“เอ้า...ก็ตามใจ พี่ก็พี่ ไหว้ทักทายพี่เขาสิยายหนู” ผู้เป็นพ่อบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาที่มองบุตรีคนเดียวเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูอย่างเต็มเปี่ยม แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ทันเห็น เพราะถูกอคติมาบดบังดวงตาจนมืดมิด
วิศราเม้มปากแน่น ไม่ได้ยกมือไหว้ แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายมากวัยกว่า แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่ญาติข้างไหนนี่ ทำไมเธอต้องไหว้ให้เสียมือ ก็แค่พวกกาฝากที่มาอาศัยบ้านเธออยู่ก็เท่านั้น
“ตั้งแต่วันนี้ไปคุณปูกับพี่ปราบจะมาอยู่กับเราที่บ้าน”
ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะ หญิงสาวมองหน้าพ่ออย่างไม่พอใจ ดวงตากลมโตขุ่นปรายมองผู้มาใหม่ทั้งสองก่อนเชิดปลายคางน้อยๆ อย่างหยิ่งยโส เธอไม่ไหว้ซะอย่างใครจะทำไม คนพวกนี้ก็แค่ปลิงที่มาเกาะพ่อของเธอเท่านั้น
“ยายส้ม!” วิศรุตปรามเมื่อเห็นอาการคอแข็งของลูกสาวจอมดื้อ เพราะรู้ฤทธิ์ลูกสาวผู้เอาแต่ใจของตนดีกว่าใคร ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากพ่ออย่างเขาที่ทุ่มเทความรักมากมายให้ลูกสาวสุดที่รักไปเพื่อหวังทดแทนความรักจากมารดาที่สูญเสียไป อะไรที่เธอต้องการต่อให้ยากลำบากเขาก็จะหามาประเคนให้ลูกสาวให้ได้ แต่นั่นกลับทำให้วิศรากลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้ง คนเดียวที่เธอยอมลงให้ก็คือบิดา แต่ก็ใช่จะยอมเสมอไป บทจะดื้อลูกสาวของเขาก็ค้านหัวชนฝาไม่ยอมเช่นกัน เช่นคราวนี้
“อย่าเสียมารยาทกับผู้ใหญ่สิลูก”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณวิศ ยังใหม่อยู่ หนูส้มคงยังไม่ชิน อย่าไปว่าเธอเลยนะคะ” ปุริมายิ้มแย้มบอกอย่างอ่อนโยนไม่ถือสา
“ไม่ทันไรคุณก็เข้าข้างยายหนูของผมแล้วเหรอเนี่ย”
วิศรุตกระเซ้าหญิงสาวที่เอาชนะใจพ่อม่ายใจหินอย่างเขาด้วยความอ่อนโยนและใจเย็นซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้เขาเลือกเธอมาทำหน้าที่เลขาฯ ส่วนตัวมานานหลายปี จากความใกล้ชิดก็เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์มาเป็นความรัก จนกระทั่งเขาตัดสินใจเลือกให้เธอมาเป็นคู่ชีวิตในเวลาถัดมาอีกตำแหน่ง วิศรุตได้แต่แอบหวังว่าคุณสมบัติที่เคยชนะใจเขามาแล้วของผู้หญิงข้างกายจะชนะใจลูกสาวอันเป็นแก้วตาดวงใจของเขาได้อีกครั้ง โดยหารู้ไม่ว่าในสายตาของวิศรานั้นกลับเห็นต่างออกไป
“ฮึ...ดัดจริต!” เสียงที่เอ่ยแม้จะไม่ดังนักแต่มีผลทำให้คนที่เหลือชะงักกึก
ปุริมาหน้าเสีย ส่วนปราบดาหันขวับไปมอง สีหน้าไม่พอใจมาก
“ยายหนู!” วิศรุตมองลูกสาวคนสวยตาค้าง “พูดอะไรไม่น่ารักเลยนะลูก ขอโทษน้าปูเดี๋ยวนี้เลย”
“ขอโทษทำไมคะ ส้มไม่ได้เจาะจงว่าใคร แต่ถ้าใครเขาอยากรับก็ตามสบายสิคะ” คนพูดลอยหน้า ยักไหล่แบบไม่ยี่หระ “อ้อ เท่าที่จำได้ คุณแม่ไม่เคยมีน้องสาว ส้มเองก็ไม่เคยมีน้า และไม่เคยคิดจะนับญาติกับคนแปลกหน้าที่ไหนเป็นน้าด้วย!”
“วิศรา!” ความดื้อดึงเกินพิกัดของลูกรักทำให้คนเป็นพ่อต้องกำราบเสียงเข้ม “อย่าก้าวร้าวกับผู้ใหญ่ พ่อบอกให้ขอโทษคุณปู เดี๋ยวนี้!”
“ส้มไม่ได้ทำผิดนี่คะ ทำไมต้องขอโทษ” หญิงสาวสะบัดเสียงใส่บิดาชนิดที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต
“ยายส้ม!”
“ใจเย็นๆ ค่ะคุณวิศ อย่าไปถือสาลูกเลยนะคะ เธอยังเด็ก อีกอย่างเราก็เพิ่งจะรู้จักกัน ปูไม่อยากให้หมางใจกันตั้งแต่วันแรก” ปุริมาเอาน้ำเย็นเข้าลูบ พลางส่งยิ้มมาให้หญิงสาวผู้เป็นลูกเลี้ยง “เราค่อยเป็นค่อยไปดีกว่านะคะ”
วิศราเบะปากอย่างหมั่นไส้มาดนางเอกของแม่เลี้ยงคนใหม่ แต่เมื่อหันกลับมาก็เห็นแววตาของผู้อาศัยคนใหม่อีกคนเข้าเสียก่อน นายปราบดาผู้นั้นขมวดคิ้วน้อยๆ เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนสบตาเธอตอบอย่างตำหนิ แต่คนอย่างวิศราหรือจะกลัว หญิงสาวจ้องกลับไปด้วยดวงตาวาววับหยามหยันให้รู้กันไป
ตาต่อตาจ้องกันราวกับประกาศศึก นัยน์ตาคมจัดปนแข็งกร้าวคู่นั้นวาวโรจน์ฉายความไม่พอใจชัด ในเมื่อหญิงสาวตรงหน้าไม่เกรงใจพี่สาวของเขา แล้วไยเขาต้องเกรงใจเธอเล่า ปราบดาจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่หัวจดเท้าก่อนหยุดกึกที่หน้าอกอวบอิ่มเกินวัยคู่งามของเธอก่อนกระตุกยิ้มมุมปากบางๆ อาการนั้นทำให้วิศรารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ราวกับกำลังถูกจับเปลื้องผ้าทีละชิ้นๆ ดวงตาจาบจ้วงคู่นั้นช่างหยาบคายโอหังนัก เธอไม่ชอบสายตาที่เขาใช้เลย จึงตั้งป้อมเป็นศัตรูกับคนตรงหน้าทันที และดูเหมือนอีกฝ่ายก็คงคิดไม่ต่างกัน
หลังพิธีแนะนำสมาชิกใหม่จบลงอย่างล้มเหลวไม่เป็นท่า วิศรุตก็ให้คนรับใช้ยกกระเป๋าของทั้งสองไปเก็บ โดยปุริมานั้นให้พักที่ห้องเดียวกับเขา เมื่อแรกที่ได้ยินวิศราก็รู้สึกขุ่นเคืองพ่อของเธอจนควันออกหู และยิ่งรู้ว่าพ่อยกห้องพักแขกใกล้กับห้องเธอให้แก่ปราบดาด้วยแล้ว หญิงสาวก็ยิ่งหัวเสียหนัก แต่กระนั้นเธอจะไปคัดค้านอะไรได้เล่า ในเมื่อเจ้าของบ้านอนุญาตเอง วิศราจึงทำได้แค่หนีเข้าห้องนอนของตนเป็นการประท้วงกลายๆ
สถานที่จัดงานแต่งงานของคู่รักดีไซเนอร์คือสวนดอกไม้ที่ถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่ายตามเจตนารมย์ของเจ้าสาวที่ไม่ต้องการงานเอิกเกริกแต่กระนั้นก็แอบมีกิมมิคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคู่รักดีไซเนอร์คนดังโดยเวทีถูกออกแบบให้เป็นรันเวย์สำหรับบ่าวสาวเดินไปทำพิธีอย่างมีสไตล์ แขกที่มาร่วมงานนอกจากครอบครัวแล้วก็มีแค่เพื่อนสนิทของสองฝ่ายเท่านั้น และทันทีที่เจ้าสาวปรากฏตัวขึ้น แขกทุกคนก็พร้อมใจยืนขึ้นต้อนรับด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นวิศรุตในชุดสูทลุกขึ้นช้าๆ โดยมีภรรยาสาวช่วยประคองและส่งไม้เท้าให้สามีทำหน้าที่ส่งตัวเจ้าสาว เขายื่นมือไปรับมือลูกรักด้วยใบหน้าที่เป็นปลื้มจนน้ำตาคลอ“คุณพ่อ” เจ้าสาวสวมกอดบิดาสุดที่รักอย่างตื้นตัน ไม่คิดเลยว่าเธอจะได้มีวันนี้“ไปเถอะลูก”วิศรุตจับมือเจ้าสาวคนสวยพาเดินตรงไปยังแท่นทำพิธี โดยด้านหน้ามีเด็กหญิงตัวน้อยนำขบวนสองคนคือเด็กหญิงลูกปลาที่ทำหน้าที่คอยโปรยดอกไม้ให้ และอีกคนคืออลิศลูกสาวของเธอที่ทำหน้าที่ถือแหวน วันนี้หนูน้อยอลิศสวมชุดสีชมพูฟูฟ่องน่ารัก ที่ลำคอของเด็กน้อยสวมสร้อยแปลกตาที่มีแหวนวงหนึ่งห้อยเป็นจี้ แหวนเพชรสีชมพูสวยทอประกายสวยสดใส เป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูสำหรับทุกคนวิ
‘และเธอเพิ่งตอบตกลงยอมแต่งงานกับผมเมื่อไม่นานมานี้’แวบหนึ่งเหมือนชายหนุ่มหันมองตรงมาด้วยแววตาอ่อนหวานทำให้วิศราหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นโครมคราม นี่เขากำลังประกาศแต่งงานออกสื่อ อลัน เลวิธ หนุ่มโสดเนื้อหอมคนนั้นเนี่ยนะ‘โอ...พระเจ้า’ พิธีกรสาวรุ่นเดอะยกมือทาบอก ทำตาโตเท่าไข่ห่าน เชื่อว่าหากเทปนี้ออกอากาศไป จะต้องเรียกเรตติงได้ถล่มทลายเลยทีเดียว ‘คุณพอจะบอกได้ไหมคะอลันว่าใครคือผู้หญิงที่โชคดีคนนั้น’คำถามนั้นทำให้ใบหน้าคนถูกถามแต้มสีแดง นัยน์ตาสีเทาทอประกายพราวระยับ‘เธอเป็นดีไซเนอร์สาวชาวไทยครับ และเธอเป็นรักแรกพบของผม’วิศราแว่วได้ยินเสียงหวีดผ่านฝ่ามือที่ปิดปากของยุทธนา คำว่ารักแรกพบของเขาทำให้เพื่อนของเธอถึงกับเสียอาการไปไม่น้อยเลยทีเดียว“รักแรกพบ...”วิศราพึมพำเบาๆ สมองนึกย้อนไปถึงตอนที่เธอและเขาได้พบกันครั้งแรก จำได้ว่าเป็นตอนที่เธอใจลอยเดินตัดหน้ารถเขาเพราะกำลังช็อกที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ นี่เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่ตอนนั้นเนี่ยนะมันใช่เหรอ‘ว้าววว ฟังดูโรแมนติกจัง คุณพอจะเล่าเหตุการณ์นั้นให้พวกเราฟังได้ไหมคะ’‘อืม...ตอนนั้นเธอยังเป็นนักศึกษาทุนที่วิทยาลัยแฟชั่น และผมได้ร
“ว้าววว...สวยที่สุดเลย สวยอย่างกับเจ้าหญิงแน่ะค่ะ ลองส่องกระจกดูสิคะ”ประโยคนั้นของช่างแต่งหน้าทำให้หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างระหงในชุดเจ้าสาวที่ออกแบบและตัดเย็บจากผ้าไหมและผ้าลูกไม้ที่สั่งทอมาเป็นพิเศษเพื่อเธอโดยเฉพาะและเป็นชุดเดียวในโลกจากการออกแบบของดีไซเนอร์หนุ่มชื่อดังของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Lewis โดยใช้โทนสีครีมอ่อนปนด้วยสีชมพูพาสเทลหวานละมุนไปทั้งตัวขับให้ผิวเนียนละเอียดของเธอเปล่งปลั่งงดงามเฉิดฉายราวกับเป็นเจ้าหญิงที่หลุดออกมาจากเทพนิยายก็ไม่ปานวิศรามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกตื้นตันในหัวใจปนประหม่า เธอเป็นคนขอร้องให้เขาเลือกสีอื่นที่ไม่ใช่สีขาว เพราะเธอไม่ใช่เจ้าสาวที่แสนบริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วเขาก็เลือกสีนี้มาให้ด้วยเหตุผลว่าเขาอยากเห็นเจ้าสาวของตัวเองสวยหวานที่สุดในวันที่แสนพิเศษของเราคนเป็นเจ้าสาวยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงตอนที่เขาอาสาออกแบบตัดเย็บชุดนี้ให้เธอด้วยมือตัวเอง ทุกขั้นตอนทุกรายละเอียดที่เขาใส่ลงไปล้วนมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ และมันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นเด็กน้อยช่างฝันตามประสาเด็กผู้หญิงทั่วๆ ไป เธอเคยจินตนาการถึงง
จริงอย่างที่อลันว่า พอได้ล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำเย็นๆ หญิงสาวก็รู้สึกสดชื่นขึ้นทันตา แต่ตอนที่กำลังจะลงไปด้านล่างเพื่อช่วยคนอื่นๆ ตามหาลูกสาว จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องแหวนที่วางอยู่บนหัวเตียง แหวนที่ได้จากปุริมาวันนั้นแหวนของนายปราบดา!อะไรบางอย่างทำให้ร่างระหงเดินย้อนกลับไปหยิบแหวนนั้นขึ้นมาเปิดดู ประกายจากเพชรสีชมพูสะท้อนวูบเข้านัยน์ตาจนแสบพร่า“นายยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า...” วิศรามองแหวนวงงามราวกับมันมีชีวิต “ถ้ายังอยู่แถวนี้ ช่วยให้ฉันตามหาลูกของเราให้พบด้วยนะคะ ขออย่าให้ลูกต้องเป็นอะไร อย่าให้อลิศเป็นอะไร ช่วยฉันด้วยนะคะ”ทันใดนั้น ลมเย็นวูบหนึ่งก็พัดผ่านร่างเธอไปทั้งๆ ที่หน้าต่างไม่ได้เปิด ราวกับใครบางคนได้ตอบรับคำขอนั้น หญิงสาวยิ้มกับตัวเองเศร้าๆ หากปราบดายังอยู่ตรงหน้า เธอคงไม่กล้าเอ่ยปากขอร้องเขาเช่นนี้ คงชวนทะเลาะมากกว่า แต่เพื่อลูกสุดที่รัก สิ่งไหนที่พอจะยึดเหนี่ยวหรือช่วยทำให้สบายใจได้บ้าง เธอก็ยอมทำทั้งนั้นวิศราปิดกล่องแหวนนั้นแล้ววางมันไว้ที่เดิม ทว่าตอนที่เธอกำลังจะก้าวเท้าออกจากห้องนั้นเอง จู่ๆ หูก็พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแว่วมา“ฮือๆ...” วิศราหันขวับอย่างตกใจ ก
งานแต่งงานของวิศราและอลันถูกตระเตรียมขึ้นท่ามกลางความดีใจของทุกคน แม้เจ้าสาวจะบอกว่าไม่ต้องการให้จัดงานใหญ่โตเอิกเกริก และอยากให้เป็นงานเล็กๆ ที่อบอุ่นมากกว่า ถึงกระนั้นทุกคนในบ้านอาภาพิพัฒน์ที่เพิ่งผ่านความเศร้าจากการสูญเสียไปเมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มยิ้มออกและกระตือรือร้นกับงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยเฉพาะนายผู้หญิงของบ้านอย่างปุริมาและนางรื่นรมย์ซึ่งถือเป็นพี่เลี้ยงคนสนิทของว่าที่เจ้าสาวกลายเป็นหัวเรือใหญ่ที่คอยเป็นธุระช่วยเหลือในการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเต็มใจท่ามกลางความดีใจเหล่านั้น ทุกคนกลับไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนมองภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เด็กหญิงอลิศทำหน้าหม่นหมอง ในมือกอดตุ๊กตาหมีที่แม่ของเธอให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีก่อนแน่นราวกับมันกลายเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในโลกที่เหลืออยู่ ก่อนค่อยๆ เดินแยกห่างออกมาเงียบๆ หลังจากเห็นทุกคนกำลังวุ่นวายจนลืมไปว่าวันนี้ยังมีความสำคัญกับใครอีกคน ไม่ทันไรทุกคนก็ลืมวันเกิดของเธอไปเสียแล้ว“พี่หมีจ๋า ทุกคนลืมวันเกิดอลิศหมดเลย ไม่มีใครรักอลิศแล้ว ไม่มีเลย...” เด็กน้อยขมุบขมิบงึมงำด้วยความรู้สึกว้า
คิดเพลินๆ จู่ๆ ก็มีเสียงสัญญาณโทรศัพท์เรียกเข้ามา หญิงสาวยิ้มบางๆ เมื่อเห็นชื่อที่ขึ้นตรงหน้าจอ...อลัน เลวิธ!“คุณต้องเป็นญาติกับพ่อมดแน่ๆ” ปลายสายส่งเสียงหัวเราะกลับมา “รู้ได้ยังไงคะว่าคนแถวนี้กำลังคิดถึงคุณอยู่”“รู้ด้วยหัวใจไงครับ ใจของคนที่รักกันมักเชื่อมถึงกันเสมอ” เสียงทุ้มนุ่มหูตอบกลับมาอย่างอ่อนหวาน พาให้หัวใจคนฟังเต้นผิดจังหวะด้วยความเขิน“คุณทำอะไรอยู่คะ วันนี้งานยุ่งไหม”“ก็ยุ่งเหมือนทุกวัน แต่พอได้ยินเสียงคุณก็หายเหนื่อย”“ปากหวานจังนะคะบอส”“อย่างอื่นก็หวานนะ ถ้าคุณอยากชิมเมื่อไหร่ก็บอกได้เสมอ ถ้าเป็นคุณ ผมยินดีให้ชิมทั้งตัวทั้งใจเลย”วิศราหน้าแดงก่ำ ดีที่อีกฝ่ายอยู่ไกลถึงอีกซีกโลก หากเขายืนอยู่ตรงนี้ เธอคงไม่กล้าสู้หน้า ตั้งแต่ผ่านเรื่องเฉียดเป็นเฉียดตายมา ดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นคนที่กล้าพูดกล้าแสดงความรักออกมาอย่างเปิดเผยมากกว่าเดิม“ทำไมนิ่งไปครับ คิดอะไรอยู่”“ฉันคิดถึงคุณ ถ้าตอนนี้คุณอยู่ตรงนี้ด้วยกันก็คงดีสิคะ”“อย่ามาทำให้ผมเคลิ้มเชียวนะวีวี่ คุณยังไม่รู้สินะว่าตอนนี้ผมแทบจะกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสายการบินระหว่างประเทศอยู่แล้ว นี่เพื่อนสนิทผมมันก็ร่ำๆ อยู่