือทาบอกด้วยความตกใจ มองภาพตรงหน้าตาค้าง
“แหวะ...เอาออกไปทิ้งให้หมดเดี๋ยวนี้!” ตวาดเสียงเขียวลั่นพร้อมกับถ่มข้าวผัดในปากออกมาราวกับเป็นของน่าขยะแขยง ใบหน้าสวยน่ารักบึ้งตึง
“อะไรกันคะคุณหนู” แม่บ้านตกใจจนหน้าถอดสี หันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก
“ป้ารื่นจำไว้นะคะ ต่อไปนี้ไม่ต้องเอาอะไรที่ผู้หญิงคนนั้นทำมาให้ส้มกินอีก ถ้าเอามาจะอาละวาดให้บ้านแตกเลย คอยดูสิ” เสียงตวาดดังลั่นทำให้คนที่เดินมาหยุดกึก
“ยายส้ม อะไรกันลูก เสียงดังไปถึงข้างล่าง” วิศรุตก้าวพรวดเข้ามาในห้อง ด้านหลังมีสมาชิกใหม่ของบ้านอีกสองคนตามมา แต่ไม่ได้เข้ามาในห้องด้วย “นี่มันเรื่องอะไรกันลูก ทำไมห้องเละเทะแบบนี้”
“ป้าคะ ส้มบอกให้เอาขยะพวกนี้ออกไปทิ้งให้สิ้นซากไง ส้มไม่อยากกิน ไม่อยากเห็น บอกตามตรงขยะแขยง รังเกียจคนทำ!”
“ข้าวผัดนี่ใครทำ...” ประมุขของบ้านหันไปถามแม่บ้านที่ยืนทำหน้าเจื่อนๆ อึกอัก
“ปูทำเองค่ะ” ปุริมาตอบเสียงอ่อยๆ เสียใจที่ความปรารถนาดีของตนถูกปฏิเสธอย่างไร้ไมตรี
ปราบดาโอบไหล่ปลอบพี่สาว พลางมองเด็กดื้อวายร้ายที่เชิดหน้าไร้ความสำนึกแล้วก็รู้สึกขุ่นเคืองใจ มันน่าผสมยาเบื่อหนูให้กินจริงๆ เด็กอะไรหน้าตาก็สวยดีแต่มารยาททรามอย่างร้ายกาจที่สุด
“คือ...ปูไม่ทราบว่าหนูส้มไม่ชอบข้าวผัด ขอโทษด้วยนะคะ”
วิศรุตถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใครว่าลูกสาวเขาไม่ชอบข้าวผัดเล่า ของโปรดเลยต่างหาก แต่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าแม่ตัวแสบน่ะทำไปเพื่ออะไร แต่ในฐานะคนกลางวิศรุตจึงจำต้องให้ความยุติธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย หากเขายังขืนตามใจลูกสาวต่อไป วิศราคงได้ใจก่อเรื่องร้ายแรงหนักข้อขึ้นจนทำให้บ้านไม่สงบ
“ไม่ใช่ความผิดคุณหรอก ผมเองที่ผิดที่ตามใจจนยายหนูเสียคนแบบนี้ วิศรา...”
เจ้าของชื่อกอดอกเชิดหน้าหนีอย่างเอาแต่ใจ เพราะคิดว่าถึงอย่างไรบิดาก็ต้องเข้าข้างเธอเหมือนเช่นทุกคราวที่ผ่านมา ทว่า...
“มากราบขอโทษน้าปูเดี๋ยวนี้!”
หญิงสาวหันขวับมองผู้เป็นพ่อตาค้าง ภาพนั้นทำให้ปราบดาแอบรู้สึกสะใจเบาๆ เด็กดื้อสมควรถูกทำโทษ
“ไม่ค่ะ ส้มไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“วิศรา!” คนเป็นพ่อเอ็ด สายตาที่มองมาแต้มความผิดหวัง “พ่อไม่เคยสอนให้ลูกก้าวร้าวผู้ใหญ่แบบนี้”
“ไม่ทันไรคุณพ่อก็เข้าข้างคนอื่นแล้ว คุณพ่อเห็นพวกกาฝากนี่ดีกว่าลูกสาวตัวเองเหรอคะ หนูเกลียดพวกมันจะตาย เกลียดๆ...”
เพียะ!
สถานที่จัดงานแต่งงานของคู่รักดีไซเนอร์คือสวนดอกไม้ที่ถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่ายตามเจตนารมย์ของเจ้าสาวที่ไม่ต้องการงานเอิกเกริกแต่กระนั้นก็แอบมีกิมมิคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคู่รักดีไซเนอร์คนดังโดยเวทีถูกออกแบบให้เป็นรันเวย์สำหรับบ่าวสาวเดินไปทำพิธีอย่างมีสไตล์ แขกที่มาร่วมงานนอกจากครอบครัวแล้วก็มีแค่เพื่อนสนิทของสองฝ่ายเท่านั้น และทันทีที่เจ้าสาวปรากฏตัวขึ้น แขกทุกคนก็พร้อมใจยืนขึ้นต้อนรับด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นวิศรุตในชุดสูทลุกขึ้นช้าๆ โดยมีภรรยาสาวช่วยประคองและส่งไม้เท้าให้สามีทำหน้าที่ส่งตัวเจ้าสาว เขายื่นมือไปรับมือลูกรักด้วยใบหน้าที่เป็นปลื้มจนน้ำตาคลอ“คุณพ่อ” เจ้าสาวสวมกอดบิดาสุดที่รักอย่างตื้นตัน ไม่คิดเลยว่าเธอจะได้มีวันนี้“ไปเถอะลูก”วิศรุตจับมือเจ้าสาวคนสวยพาเดินตรงไปยังแท่นทำพิธี โดยด้านหน้ามีเด็กหญิงตัวน้อยนำขบวนสองคนคือเด็กหญิงลูกปลาที่ทำหน้าที่คอยโปรยดอกไม้ให้ และอีกคนคืออลิศลูกสาวของเธอที่ทำหน้าที่ถือแหวน วันนี้หนูน้อยอลิศสวมชุดสีชมพูฟูฟ่องน่ารัก ที่ลำคอของเด็กน้อยสวมสร้อยแปลกตาที่มีแหวนวงหนึ่งห้อยเป็นจี้ แหวนเพชรสีชมพูสวยทอประกายสวยสดใส เป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูสำหรับทุกคนวิ
‘และเธอเพิ่งตอบตกลงยอมแต่งงานกับผมเมื่อไม่นานมานี้’แวบหนึ่งเหมือนชายหนุ่มหันมองตรงมาด้วยแววตาอ่อนหวานทำให้วิศราหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นโครมคราม นี่เขากำลังประกาศแต่งงานออกสื่อ อลัน เลวิธ หนุ่มโสดเนื้อหอมคนนั้นเนี่ยนะ‘โอ...พระเจ้า’ พิธีกรสาวรุ่นเดอะยกมือทาบอก ทำตาโตเท่าไข่ห่าน เชื่อว่าหากเทปนี้ออกอากาศไป จะต้องเรียกเรตติงได้ถล่มทลายเลยทีเดียว ‘คุณพอจะบอกได้ไหมคะอลันว่าใครคือผู้หญิงที่โชคดีคนนั้น’คำถามนั้นทำให้ใบหน้าคนถูกถามแต้มสีแดง นัยน์ตาสีเทาทอประกายพราวระยับ‘เธอเป็นดีไซเนอร์สาวชาวไทยครับ และเธอเป็นรักแรกพบของผม’วิศราแว่วได้ยินเสียงหวีดผ่านฝ่ามือที่ปิดปากของยุทธนา คำว่ารักแรกพบของเขาทำให้เพื่อนของเธอถึงกับเสียอาการไปไม่น้อยเลยทีเดียว“รักแรกพบ...”วิศราพึมพำเบาๆ สมองนึกย้อนไปถึงตอนที่เธอและเขาได้พบกันครั้งแรก จำได้ว่าเป็นตอนที่เธอใจลอยเดินตัดหน้ารถเขาเพราะกำลังช็อกที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ นี่เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่ตอนนั้นเนี่ยนะมันใช่เหรอ‘ว้าววว ฟังดูโรแมนติกจัง คุณพอจะเล่าเหตุการณ์นั้นให้พวกเราฟังได้ไหมคะ’‘อืม...ตอนนั้นเธอยังเป็นนักศึกษาทุนที่วิทยาลัยแฟชั่น และผมได้ร
“ว้าววว...สวยที่สุดเลย สวยอย่างกับเจ้าหญิงแน่ะค่ะ ลองส่องกระจกดูสิคะ”ประโยคนั้นของช่างแต่งหน้าทำให้หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างระหงในชุดเจ้าสาวที่ออกแบบและตัดเย็บจากผ้าไหมและผ้าลูกไม้ที่สั่งทอมาเป็นพิเศษเพื่อเธอโดยเฉพาะและเป็นชุดเดียวในโลกจากการออกแบบของดีไซเนอร์หนุ่มชื่อดังของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Lewis โดยใช้โทนสีครีมอ่อนปนด้วยสีชมพูพาสเทลหวานละมุนไปทั้งตัวขับให้ผิวเนียนละเอียดของเธอเปล่งปลั่งงดงามเฉิดฉายราวกับเป็นเจ้าหญิงที่หลุดออกมาจากเทพนิยายก็ไม่ปานวิศรามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกตื้นตันในหัวใจปนประหม่า เธอเป็นคนขอร้องให้เขาเลือกสีอื่นที่ไม่ใช่สีขาว เพราะเธอไม่ใช่เจ้าสาวที่แสนบริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วเขาก็เลือกสีนี้มาให้ด้วยเหตุผลว่าเขาอยากเห็นเจ้าสาวของตัวเองสวยหวานที่สุดในวันที่แสนพิเศษของเราคนเป็นเจ้าสาวยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงตอนที่เขาอาสาออกแบบตัดเย็บชุดนี้ให้เธอด้วยมือตัวเอง ทุกขั้นตอนทุกรายละเอียดที่เขาใส่ลงไปล้วนมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ และมันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นเด็กน้อยช่างฝันตามประสาเด็กผู้หญิงทั่วๆ ไป เธอเคยจินตนาการถึงง
จริงอย่างที่อลันว่า พอได้ล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำเย็นๆ หญิงสาวก็รู้สึกสดชื่นขึ้นทันตา แต่ตอนที่กำลังจะลงไปด้านล่างเพื่อช่วยคนอื่นๆ ตามหาลูกสาว จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องแหวนที่วางอยู่บนหัวเตียง แหวนที่ได้จากปุริมาวันนั้นแหวนของนายปราบดา!อะไรบางอย่างทำให้ร่างระหงเดินย้อนกลับไปหยิบแหวนนั้นขึ้นมาเปิดดู ประกายจากเพชรสีชมพูสะท้อนวูบเข้านัยน์ตาจนแสบพร่า“นายยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า...” วิศรามองแหวนวงงามราวกับมันมีชีวิต “ถ้ายังอยู่แถวนี้ ช่วยให้ฉันตามหาลูกของเราให้พบด้วยนะคะ ขออย่าให้ลูกต้องเป็นอะไร อย่าให้อลิศเป็นอะไร ช่วยฉันด้วยนะคะ”ทันใดนั้น ลมเย็นวูบหนึ่งก็พัดผ่านร่างเธอไปทั้งๆ ที่หน้าต่างไม่ได้เปิด ราวกับใครบางคนได้ตอบรับคำขอนั้น หญิงสาวยิ้มกับตัวเองเศร้าๆ หากปราบดายังอยู่ตรงหน้า เธอคงไม่กล้าเอ่ยปากขอร้องเขาเช่นนี้ คงชวนทะเลาะมากกว่า แต่เพื่อลูกสุดที่รัก สิ่งไหนที่พอจะยึดเหนี่ยวหรือช่วยทำให้สบายใจได้บ้าง เธอก็ยอมทำทั้งนั้นวิศราปิดกล่องแหวนนั้นแล้ววางมันไว้ที่เดิม ทว่าตอนที่เธอกำลังจะก้าวเท้าออกจากห้องนั้นเอง จู่ๆ หูก็พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแว่วมา“ฮือๆ...” วิศราหันขวับอย่างตกใจ ก
งานแต่งงานของวิศราและอลันถูกตระเตรียมขึ้นท่ามกลางความดีใจของทุกคน แม้เจ้าสาวจะบอกว่าไม่ต้องการให้จัดงานใหญ่โตเอิกเกริก และอยากให้เป็นงานเล็กๆ ที่อบอุ่นมากกว่า ถึงกระนั้นทุกคนในบ้านอาภาพิพัฒน์ที่เพิ่งผ่านความเศร้าจากการสูญเสียไปเมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มยิ้มออกและกระตือรือร้นกับงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยเฉพาะนายผู้หญิงของบ้านอย่างปุริมาและนางรื่นรมย์ซึ่งถือเป็นพี่เลี้ยงคนสนิทของว่าที่เจ้าสาวกลายเป็นหัวเรือใหญ่ที่คอยเป็นธุระช่วยเหลือในการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเต็มใจท่ามกลางความดีใจเหล่านั้น ทุกคนกลับไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนมองภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เด็กหญิงอลิศทำหน้าหม่นหมอง ในมือกอดตุ๊กตาหมีที่แม่ของเธอให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีก่อนแน่นราวกับมันกลายเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในโลกที่เหลืออยู่ ก่อนค่อยๆ เดินแยกห่างออกมาเงียบๆ หลังจากเห็นทุกคนกำลังวุ่นวายจนลืมไปว่าวันนี้ยังมีความสำคัญกับใครอีกคน ไม่ทันไรทุกคนก็ลืมวันเกิดของเธอไปเสียแล้ว“พี่หมีจ๋า ทุกคนลืมวันเกิดอลิศหมดเลย ไม่มีใครรักอลิศแล้ว ไม่มีเลย...” เด็กน้อยขมุบขมิบงึมงำด้วยความรู้สึกว้า
คิดเพลินๆ จู่ๆ ก็มีเสียงสัญญาณโทรศัพท์เรียกเข้ามา หญิงสาวยิ้มบางๆ เมื่อเห็นชื่อที่ขึ้นตรงหน้าจอ...อลัน เลวิธ!“คุณต้องเป็นญาติกับพ่อมดแน่ๆ” ปลายสายส่งเสียงหัวเราะกลับมา “รู้ได้ยังไงคะว่าคนแถวนี้กำลังคิดถึงคุณอยู่”“รู้ด้วยหัวใจไงครับ ใจของคนที่รักกันมักเชื่อมถึงกันเสมอ” เสียงทุ้มนุ่มหูตอบกลับมาอย่างอ่อนหวาน พาให้หัวใจคนฟังเต้นผิดจังหวะด้วยความเขิน“คุณทำอะไรอยู่คะ วันนี้งานยุ่งไหม”“ก็ยุ่งเหมือนทุกวัน แต่พอได้ยินเสียงคุณก็หายเหนื่อย”“ปากหวานจังนะคะบอส”“อย่างอื่นก็หวานนะ ถ้าคุณอยากชิมเมื่อไหร่ก็บอกได้เสมอ ถ้าเป็นคุณ ผมยินดีให้ชิมทั้งตัวทั้งใจเลย”วิศราหน้าแดงก่ำ ดีที่อีกฝ่ายอยู่ไกลถึงอีกซีกโลก หากเขายืนอยู่ตรงนี้ เธอคงไม่กล้าสู้หน้า ตั้งแต่ผ่านเรื่องเฉียดเป็นเฉียดตายมา ดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นคนที่กล้าพูดกล้าแสดงความรักออกมาอย่างเปิดเผยมากกว่าเดิม“ทำไมนิ่งไปครับ คิดอะไรอยู่”“ฉันคิดถึงคุณ ถ้าตอนนี้คุณอยู่ตรงนี้ด้วยกันก็คงดีสิคะ”“อย่ามาทำให้ผมเคลิ้มเชียวนะวีวี่ คุณยังไม่รู้สินะว่าตอนนี้ผมแทบจะกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสายการบินระหว่างประเทศอยู่แล้ว นี่เพื่อนสนิทผมมันก็ร่ำๆ อยู่