คฤหาสน์เทียนเทพ
ในห้องโถงที่เงียบสงบ หากวันนี้กลับทำให้คนที่อยู่ประจำร้อนรนด้วยคำพูดปลายสายจากแดนไกล
“ธัญ... ทำอะไรก็นึกถึงผลที่ตามมาด้วยนะลูก...”
ประโยคพูดเตือนมาจากปลายสาย คนรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่ขมวดคิ้ว แล้วกลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“คุณแม่คะ... ประโยคเมื่อกี้หนูขอเปลี่ยนได้ไหมคะ หนูอยากได้คำพูดที่ฟังแล้วชื่นใจ แบบที่แม่เคยถามกับหนูทุกครั้ง”
“แล้วแกจะให้แม่พูดว่าไง... ลูกสบายดีไหม กินอะไรหรือยัง ทำงานอย่าหักโหมนะ แบบนี้แกไม่เบื่อหรือไง”
“ไม่เบื่อนะคะ... ก็นาน ๆ แม่จะโทร.มาสักครั้ง มันต้องประโยคพวกนี้ขึ้นก่อนไม่ใช่หรือคะ” คนรอความหวังยิ้มกริ่ม
จากนั้นเสียงถอนหายใจแรง ๆ ของผู้เป็นแม่ดังตามสาย พร้อมกับคำพูดยาวเหยียด
“ประโยคพวกนี้ แม่ต้องคิดก่อนว่าลูกของแม่อายุปูนไหน ไม่กินไม่สบายไม่ดูแลตัวเอง ก็ปล่อยให้นอนง่อยอยู่อย่างนั้นไป ไม่รักตัวเองแล้วใครจะรัก เหอะ บอกให้วางมือ แล้วมาช่วยงานที่ร้านก็ไม่ฟัง” น้ำเสียงกึ่งประชดน้อยใจในตัวลูกสาวมากกว่าดูแคลน
“โธ่แม่... หนูสำนึกทันไหมเนี่ย”
จากที่อยากให้ผู้เป็นแม่พูดเอาใจ ก็ได้คำแซะมาเป็นกระบุงแต่เธอรู้ดี ว่าคำพูดของแม่ทั้งหมด ก็เพราะอยากให้เธอดูแลตัวเองและอยากให้อยู่ด้วยกัน ซึ่งเธอทำตามคำขอของแม่และน้องสาวไม่ได้!
“เถอะเปลี่ยนจากสำนึก เป็นปรับทัศนคติเถอะ”
“ทัศนคติหนูดีจะตาย แม่ไม่เห็นหรือว่ามีหลายบริษัทอยากได้หนูไปเป็นหุ้นส่วนแค่ไหน”
นางยอมรับถึงข้อนี้ “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะยัยตัวดี”
“โธ่แม่...ลูกหมดกำลังใจแล้วเนี่ย”
“เถอะ!”
เสียงต้นสาย ทำเอาธัญกรใจแป้ว สงสัยงานนี้แม่เอาจริง...!
“ทำมาเป็นพูดดี... กลับเข้าเรื่องเลย แม่ไม่เห็นด้วยหรอกนะสิ่งที่ลูกกำลังทำอยู่”
“แม่ไปฟังอะไรที่ไหนมาคะ...” เธอยังย้อนไปด้วยอารมณ์ขัน
“นี่ แม่ซีเรียสนะ” เสียงนุ่มหากฟังดูจริงจังขึ้น
ธัญกรถอนหายใจจำนนต่อคำพูด
“ค่ะคุณแม่”
“ดี หัดยอมรับตรง ๆ ใช่ว่าแม่จะไม่ให้ลูกคบกับใคร หรือชอบแบบไหนแม่ไม่ห้าม เพราะโลกเปิดกว้าง อีกอย่างเขาก็ยอมรับกันทั่วโลก... แต่ก็อย่าให้มันโจ่งแจ้งนัก แม่ยิ่งใจบาง ๆ อยู่ รอแม่ทำใจได้เมื่อไหร่ลูกค่อยเปิดตัวนะ”
“อ้อเรื่องนี้นี่เอง ...ได้ค่ะ แต่แม่ก็อย่าทำใจนานนักนะคะ ช่วงนี้งานหนูเยอะ ก็อยากผ่อนคลาย แต่หนูสัญญานะคะ จากนี้จะทำอะไรเงียบ ๆ แต่แม่ก็อย่าไปฟังข่าวบนโซเซียลมากนะ เพราะความจริงมีไม่ถึงครึ่งของเรื่องเลยค่ะ”
“แม่เห็นกับตาค่ะ...” นางบอกน้ำเสียงแดกดัน “ผู้หญิงชุดแดง เว้าหน้าเว้าหลังนัวเนียออกสื่อ!”
ธัญกรครุ่นคิดกับประโยคของผู้เป็นแม่ ‘ผู้หญิงชุดแดง เว้าหน้าเว้าหลังนัวเนียออกสื่อ…’ จากนั้นเธอก็ยิ้มกริ่ม
“อ้อ หนูก็นึกว่าอะไร... เขาก็แค่เพื่อน ที่นัดเจอกันนาน ๆ ครั้ง แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ”
คราแรกก็กลัวว่าใช่เรื่องที่ตัวเองกำลังตัดสินใจทำอยู่หรือไม่ แต่ตอนนี้กระจ่างแล้ว เพราะหากเป็นเรื่องผู้หญิงที่แม่กล่าวถึงเขาตัดจบทุกอย่างได้
“เพื่อนนี่แหละตัวดี... ดีกับเราก็ดีไป แต่แทงข้างหลังเราเมื่อไหร่ ลูกก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเจ็บแค่ไหน...” เสียงปลายสายอ่อนลง
ไม่ต้องเดาว่าคนพูดจะมีสีหน้าเศร้าแค่ไหน เพราะสิ่งที่พูดถึงมันฝังอยู่ในใจ ทั้งที่ปากบอกว่าผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป...
ใครจะปล่อยผ่านก็ปล่อยไป แต่คนคนนี้พร้อมเอาคืนแล้ว!
“มันไม่มีอยู่แล้วค่ะ” เธอยืนยัน เพราะคนอย่างเธอ หากได้เจอ จะเอาคืนหลายเท่า!
“อย่ามั่นใจไปนะ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ” คนอาบน้ำร้อนมาก่อนเอ่ยย้ำ
“ค่ะ หนูผ่านมาเยอะ แม่ไม่ต้องห่วงเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ” น้ำเสียงที่ฟังแล้วระรื่นสดใสหากเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“อย่าลืมว่าลูกมีครอบครัว มีอะไรบอกแม่หรือน้องก็ได้ อย่าตัดสินใจอะไรคนเดียว เพราะแม่ก็อยากทำหน้าที่แม่ให้ลูกเหมือนกัน” น้ำเสียงนั้นจริงจัง คนฟังอบอุ่นในอกและซาบซึ้งใจ
...หากอยู่ใกล้ จะกอดแม่ให้จมอก
“ค่ะ หากมีเรื่องที่หนูคิดไม่ตก หนูจะปรึกษาแม่เป็นคนแรกเลยคะ”
“สัญญา...”
“ค่ะหนูสัญญา” แต่นิ้วกลางกับนิ้วชี้ไขว้กัน เพราะคนมีเรื่องจริง ๆ เรื่องบางเรื่องเขาต้องปิดคนในครอบครัวให้ถึงที่สุด
“แม่วางสายแล้วนะ”
“ค่ะ หนูรักแม่นะคะ”
“แม่รักลูกเช่นกัน”
จากนั้นคนเป็นแม่ก็กดวางสาย ในขณะที่ธัญกรกำมือถือไว้แน่น สายตาเหม่อมองไปไกล พอ ๆ กับความคิด ที่ไม่มีวันหยุดอยู่ที่เดิม…
‘หนูไม่ยอมแพ้ ให้คนที่ฉกฉวยโอกาส ยามที่เราล้มแล้วข้าม โดยไม่ได้เอาคืนหรอกค่ะ’
น้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนต้องการเอ่ยฝากลม โดยมือเรียวกำสิ่งที่อยู่ในมือแน่นขึ้นตามแรงโทสะ
หากเจ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่อยากเอาคืน คงแหลกคามือไปแล้ว
ฉันจะฉีกหน้ากากผู้ดี เพื่อลบมลทินและกอบกู้ศักดิ์ศรีของพ่อกับแม่กลับมาเอง!
สุดท้ายแสงเทียนไม่อาจปฏิเสธความต้องการที่รุ่มเร้าเข้ามาในกายได้ โดยที่ธัญกรเป็นคนจัดมันก่อน จุดมาก็ตอบสนองให้... เธอก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาว ในขณะที่มือถูกดึงให้หยุดอยู่ที่หน้าอกตูมเมื่อเจ้าของเปิดทางแสงเทียนจึงตอบสนองกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลไป เธอออกแรงบีบหน้าอกล้นมือนั้นด้วยความกลัดมัน“อ่าส์...”เจ้าของอกตูมครางออกมาแสงเทียนได้ใจจากนั้นเธอก็ดึงผ้าขนหนูออกจากกายงามเช่นเดียวกับธัญกรเองก็ดึงผ้าขนหนูออกจากตัวของแสงเทียนต่างฝ่ายต่างไร้สิ่งปกปิด จากนั้นต่างก็ประคองกันไปยังเตียงนุ่มที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงละลานตาจัดแต่งเป็นรูปหัวใจ“อืม อืมส์...” ต่างคนต่างพรมจูบอีกฝ่าย แล้วส่งเสียงหวานตอบรับกัน จากนั้นัญกรก็ดันร่างบางให้นอนราบไปบนเตียงตัวเองขยับขึ้นค่อม แล้วใช้แขนเกี่ยวขางามให้ยกสูง ส่วนตัวเองก็ก้มหน้าลงไปยังช่องทางรักสีหวานทันที“อึก!” แสงเทียงส่งเสียงสะท้านไหว เมื่ออีกฝ่ายใช้ปลายจมูกโด่งกดลงไปตรงจุดอ่อนไว สลับกับริมฝีปากอุ่นฝากฝังตรงจุดนั้น ในขณะที่มือข้างหนึ่งขยำอยู่ตรงสองเต้ากลมสลับกันไปมาอย่างเป็นจังหวะ“อะ อ่าส์” ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายลิ้นพลิ้วแหย่ลึกลงไปในช่องแคบสลับกับ
“นั้นนะสิ แต่คงไม่เป็นอะไรหรอกมั่ง ไม่งั้นคงนั่งพิมพ์มือถือไม่ได้” แสงเทียนปลอบใจตัวเอง แต่สีหน้าก็ยังไม่คลายความกังวลธัญกรจึงยื่นมือไปกุมไหล่มนแล้วบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ แล้วเอ่ยขึ้น“คงไม่เป็นไรหรอก หากมีอะไรร้ายแรงกว่านี้ คงมีข่าวจากใครบ้างแหละ อย่างเช่นจากคุณปรายฟ้า แต่นี่เงียบกันอยู่” แสงเทียนโล่งใจมากขึ้นเมื่อฟังเหตุผลของธัญกร“แล้วพี่ได้คุยกับใบข้าวอีกหรือเปล่า”“ไม่นะ หลังจากที่ทักทายเธอพร้อมกับเทียน พี่ก็ยุ่งต้อนรับแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้ตามไปคุยที่โต๊ะอีก”“ค่ะ ช่วงที่เธอกลับก็เห็นพี่ต้อนรับแขกผู้ใหญ่อยู่...”“เทียนไม่คิดอะไรมากแล้วใช่ไหม” ด้วยแคร์ความรู้สึก จึงอดถามไม่ได้“ไม่ค่ะ เพราะหลังจากนั้นเทียนก็เห็นเธอไปนั่งกับแขกผู้ชายที่เราเคยเจอในร้ายอาหารวันนั้น แล้วกลับออกไปด้วยกัน”“อ้อนั่นน้องชายเอลิสนะ”“อ้าว แล้วทำไม่เทียนไม่รู้”“น้องชายต่างแม่ พี่เองก็เพิ่งรู้ ตอนที่คุณเทวันเอามาแนะนำให้รู้จักนะ”เธอตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง สื่อให้เห็นถึงความคิดที่ไร้ข้อกังขาใด ๆแสงเทียนยิ้มตอบตาเป็นประกายมองใบหน้างามตรงหน้าเนิ่นนาน ...ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของธัญกร
แม้มีบางคนได้พูดไว้ว่า...ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง การพึ่งตัวเองได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ‘อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนนั้นแลคือที่พึ่งแห่งตน’ ...หากแต่ช่วงชีวิตหนึ่งเธอก็อยากให้ใครดูแลเช่นกัน“โอเค ผมขอเวลา เพื่อพิสูจน์ตัวเองในเรื่องหน้าที่การงานและการเปลี่ยนแปลง... ในช่วงนี้ผมขอให้ข้าวเป็นกำลังใจให้ผมนะครับ” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยออกมา ไม่มีแววล้อเล่น ใบข้าวสบตาพร้อมยิ้มรับ เธอควรให้โอกาสเขาและเพื่อให้โอกาสตัวเธอเพื่อเอาความรู้สึกใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่“ค่ะ ถึงตอนนั้น ข้าวคงพร้อมให้คุณเข้ามาพบพ่อแม่”ธามไทถึงกับโผเข้าสวมกอดร่างเปล่าเปลือย กดจมูกโด่งไปบนแก้มเนียนหลายครั้งติดต่อกันจนชุ่มปอด“ขอบคุณ ขอบคุณที่ข้าวให้โอกาสและเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้ผม” คนเคยเสเพลกล่าวน้ำเสียงตื้นตัน ใบข้าวสวมกอดเอวสอบด้วยความตื้นตันเป็นครั้งแรกเนิ่นนาน ก่อนบทรักครั้งใหม่จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้แถมความรู้สึกใหม่เข้ามาเติมเต็มจนห้องนอนเกือบกลายเป็นบ่อน้ำตาลดี ๆ นี่เอง... หนึ่งเดือนต่อมา บ้านเตชะรัฐซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดงานแต่ง เลี้ยงแขกแบบปุบเฟ่ โดยในงานประดับประดาด้วยดอกกุหลาบสีหวาน จัดเป็
บรรยากาศโดยรอบดูหดหู่ตาม มินตราและธานินมองหน้ากัน เพราะเขาทั้งสองไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้นานแล้ว แต่เพื่อความสะดวกใจของอีกฝ่าย จึงคิดว่าวันนี้จะปรับความเข้าใจกันใหม่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย“เอาเป็นว่า อะไรที่ยังค้างคาใจ ขอให้ทิ้งไปได้เลย เพราะฉันทั้งสองไม่เคยเก็บสิ่งพวกนั้นมาบั่นทอนความมุ่งหวังที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะพวกฉันถือว่า ความก้าวหน้ามีให้คว้าอยู่ตลอดเวลา และ ‘หากไม่มีวันนั้น พวกฉันก็คงไม่มีวันนี้’ หวังว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเด็ดขาดของมินตรา ไม่มีใครไม่กล้ายอมรับความจริง โดยเฉพาะลินดาใบหน้าบิดเบี้ยวเมื่ออีกฝ่ายพูดจบนิ้วเรียวยกขึ้นกรีดน้ำตาที่ร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่า ด้วยความซาบซึ้งใจที่อีกฝ่ายไม่คิดหาความกับเรื่องที่ผ่านมาอีก“โอเค ทีนี้ก็มาว่ากันเรื่องอื่นนะ”ครานี้ธานิน คนอารมณ์ดีเป็นนิจเอ่ยขึ้น ธัญกรใจเต้นหวั่น ๆ ไม่อยากให้พ่อพูด จนอีกฝ่ายน้ำตาตกอย่างแม่อีก หากแต่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ“บริษัทรับเหมาที่คุณปิยะดูแลอยู่ ผมได้พูดกับลูกธัญแล้วว่า หุ้นครึ่งหนึ่งยังเป็นของคุณเหมือนเดิม หากแต่เปลี่ยนคนบริหาร ไม่ใช่อะไรหรอกลูกธัญบอกว่า คุณปิยะควรวางม
“ขอบคุณค่ะแม่...” น้ำเสียงสั่นเครือพยายามเปล่งออกมาเมื่อผู้เป็นแม่ยืนยันความตั้งใจอีกครั้ง ก่อนจะก้มมองของขวัญบนคอตนเองผ่านกระจกเงา หากแต่ความสวยงามของเพชรนั้นกลับไม่เรียกความสดชื่นจากใบหน้าเธอได้ ก่อนจะหันมาโอบเอวผู้เป็นแม่แล้วซบใบหน้าลงเพื่อซึมซับความอบอุ่นที่นานมากแล้วเธอไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้เนิ่นนานกว่าร่างบางจะผละห่าง“กลัวหรือลูก” นางเอ่ยถามเมื่อพิศมองใบหน้าที่แต้มสีสันไว้เพียงบาง ๆ หากสวยน่ามอง แต่ตัดกับสีหน้าหม่นหมอง จนนางรู้สึกใจคอไม่ดีตามแต่ก็นั้นละ นางเองก็หวั่นอยู่ไม่น้อย แต่พยายามปิดความรู้สึกเอาไว้ ...เมื่ออีกฝ่ายให้โอกาสก็อยากทำในสิ่งที่สมควรที่สุด“...ค่ะแม่” เธอตอบกลับไปเสียงแผ่ว มือเรียวยื่นไปจับไหล่ลูกแล้วบีบเบา ๆ ให้กำลังใจ“เราออกกันไปกันเถอะ” นางเอ่ยชวนพร้อมดันร่างบางให้เดินนางรู้ว่าลูกสาวเครียดด้วยเรื่องใด หากไม่ใช่คำพูดของผู้เป็นพ่อในวันนั้น...‘อย่าให้พ่อรู้นะว่าลูกยังติดต่อกับฝ่ายนั้นอีก’ ทันทีที่ถูกซักถามจนได้ความผู้เป็นพ่อก็ออกคำสั่งห้ามทันที‘แล้วเรื่องที่เขาจะมาบ้านล่ะทำไง’ น้ำเสียงกริ่งเกรงเอ่ยถามสามี ที่บัดนี้หน้าบูดบึ้ง จนนางไม่อยากสู้หน้า‘จะมาทำไ
แม่บ้านคนสนิทส่ายหน้ารัว เธอจึงหันมองชายหนุ่มอีกครั้ง“คุณทำอะไรกับคนในบ้านข้าวคะ”“ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่บอกและแนะนำตัวก็เท่านั้น”“เท่านั้นของคุณ มันเท่าไหน”“ไม่เอานาที่รัก ผมแค่ให้ทุกคนรู้ว่าคุณเป็นเมีย และเท่ากับผมก็เป็นเจ้านายของเขา”“นี่จะบ้าหรือเปล่า คุณบอกคนของข้าวแบบนี้ได้ไง” เธอเอ่ยด้วยความผิดหวัง “บ้าที่ไหน” ธามไทเสียงอ่อนลง ไม่อยากทะเลาะกับหญิงสาวขึ้นมาดื้อๆ“บ้า ทำอะไรไม่บอกกล่าว น่าเกลียดที่สุด” เธอยังด่าไม่เลิก หากแต่แปลกใจไม่น้อยที่ดูอีกฝ่ายใจเย็นลง“อย่าด่าผมอีกเลยนะ” ประกายตาเว้าวอนหากแต่ใบข้าวจิกค้อนอย่างหมั่นไส้“ทำเกินไป ก็ต้องด่าสิ คุณพูดดีรู้เรื่องซะที่ไหน” “โธ่ ผมทำแค่นั้นเอง” เขาอุทธรณ์ เสียงแผ่ว ผิดจากก่อนหน้านั้น ป้าพาซ่อนยิ้มความรักหนุ่มสาวช่างร้อนแรงไม่ว่าสมัยไหน เฮ้อ...คนสูงวัยได้แต่ถอนหายใจใบข้าวหน้าแดงก่ำทั้งอายทั้งโกรธ อาการเหมือนเสือสิ้นลาย ผิดจากก่อนหน้า ที่สำคัญเขาแสดงอาการนั้นต่อหน้าคนในบ้านอีก ไม่อายก็ด้านแล้ว! “แค่ไหนของคุณ ต่อไปห้ามไปแสดงตัวแบบนี้กับใครอีกเข้าใจไหมคะ”“ครับ แต่...” เขารับคำแต่มีประโยคทิ้งท้ายสายตาพราว ใ