เมื่อธุรกิจที่เคยโกงเขามากำลังถูกล้มละลาย ทางออกสุดท้ายคือข้อเสมอที่ถูกยื่นให้โดยลูกสาวของคนที่ตัวเองเคยหักหลัง... “หากคุณอยากให้บริษัทของคุณอยู่รอด...” ดวงตากลมใสหากแน่วแน่ ปรายตามองผู้สูงวัย “ก็เอาลูกสาวมาต่อรองสิคะ เผื่อฉันจะสนุกด้วย” “ทำไมผมต้องทำแบบนั้น” ชายสูงวัยมองนักธุรกิจรุ่นลูกที่เก่งจนหาตัวจับยากทั้งที่เป็นผู้หญิงด้วยความคลางแคลงใจ
ดูเพิ่มเติมพ.ศ.2545
แรงผลักประตูเข้ามาโดยไม่ส่งสัญญาณ ทำให้เจ้าของห้องสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมอง และเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ก็ก้มหน้าอ่านเอกสารของตัวเองที่ค้างอยู่ต่อ ในขณะที่บุคคลเข้ามาใหม่พร้อมแฟ้มเอกสารในมือก็โยนลงบนโต๊ะ ไร้ซึ่งความเกรงใจจนสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะตกกระเด็นบางอย่างหล่นกลิ้งไปไกล
“หากไม่พร้อมคุย นายก็ค่อยเข้ามาหาฉันก็ได้” เจ้าของโต๊ะเอ่ยอย่างใจเย็น สายตาจับจ้องสิ่งที่ถูกโยนลงมาตรงหน้า
“ทำเป็นเล่น” คนพกอารมณ์มาเต็มเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นข้นโดยไม่มีทีท่าสำนึกผิดหรือขอโทษเพื่อนร่วมหุ้นส่วน
บุรุษที่มีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาเงยหน้ามองเพื่อน แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูดก็ได้ ใช่ว่าฉันจะไม่ฟังความคิดเห็นนาย” เจ้าของห้องมองเพื่อนรัก ...จากคนใจเย็นหากวันนี้เหมือนพกภูเขาไฟเข้ามาหา
“ใช่นายฟัง แต่นายก็แค่ฟัง” น้ำเสียงและสีหน้าเต็มไปด้วยความอัดอั้นมองหน้าเพื่อนด้วยสายตาตัดพ้อและตำหนิไปด้วย
มือเรียวหนาทั้งสองข้างยกขึ้นสูงระดับอก “งั้นว่ามา...” เจ้าของห้องจริงจังขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ “พูดเลย นายอึดอัดอะไร” สายตาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างรอฟัง
คนพกอารมณ์มาเต็มที่หายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อกดอารมณ์ทั้งหมดไว้ แล้วเอาคำพูดที่คิดว่าตัวเองไตร่ตรองไว้ดีแล้วออกมาคุยกัน
“นายทำแบบนี้ ไม่กลัวบริษัทขาดทุนหรือไง”
เพื่อนร่วมก่อตั้งบริษัทกล่าวเสียงเครียด
คนบนเก้าอี้ผสานนิ้วมือเข้าหากัน สีหน้าเรียบนิ่งแต่ภายในใจครุ่นคิดจ้องตอบ เพื่อค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงบนใบหน้าเพื่อนสนิทที่คบกันมาสิบกว่าปี จนเวลาล่วงเลยต่างคนต่างมีครอบครัว ไว้ใจซึ่งกันและกัน เมื่อต่างคนต่างไม่มีพี่น้องคลานตามกันมา เพื่อนที่มีจึงเสมือนญาติสนิทก็ว่าได้ กระทั้งตัดสินใจเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งทุกอย่างกำลังไปได้สวย...
“นายอย่าคิดมากสิ”
ธานินเอ่ยเสียงราบเรียบแต่คนฟังกลับชักสีหน้าแล้วตอบกลับ
“ไม่ให้คิดมากได้ไง กำไรเกือบไม่มีเลยนะ”
“ก็แค่เกือบ นั่นเท่ากับมันยังได้อยู่”
ปิยะหืดขึ้นคอ “ต้นทุนสูง แต่ประมูลวงเงินต่ำ ไม่มีใครบ้าบิ่นให้ราคาต่ำขนาดนั้น”
ธานินเห็นทั้งสีหน้าและน้ำเสียงผิดหวังของปิยะที่มีต่อเขาอย่างไม่ปิดบัง กระนั้นธานินก็ไม่รู้สึกโกรธหรือน้อยใจเพื่อนรักแต่อย่างใด
“นายเคยเชื่อใจฉันนี่ ทำไมครั้งนี้ถึงไม่เชื่อใจฉันล่ะ”
คนมั่นใจในการตัดสินใจบอกเพื่อนออกไป
ปิยะที่ไม่เคยยุ่งในงานส่วนนี้แลเห็นถึงความเสี่ยง แล้วไม่อยากปล่อยผ่านบอกถึงความกังวลของตัวเอง
“นายก็รู้ ของทุกอย่างปรับราคา ฉันก็แค่อยากเตือนนาย” ปิยะปรับสีหน้า น้ำเสียงผ่อนเบาลง
“นายลืมอะไรไปหรือเปล่า ของพวกนั้นนายเป็นคนซื้อมาเก็บไว้ แล้วบอกฉันเองว่าได้อีกหลายโครงการ...”
“มันก็จริง... แต่ใช่ว่าจะมีครบทุกอย่าง”
“งั้นนายก็ไม่ต้องคิดมาก ปล่อยทุกอย่างเป็นหน้าที่ฉัน นายก็กลับบ้านให้สบายใจเถอะ”
คำว่า ‘บ้าน’ ทำให้ปิยะหน้าเสีย ธานินคงรู้เรื่องภายในครอบครัวตัวเองไม่มากก็น้อยแล้วสินะ...
หลายครั้งที่เผลอสติแตกใส่เพื่อน สาเหตุก็เรื่องเครียดจากภรรยา ที่มีข่าวซุบซิบเรื่องที่นางทำตัวนอกลู่นอกทาง ทิ้งลูกสาววัยสามขวบให้อยู่กับสาวใช้ ส่วนตัวเองก็ออกไปเที่ยวเตร่ จ่ายเงินเป็นเบี้ย ในขณะที่ตนไม่อยากมีปากเสียง และเฝ้าทำงานหามรุ่งหามค่ำก็เพื่อครอบครัว เมื่อเหนื่อยงานกลับไปบ้านก็ยังเหนื่อยใจเรื่องภรรยาอีก ความเหนื่อยล้าบวกกับความเครียดจนพาลระเบิดขาดสติไปทั่ว
“งั้นฉันตั้งความหวังไว้ที่นายอีกครั้งนะ”
“ไว้ใจเถอะ เดี๋ยวตอนสายฉันจะให้เด็กเข้าไปตรวจเช็คของอีกรอบ” ธานินเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น หากปิยะเหงื่อแตก ใช้หลังมือปาดเหงื่อ มองหน้าเพื่อนรัก เหมือนมีอะไรในใจ จนธานินสังเกตได้ จึงถามออกไป
“มีอะไรหรือเปล่า...หากไม่สบายนายกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนก็ได้นะ ทางนี้ฉันจัดการเอง”
ธานินเห็นอาการเพื่อนรักก็รู้สึกเป็นห่วง
“ฉันไม่ได้ป่วยอะไรหรอก” คำตอบที่ไม่กล้าสบตาเพื่อน
ธานินวางมือลงบนโต๊ะแล้วดันตัวเองลุกขึ้น “งั้นออกไปหาอะไรกินกันไหม”
“ก็ดีเหมือนกัน”
ปิยะมีสีหน้าคลายลงเล็กน้อย จากนั้นก็พากันออกจากห้อง...
สุดท้ายแสงเทียนไม่อาจปฏิเสธความต้องการที่รุ่มเร้าเข้ามาในกายได้ โดยที่ธัญกรเป็นคนจัดมันก่อน จุดมาก็ตอบสนองให้... เธอก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาว ในขณะที่มือถูกดึงให้หยุดอยู่ที่หน้าอกตูมเมื่อเจ้าของเปิดทางแสงเทียนจึงตอบสนองกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลไป เธอออกแรงบีบหน้าอกล้นมือนั้นด้วยความกลัดมัน“อ่าส์...”เจ้าของอกตูมครางออกมาแสงเทียนได้ใจจากนั้นเธอก็ดึงผ้าขนหนูออกจากกายงามเช่นเดียวกับธัญกรเองก็ดึงผ้าขนหนูออกจากตัวของแสงเทียนต่างฝ่ายต่างไร้สิ่งปกปิด จากนั้นต่างก็ประคองกันไปยังเตียงนุ่มที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงละลานตาจัดแต่งเป็นรูปหัวใจ“อืม อืมส์...” ต่างคนต่างพรมจูบอีกฝ่าย แล้วส่งเสียงหวานตอบรับกัน จากนั้นัญกรก็ดันร่างบางให้นอนราบไปบนเตียงตัวเองขยับขึ้นค่อม แล้วใช้แขนเกี่ยวขางามให้ยกสูง ส่วนตัวเองก็ก้มหน้าลงไปยังช่องทางรักสีหวานทันที“อึก!” แสงเทียงส่งเสียงสะท้านไหว เมื่ออีกฝ่ายใช้ปลายจมูกโด่งกดลงไปตรงจุดอ่อนไว สลับกับริมฝีปากอุ่นฝากฝังตรงจุดนั้น ในขณะที่มือข้างหนึ่งขยำอยู่ตรงสองเต้ากลมสลับกันไปมาอย่างเป็นจังหวะ“อะ อ่าส์” ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายลิ้นพลิ้วแหย่ลึกลงไปในช่องแคบสลับกับ
“นั้นนะสิ แต่คงไม่เป็นอะไรหรอกมั่ง ไม่งั้นคงนั่งพิมพ์มือถือไม่ได้” แสงเทียนปลอบใจตัวเอง แต่สีหน้าก็ยังไม่คลายความกังวลธัญกรจึงยื่นมือไปกุมไหล่มนแล้วบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ แล้วเอ่ยขึ้น“คงไม่เป็นไรหรอก หากมีอะไรร้ายแรงกว่านี้ คงมีข่าวจากใครบ้างแหละ อย่างเช่นจากคุณปรายฟ้า แต่นี่เงียบกันอยู่” แสงเทียนโล่งใจมากขึ้นเมื่อฟังเหตุผลของธัญกร“แล้วพี่ได้คุยกับใบข้าวอีกหรือเปล่า”“ไม่นะ หลังจากที่ทักทายเธอพร้อมกับเทียน พี่ก็ยุ่งต้อนรับแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้ตามไปคุยที่โต๊ะอีก”“ค่ะ ช่วงที่เธอกลับก็เห็นพี่ต้อนรับแขกผู้ใหญ่อยู่...”“เทียนไม่คิดอะไรมากแล้วใช่ไหม” ด้วยแคร์ความรู้สึก จึงอดถามไม่ได้“ไม่ค่ะ เพราะหลังจากนั้นเทียนก็เห็นเธอไปนั่งกับแขกผู้ชายที่เราเคยเจอในร้ายอาหารวันนั้น แล้วกลับออกไปด้วยกัน”“อ้อนั่นน้องชายเอลิสนะ”“อ้าว แล้วทำไม่เทียนไม่รู้”“น้องชายต่างแม่ พี่เองก็เพิ่งรู้ ตอนที่คุณเทวันเอามาแนะนำให้รู้จักนะ”เธอตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง สื่อให้เห็นถึงความคิดที่ไร้ข้อกังขาใด ๆแสงเทียนยิ้มตอบตาเป็นประกายมองใบหน้างามตรงหน้าเนิ่นนาน ...ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของธัญกร
แม้มีบางคนได้พูดไว้ว่า...ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง การพึ่งตัวเองได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ‘อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนนั้นแลคือที่พึ่งแห่งตน’ ...หากแต่ช่วงชีวิตหนึ่งเธอก็อยากให้ใครดูแลเช่นกัน“โอเค ผมขอเวลา เพื่อพิสูจน์ตัวเองในเรื่องหน้าที่การงานและการเปลี่ยนแปลง... ในช่วงนี้ผมขอให้ข้าวเป็นกำลังใจให้ผมนะครับ” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยออกมา ไม่มีแววล้อเล่น ใบข้าวสบตาพร้อมยิ้มรับ เธอควรให้โอกาสเขาและเพื่อให้โอกาสตัวเธอเพื่อเอาความรู้สึกใหม่ ๆ เข้ามาแทนที่“ค่ะ ถึงตอนนั้น ข้าวคงพร้อมให้คุณเข้ามาพบพ่อแม่”ธามไทถึงกับโผเข้าสวมกอดร่างเปล่าเปลือย กดจมูกโด่งไปบนแก้มเนียนหลายครั้งติดต่อกันจนชุ่มปอด“ขอบคุณ ขอบคุณที่ข้าวให้โอกาสและเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้ผม” คนเคยเสเพลกล่าวน้ำเสียงตื้นตัน ใบข้าวสวมกอดเอวสอบด้วยความตื้นตันเป็นครั้งแรกเนิ่นนาน ก่อนบทรักครั้งใหม่จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้แถมความรู้สึกใหม่เข้ามาเติมเต็มจนห้องนอนเกือบกลายเป็นบ่อน้ำตาลดี ๆ นี่เอง... หนึ่งเดือนต่อมา บ้านเตชะรัฐซึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่จัดงานแต่ง เลี้ยงแขกแบบปุบเฟ่ โดยในงานประดับประดาด้วยดอกกุหลาบสีหวาน จัดเป็
บรรยากาศโดยรอบดูหดหู่ตาม มินตราและธานินมองหน้ากัน เพราะเขาทั้งสองไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้นานแล้ว แต่เพื่อความสะดวกใจของอีกฝ่าย จึงคิดว่าวันนี้จะปรับความเข้าใจกันใหม่ ก่อนจะหันมายิ้มให้กำลังใจอีกฝ่าย“เอาเป็นว่า อะไรที่ยังค้างคาใจ ขอให้ทิ้งไปได้เลย เพราะฉันทั้งสองไม่เคยเก็บสิ่งพวกนั้นมาบั่นทอนความมุ่งหวังที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะพวกฉันถือว่า ความก้าวหน้ามีให้คว้าอยู่ตลอดเวลา และ ‘หากไม่มีวันนั้น พวกฉันก็คงไม่มีวันนี้’ หวังว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเด็ดขาดของมินตรา ไม่มีใครไม่กล้ายอมรับความจริง โดยเฉพาะลินดาใบหน้าบิดเบี้ยวเมื่ออีกฝ่ายพูดจบนิ้วเรียวยกขึ้นกรีดน้ำตาที่ร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่า ด้วยความซาบซึ้งใจที่อีกฝ่ายไม่คิดหาความกับเรื่องที่ผ่านมาอีก“โอเค ทีนี้ก็มาว่ากันเรื่องอื่นนะ”ครานี้ธานิน คนอารมณ์ดีเป็นนิจเอ่ยขึ้น ธัญกรใจเต้นหวั่น ๆ ไม่อยากให้พ่อพูด จนอีกฝ่ายน้ำตาตกอย่างแม่อีก หากแต่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ“บริษัทรับเหมาที่คุณปิยะดูแลอยู่ ผมได้พูดกับลูกธัญแล้วว่า หุ้นครึ่งหนึ่งยังเป็นของคุณเหมือนเดิม หากแต่เปลี่ยนคนบริหาร ไม่ใช่อะไรหรอกลูกธัญบอกว่า คุณปิยะควรวางม
“ขอบคุณค่ะแม่...” น้ำเสียงสั่นเครือพยายามเปล่งออกมาเมื่อผู้เป็นแม่ยืนยันความตั้งใจอีกครั้ง ก่อนจะก้มมองของขวัญบนคอตนเองผ่านกระจกเงา หากแต่ความสวยงามของเพชรนั้นกลับไม่เรียกความสดชื่นจากใบหน้าเธอได้ ก่อนจะหันมาโอบเอวผู้เป็นแม่แล้วซบใบหน้าลงเพื่อซึมซับความอบอุ่นที่นานมากแล้วเธอไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้เนิ่นนานกว่าร่างบางจะผละห่าง“กลัวหรือลูก” นางเอ่ยถามเมื่อพิศมองใบหน้าที่แต้มสีสันไว้เพียงบาง ๆ หากสวยน่ามอง แต่ตัดกับสีหน้าหม่นหมอง จนนางรู้สึกใจคอไม่ดีตามแต่ก็นั้นละ นางเองก็หวั่นอยู่ไม่น้อย แต่พยายามปิดความรู้สึกเอาไว้ ...เมื่ออีกฝ่ายให้โอกาสก็อยากทำในสิ่งที่สมควรที่สุด“...ค่ะแม่” เธอตอบกลับไปเสียงแผ่ว มือเรียวยื่นไปจับไหล่ลูกแล้วบีบเบา ๆ ให้กำลังใจ“เราออกกันไปกันเถอะ” นางเอ่ยชวนพร้อมดันร่างบางให้เดินนางรู้ว่าลูกสาวเครียดด้วยเรื่องใด หากไม่ใช่คำพูดของผู้เป็นพ่อในวันนั้น...‘อย่าให้พ่อรู้นะว่าลูกยังติดต่อกับฝ่ายนั้นอีก’ ทันทีที่ถูกซักถามจนได้ความผู้เป็นพ่อก็ออกคำสั่งห้ามทันที‘แล้วเรื่องที่เขาจะมาบ้านล่ะทำไง’ น้ำเสียงกริ่งเกรงเอ่ยถามสามี ที่บัดนี้หน้าบูดบึ้ง จนนางไม่อยากสู้หน้า‘จะมาทำไ
แม่บ้านคนสนิทส่ายหน้ารัว เธอจึงหันมองชายหนุ่มอีกครั้ง“คุณทำอะไรกับคนในบ้านข้าวคะ”“ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่บอกและแนะนำตัวก็เท่านั้น”“เท่านั้นของคุณ มันเท่าไหน”“ไม่เอานาที่รัก ผมแค่ให้ทุกคนรู้ว่าคุณเป็นเมีย และเท่ากับผมก็เป็นเจ้านายของเขา”“นี่จะบ้าหรือเปล่า คุณบอกคนของข้าวแบบนี้ได้ไง” เธอเอ่ยด้วยความผิดหวัง “บ้าที่ไหน” ธามไทเสียงอ่อนลง ไม่อยากทะเลาะกับหญิงสาวขึ้นมาดื้อๆ“บ้า ทำอะไรไม่บอกกล่าว น่าเกลียดที่สุด” เธอยังด่าไม่เลิก หากแต่แปลกใจไม่น้อยที่ดูอีกฝ่ายใจเย็นลง“อย่าด่าผมอีกเลยนะ” ประกายตาเว้าวอนหากแต่ใบข้าวจิกค้อนอย่างหมั่นไส้“ทำเกินไป ก็ต้องด่าสิ คุณพูดดีรู้เรื่องซะที่ไหน” “โธ่ ผมทำแค่นั้นเอง” เขาอุทธรณ์ เสียงแผ่ว ผิดจากก่อนหน้านั้น ป้าพาซ่อนยิ้มความรักหนุ่มสาวช่างร้อนแรงไม่ว่าสมัยไหน เฮ้อ...คนสูงวัยได้แต่ถอนหายใจใบข้าวหน้าแดงก่ำทั้งอายทั้งโกรธ อาการเหมือนเสือสิ้นลาย ผิดจากก่อนหน้า ที่สำคัญเขาแสดงอาการนั้นต่อหน้าคนในบ้านอีก ไม่อายก็ด้านแล้ว! “แค่ไหนของคุณ ต่อไปห้ามไปแสดงตัวแบบนี้กับใครอีกเข้าใจไหมคะ”“ครับ แต่...” เขารับคำแต่มีประโยคทิ้งท้ายสายตาพราว ใ
ความคิดเห็น