“ปราบ พี่กำลังคิดว่าเรามาทำให้บ้านคุณวิศเดือดร้อนหรือเปล่า พี่น่าจะเชื่อปราบแต่แรก เราไม่ควรมาอยู่ที่นี่เลย” ปุริมาเอ่ยเสียงเครือ น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นไว้รินอาบแก้ม
คนเป็นน้องชายถอนหายใจอีกเฮือก ก่อนโอบร่างที่สั่นเทาด้วยแรงสะอื้นเข้ามากอดปลอบโยนอย่างเห็นใจ เขาเคยได้ยินแต่ว่าแม่เลี้ยงส่วนใหญ่จะร้ายกาจกับลูกเลี้ยง แต่เพิ่งเคยเจอนี่แหละที่แม่เลี้ยงใจดีกลับถูกลูกเลี้ยงจอมร้ายกาจรังแกเอาทุกครั้งที่มีโอกาส
“พี่ปูรักพี่วิศหรือเปล่าครับ” คนเป็นน้องเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าพี่สาวคลายสะอื้นลงแล้ว
“ทำไมถามพี่แบบนั้นล่ะจ๊ะ ถ้าไม่รักพี่จะมายอมทนแบบนี้ทำไม”
“นั่นสิครับ จะทนทำไม” ชายหนุ่มจ้องหน้าพี่สาวอย่างจริงจัง
ปุริมานิ่งอึ้งไป ที่ผ่านมาเธอพยายามจะอดทน เพราะเห็นแก่สามีที่มีน้ำใจและเอื้ออาทรกับเธอมาตลอด เธอรักเขามากจึงไม่อยากทำให้เขาต้องหนักใจ อะไรยอมได้ก็ยอมไป แต่นั่นกลับทำให้ลูกเลี้ยงสาวยิ่งเกเรหนักข้อขึ้นทุกวัน ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อใจ ทำอย่างไรนะเธอถึงจะเอาชนะใจวิศราได้ เธอไม่อยากเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายเลยจริงๆ
“พี่ควรทำยังไงดีปราบ พี่คิดอะไรไม่ออกแล้ว”
น้ำเสียงอ่อนล้าของพี่สาวทำให้คนเป็นน้องนึกโกรธตัวต้นเหตุขึ้นมาติดหมัด แต่เขาก็ทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก ตราบใดที่พี่เขยผู้เป็นเจ้าของบ้านยังอยู่บ้านแบบนี้ ถึงปราบดาจะเป็นน้องชายปุริมาแต่อย่างไรก็เป็นคนนอก เป็นผู้อาศัยที่ต้องเกรงใจเจ้าของบ้านอยู่ดี และดูเหมือนพี่เขยของเขาเองก็ไม่สามารถจัดการปราบลูกสาวสุดที่รักได้เด็ดขาด พี่สาวของเขาจึงต้องมารับเคราะห์เจ็บตัวช้ำใจรายวันแบบนี้
ไม่ได้การละ เขาคงต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแล้ว!
“ทำไมพี่ปูไม่ลองชวนพี่วิศไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ สักพักล่ะครับ ตั้งแต่แต่งงานกันมาพี่สองคนยังไม่ได้ฮันนีมูนกันเลย” ปราบดาเสนอทางออก
“แต่คุณวิศงานยุ่งนี่นา ไหนจะเรื่องหนูส้มอีก เฮ้อ...เขาคงไม่ยอมไปหรอก”
“ลองชวนดูก่อนสิครับ ไปพักผ่อนสมองไกลๆ จากความวุ่นวายเสียบ้าง พี่วิศทำงานหนักทุกวันน่าจะได้พักผ่อนบ้าง ส่วนทางนี้ไม่ต้องห่วงผมจะคอยดูแลให้เอง” หนักข้อนัก พ่อจะปราบพยศให้เข็ดจนจำไปตลอดชีวิตเลย
“ก็ได้จ้ะ งั้นพี่จะลองดู” ปุริมายิ้มอ่อน ส่วนคนเป็นน้องชายตาวาววาบแอบยิ้มมีเลศนัย
วิศรุตเงยหน้ามองเลขาฯ ที่ควบตำแหน่งภรรยาของเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน น้อยครั้งนักที่ปุริมาจะขอร้องอะไรเขาสักครั้ง และสิ่งที่เธอขอก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสเกินไป
“ผมเห็นด้วยกับปราบนะ ดีเหมือนกัน เราไม่ได้เที่ยวด้วยกันนานแล้ว ไปพักบ้างก็ดี ว่าแต่คุณอยากไปไหนล่ะครับ”
“ไปไหนก็ได้ค่ะ ปูตามใจคุณ”
“งั้นไปญี่ปุ่นดีไหม ใกล้ดี ช่วงนี้งานผมไม่ค่อยยุ่งแล้ว เดี๋ยวผมให้คนช่วยจองตั๋วกับที่พักให้ ไปกันศุกร์นี้เลย อยู่เที่ยวสักอาทิตย์สองอาทิตย์กำลังดี”
“แล้วหนูส้มล่ะคะ” ปุริมามีสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย “เราชวนเธอไปด้วยกันดีไหมคะ”
“อืม ก็ดีเหมือนกัน หลังๆ มานี่ผมไม่ค่อยได้เที่ยวกับลูกเลย เอาแต่ทำงาน เขาคงน้อยใจพ่ออยู่”
“แล้ว...ถ้าเธอไม่ยอมไปล่ะคะ”
“อืม...ก็เป็นไปได้เหมือนกัน ยังไงผมคงต้องลองชวนแกดูอีกที ได้ยินว่าช่วงนี้ลูกติดเรียนหนักแถมมีรับน้องด้วย ไม่รู้ว่าจะไปกับเราได้ไหม แต่ถ้าทริปนี้เขาไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนี่ เอาไว้ช่วงปิดเทอมเราค่อยพายายหนูไปอีกหนก็ได้ ถึงยังไงเขาก็เที่ยวญี่ปุ่นบ่อยจนเบื่อแล้ว หรือคุณว่ายังไง”
“ปูยังไงก็ได้ค่ะ ตามใจคุณเถอะ” หญิงสาวฝืนยิ้มอย่างเจียมตัว แม้แก้มข้างที่ถูกตบจะยังระบมแต่เธอก็ไม่ยอมบอกให้สามีทราบถึงวีรกรรมของลูกสาว ด้วยรู้ว่าสามีเป็นคนที่รักลูกมาก เธอจึงเกรงว่าหากเขารู้อาจจะไม่สบายใจ
แต่จนแล้วจนรอดวิศรุตก็ไม่มีโอกาสได้ชวนหรือบอกเรื่องไปเที่ยวกับลูกสาวอย่างที่ตั้งใจ เพราะวิศราตั้งใจหลบหน้าผู้เป็นพ่อ และไม่ยอมรับโทรศัพท์ด้วยยังโกรธไม่หายที่ถูกพ่อตบ ทำให้เธอเป็นคนสุดท้ายที่ได้รู้ข่าวในวันที่วิศรุตและปุริมาเดินทางไปญี่ปุ่นแล้ว
“ว่าไงนะ! คุณพ่อไปญี่ปุ่นกับผู้หญิงคนนั้นสองต่อสองเหรอคะ”
วิศราถึงกับยืนอึ้งหน้าถอดสีเมื่อทราบข่าวจากแม่บ้านคนสนิท ความเสียใจน้อยใจทวีคูณจากเดิมอีกเป็นร้อยเท่า นี่เธอกลายเป็นหมาหัวเน่าอย่างที่หมอนั่นตราหน้าไว้จริงๆ ใช่ไหม
“อะไรกันคะ ทำไมพ่อไม่เห็นบอกส้มเลยว่าจะไปญี่ปุ่นกับยาย...” หญิงสาวกำหมัดแน่นระงับอารมณ์ขุ่นมัว เธอไม่อยากเอ่ยชื่อผู้หญิงคนนั้นด้วยซ้ำ “พ่อคงไม่รักส้มแล้วจริงๆ สินะ ถึงปล่อยให้ส้มอยู่กับพวกเสือสิงห์กระทิงแรดอย่างนายปราบดานั่นตามลำพังแบบนี้”
วิศรายังไม่ลืมความเจ็บใจที่ถูกคนอาศัยฟาดก้นจนระบมไปหลายวัน
“โถ...คุณหนูขา ไม่เอาค่ะ พูดอะไรแบบนั้นไม่น่ารักเลย คุณหนูไม่ได้อยู่กับคุณปราบตามลำพังสักหน่อย ป้าก็อยู่นี่คะ คนในบ้านเราก็ออกเยอะแยะ เดี๋ยวไม่กี่วันคุณพ่อก็กลับนะคะทูนหัว” หญิงมากวัยกว่าจะเข้าไปกอดปลอบใจ แต่อีกฝ่ายขืนตัวไว้
“พ่อเจ...” ราวกับหัวใจที่แห้งแล้งได้น้ำชโลม เจษภัทรรู้สึกอุ่นวาบในอก หัวใจพองโต ก่อนอ้าแขนโอบร่างเล็กเข้ามากอดอย่างอ่อนโยน“ครับคนเก่ง พ่อเจพ่อของลูกชิ้น พ่อขอโทษนะที่ทำงานเสร็จช้า แต่ต่อไปนี้พ่อสัญญาว่าจะไม่ทิ้งลูกกับแม่แตมไปไหนอีกแล้ว พ่อรักลูกนะครับ”เตชิตามองภาพนั้นอย่างตื้นตันใจจนน้ำตาคลอเบ้า ในที่สุดลูกของเธอก็ได้มีพ่อกับเขาเสียที“จริงๆ นะครับ พ่อเจห้ามโกหกนะ”“ไม่โกหกครับ”“เย้! ลูกชิ้นมีพ่อแล้ว ลูกชิ้นรักพ่อเจที่สุดเลย”“เดี๋ยวนะ แล้วแม่ล่ะครับ” หญิงสาวแกล้งแหย่ลูกชายตัวแสบ“ลูกชิ้นรักทั้งพ่อเจ รักทั้งแม่แตม รักมากที่สุดในโลกเลยครับ” เด็กน้อยยิ้มแป้น พลางยื่นหน้าไปหอมแก้มพ่อและแม่อย่างมีความสุขสองปีต่อมา...ร้านก๋วยเตี๋ยวโกวีในวันหยุดมีลูกค้าคึกคักกว่าปกติ เจ้าของร้านแม้จะอายุเกือบหกสิบปีในอีกไม่กี่วัน แต่ดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง แต่ที่ทำให้ขายดีเป็นพิเศษนั้นอาจเป็นเพราะวันนี้มีเด็กเสิร์ฟกิตติมศักดิ์มาช่วยงานก็เป็นได้“หมี่เหลืองแห้งโต๊ะสี่ได้แล้ว” พอขาดคำ ร่างสูงใหญ่ของเด็กเสิร์ฟที่ว่าก็เข้ามารับชามก๋วยเตี๋ยวเพื่อไปเสิร์ฟให้ลูกค้าสาวใหญ่ที่นั่งส่งตาหวานให้วิ้งๆ“ดูสามีเธอสิยัย
“ตาภาส”ชื่อนั้นทำให้เจษภัทรหันไปมองตาม พลางคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อได้พบอดีตศัตรูหัวใจ“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ ผมมารับวินนี่ไปทานข้าวครับ” คนพูดหันไปสบตาแขกที่นั่งอยู่ พลางพยักหน้าให้นิดๆ “ไม่พบกันนานนะคุณเจ สบายดีเหรอ”“ครับ” เจษภัทรรับคำ น่าแปลกที่ครั้งนี้เขาไม่ได้รู้สึกอะไรที่เห็นอีกฝ่าย กลับรู้สึกเหมือนโล่งราวยกหินออกอก“ใครไปตามยัยวินนี่มาที บอกว่าพี่ภาสมารับแล้ว” คุณวิมาดากระวีกระวาดต้อนรับแขกผู้มาใหม่ราวกับต้องการให้เห็นว่าเธอไม่ได้แยแสอดีตคนรักของลูกสาวแม้แต่น้อยรอเพียงไม่นานวินรดาก็เดินลงมา หญิงสาวส่งยิ้มหวานให้ภาสกร แต่พอเห็นหันมาเห็นใครอีกคน ยิ้มหวานก็ลบเลือนหาย เหลือเพียงความเย็นชา“คุณมาที่นี่ทำไมอีก”“พี่มาขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ดูท่าคงไม่จำเป็นแล้ว” เจษภัทรยกยิ้ม น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรยามได้เห็นวินรดาเดินไปควงแขนชายหนุ่มอีกคนแสดงความสนิทสนมอย่างออกนอกหน้าผิดกับวินรดาที่หวังจะได้เห็นสีหน้าของผู้พ่ายแพ้เหมือนครั้งอดีตที่เธอเคยบอกเลิกกับเขาเพื่อคบกับภาสกร แต่ทว่าก็ต้องแอบผิดหวังและขัดใจนิดๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำหน้าผิดหวังเสียใจอย่างที่เธอต้องการเห็น ต
นายวีระหายใจฮึดฮัด ร่ำๆ อยากจะเอาเลือดหัวอีกฝ่ายออกให้สมอยาก ยิ่งเห็นลูกสาวสุดที่รักเข้าไปประคองและช่วยซับเลือดให้อีกฝ่าย ก็ยิ่งขัดตาขัดใจ“ยัยตาล พาน้องขึ้นห้องไปก่อน”“พ่อคะ...”เตชิตาร้องเรียกอย่างกลัวใจ ตาแลไปทางชายหนุ่มที่นั่งนิ่งยอมรับความผิด สภาพเขาตอนนี้อาจแค่ปากแตกสะบักสะบอม แต่หากเธอยอมขึ้นห้องไปตามที่พ่อสั่ง ไม่แน่ว่าตอนลงมาอาจพบเขานอนเป็นศพแล้วก็ได้“ถ้าพ่อจะลงโทษพี่เจ งั้นก็ลงโทษแตมด้วยอีกคนเถอะค่ะ หากเรื่องนี้จะมีใครผิด เราสองคนก็คงผิดเท่าๆ กัน หรือไม่แตมก็ผิดมากกว่า”เจษภัทรหันขวับไปมองหญิงสาวที่ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างกายเขาด้วยสายตาห่วงใย“แตม อย่าทำแบบนี้”“พี่เจไม่เคยรู้ว่าแตมท้อง ตอนเกิดเรื่องเขาเคยขอรับผิดชอบแล้ว แต่เป็นหนูที่ปฏิเสธเขา”“แล้วทำไมตอนนั้นลูกไม่บอกพ่อสักคำ”“แตม...” เจษภัทรกดสายตามองหญิงสาวพลางส่ายหน้า ก่อนที่เขาจะหันไปสบตาพ่อของเธอ“เพราะตอนนั้นผมเป็นคนโง่ที่ไม่รู้ใจตัวเองครับ”ทุกคนมองสองหนุ่มสาว พลางหายใจไม่ทั่วท้อง เกรงว่าระเบิดจะลง“คนโง่ที่ไม่รู้ใจตัวเองงั้นเหรอ” นายวีระทวนคำเสียงเยาะ “แล้วตอนนี้เกิดฉลาดขึ้นมาแล้วหรือไง”“เปล่าครับ แค่เพิ่งรู้ใจ
เวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง ในที่สุดประตูห้องไอซียูก็เปิดออก พร้อมกับคุณหมอที่ออกมาแจ้งผลด้วยสีหน้าอิดโรย“คุณหมอคะ ลูกชายฉันเป็นยังไงบ้างคะ” เตชิตาพุ่งไปเป็นคนแรก“เด็กปลอดภัยแล้วครับ โชคดีที่น้องได้เลือดจากคุณพ่อที่มีกรุ๊ปเดียวกัน ไม่งั้นคงแย่ เพราะเลือดกรุ๊ปนี้หายากเสียด้วย” ทุกคนพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก“แล้วตอนนี้พ่อของเด็กเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ”“กำลังนอนพักอยู่ในห้องบริจาคเลือดข้างๆ กันครับ เพราะให้เลือดไปเยอะ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ อีกเดี๋ยวก็คงฟื้น”“งั้นฉันขอเข้าไปดูได้ไหมคะ” คุณหมอพยักหน้าอนุญาต แต่ให้เข้าไปได้เพียงคนเดียวภาพคนตัวเล็กนอนเหยียดบนเตียงโดยมีสายน้ำเกลือและเครื่องช่วยชีวิตระโยงระยาง ทำให้คนเป็นแม่ใจแทบสลาย สีหน้าลูกแม้ซีดเผือด แต่เตชิตารู้ว่าลูกรักปลอดภัยแล้ว แม้จะมีบาดแผลตามร่างกายให้เห็น หญิงสาวปาดน้ำตาตัวเองเงียบๆในนาทีแห่งชีวิตที่เกิดขึ้นทำให้เธอรับรู้ว่าอะไรสำคัญที่สุด“แตม...ลูกเป็นยังไงบ้าง...”เสียงนั้นอ่อนระโหย แต่เต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจที่สุด เตชิตาหันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ในหัวใจมาตลอดนิ่งค้าง มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อถูกเขาดึงตัวเข้าไปกอดแนบอกเสียงห
คุณวิมาดาหันไปถามกับสามี แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าเพราะไม่รู้เช่นกัน“ว่าไงนะ ใครถูกรถชน เด็กที่ไหน...”เสียงซุบซิบเริ่มลามมาทางแถวหน้าอย่างรวดเร็ว และกระเด็นเข้าหูเจ้าภาพบนเวที พนักงานโรงแรมคนหนึ่งเดินแกมวิ่งไปที่ข้างเวทีด้านที่นายชิษณุนั่งพร้อมกระซิบบอก“มีลูกของแขกที่มางานถูกรถชนหน้าโรงแรมค่ะ”“ตายจริง ลูกของแขกคนไหนกัน” คุณวิมาดาที่ได้ยินพลอยตกใจ“เห็นว่าเป็นแขกของคุณชิษณุ เด็กคนนั้นชื่อลูกชิ้นค่ะ!”ชื่อนั้นทำให้เจษภัทรสะดุ้ง ใจหายวาบ“ว่าไงนะ เด็กชื่ออะไรนะ”“ชื่อน้องลูกชิ้นค่ะ”“ลูกชิ้น!”ร่างสูงใหญ่ผุดลุกพรวดพราดขึ้นทันทีจนหญิงสาวที่นั่งพับเพียบข้างๆ พลอยตกใจ หันมาขึงตาใส่“พี่เจจะทำอะไรคะ ใกล้ได้ฤกษ์แล้ว จะไปไหน” วินรดากัดฟันถาม ตามองแขกเหรื่อที่เริ่มมองมาทางเวทีเป็นตาเดียว“ตาเจ ลูกอยู่ทางนี้ก่อน เดี๋ยวพ่อไปดูให้เอง” นายชิษณุที่เห็นท่าไม่ดีรีบอาสา“ไม่ครับพ่อ ผมจะไปดูลูกเอง”“ลูก!” วินรดาเผลอตัวรีบคว้าแขนว่าที่คู่หมั้นหนุ่มไว้ “ลูกใครคะ”“ลูกชิ้น! ลูกชายของพี่!”วินรดาอ้าปากค้าง ส่วนคนบนเวทีพลอยตกอกตกใจกับประโยคนั้น คุณวิมาดาลมแทบใส่“ละ...ลูกชายพี่งั้นเหรอคะ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ทุกอย่างตอนนี้มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือคะ คุณกำลังจะได้สมหวังกับผู้หญิงที่คุณรักมาตลอด ส่วนฉันก็พอใจกับชีวิตตอนนี้แล้ว เราต่างก็มีทางเดินของตัวเอง งั้นอย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายอีกเลยนะคะ ดึกแล้วคุณควรกลับไปพักผ่อน ส่วนฉันก็ควรต้องกลับเหมือนกัน”“แล้วพรุ่งนี้เธอจะไปที่งานหรือเปล่า” อะไรบางอย่างทำให้เขาหลุดปากถามออกไป“ฉันรับปากพี่วินนี่ไว้แล้วว่าจะไปค่ะ คุณเองก็อย่ากลับดึกนะคะ เดี๋ยวว่าที่คู่หมั้นจะเป็นห่วง ลา...อุ๊บ!” คำสุดท้ายถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อถูกริมฝีปากอุ่นร้อนทาบทับลงมาเสียก่อนจูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายของเขาสะกดตรึงเธอไว้ ราวกับปลดชนวนระเบิดในหัวใจที่แสนอัดอั้น หากนี่คือจูบอำลา เธอก็ขอเห็นแก่ตัวทำตามที่หัวใจไม่รักดีต้องการเป็นครั้งสุดท้ายบ้างเจษภัทรเลิกคิ้ว เมื่อรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มละมุนที่ตอบกลับมา ความรู้สึกหวานที่คละเคล้าความเศร้าอวลในรสจูบนี้ จนนึกอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มตัดใจถอนริมฝีปากออกเมื่อรับรู้ถึงน้ำตาอุ่นๆ ที่รินอาบแก้มของอีกฝ่าย“แตม...พี่...”“ครั้งก่อนพี่ทิ้งกันไปโดยไม่ได้บอกลา งั้นครั้งนี้แตมขอเป็นฝ่ายบอกพี่เอง...ลาก่อนนะคะพี่เจ