ที่นี่ที่ไหนกันนะ?
ชาลิสาคิดและแหงนมองไปรอบๆ ห้อง แต่ทำไมทำได้แค่แหงนอย่างเดียวล่ะ เธอพยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่ร่างกายราวกับเหมือนไม่มีแรง ชาลิสาเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ห้องพร้อมกับความทรงจำต่างๆ เริ่มไหลเข้ามาในหัวหนักขึ้นเรื่อยๆ ความเจ็บปวดทรมานเธอล้วนจำได้ชัดเจน แต่ว่าตอนนี้ทำไมเหมือนไม่ได้เป็นอะไรเลยสักนิด ความเป็นจริงตอนนี้เธอควรอยู่โรงพยาบาลสิ แต่เพดานห้องนี้ดูยังไงก็ไม่เหมือนโรงพยาบาลเลยแม้แต่นิดเดียว หรืออาจจะเป็นโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนก็ได้ เพราะก่อนเกิดเหตุเธออยู่เมืองจีนนี่นาดังนั้นโรงพยาบาลนี้เขาน่าจะตกแต่งให้เข้ากับบรรยากาศแน่ๆ
“คุณหนูใหญ่ น่าเอ็นดูเหลือเกิน จางจิ้งเจ้าดูสิ พอตื่นมาก็กลอกตาไปมาอยู่เช่นนั้นเป็นสิบๆ ครั้งแล้วกระมัง” ใครพูด? แล้วตัวคนอยู่ไหนทำไมเธอถึงมองไม่เห็นกันละ เสียงอยู่ใกล้ขนาดนี้แท้ๆ
“นางหิวนมแล้วกระมัง พี่ป้อนนมคุณหนูเถอะ”
“คงจะจริงอย่างที่เจ้าว่า ตั้งแต่คลอดมาก็ยังไม่ได้ดื่มนมเลย” อา... ตอนนี้เธอเห็นตัวคนพูดแล้ว หญิงคนนั้นเป็นหญิงวัยกลางคนที่ไม่ได้ดูมีอายุมากนักก้มมาหยุดมองหน้าเธอแล้วยิ้มกว้างก่อนจะเอื้อมมือมาหา
จะทำอะไรฉันเนี่ย!?
เมื่อจะเปล่งคำถามออกไปเธอก็ต้องตกใจเมื่อเสียงพูดของเธอกลายเป็นเสียงเด็กทารกร้องออกมาไม่เป็นภาษาไปเสียอย่างนั้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น เธอสับสนไปหมดแล้ว!
สองมือเอื้อมมาคว้าตัวชาลิสาแล้วยกตัวเธอขึ้นมา ทำให้เธอมองเห็นทุกอย่างรอบตัวชัดเจนขึ้น และยังเห็นผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ผู้หญิงคนนั้นมีหน้าตาที่เด็กกว่าคนที่อุ้มเธอในตอนนี้ทั้งตัวสวมเสื้อผ้าจีนโบราณสีครีมสลับเหลือง ชาลิสาก้มมองมือทั้งสองของตัวเองก็ยิ่งทำให้ตกใจเมื่อมือและนิ้วของเธอเล็กเท่าเด็กทารกไปซะแล้ว และนี่ก็ทำให้เธอพบคำตอบแล้วว่า
ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาล ไม่มีเครื่องมือไฮเทค ไม่มีไฟฟ้าใดๆ ทั้งสิ้น!
เธออยู่ที่ไหนกันแน่!?
และเธอคงกลับมาเกิดในร่างของทารกคนนี้ เหมือนที่เธอเคยเห็นในละครแน่ๆ !
จากนั้นหญิงวัยกลางคนที่อุ้มเธออยู่ก็เริ่มปลดเสื้อชั้นนอกออกทำให้เริ่มเห็นเค้าโครงด้านในเสื้อรางๆ หญิงวัยกลางเปิดเสื้อบริเวณอกออก แล้วจึงนำร่างเธอมาใกล้ๆ ยอดอก ชาลิสาเห็นท่าจะไม่ดีแล้วเธอเลยดิ้นสุดแรงที่มี แล้วร้องโวยวายเป็นภาษาเด็ก เธอไม่ยอมดื่มนมจากอกโดยที่รู้เรื่องแบบนี้แน่ๆ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครก็ไม่รู้ใช่แม่เธอในภพนี้หรือไม่ก็ไม่แน่ใจ เธอเลยต่อต้านสุดแรงอันน้อยนิดที่มีหวังว่าหญิงคนนี้จะปล่อยเธอไวๆ
“ตายแล้ว คุณหนูใหญ่อย่าดิ้นแรงสิเจ้าคะ จะตกเอาได้นะเจ้าคะ” คุณหนูใหญ่? หมายถึงเธอใช่ไหมเพราะในห้องนี้ก็ไม่มีใครที่ดิ้นเท่าเธออีกแล้ว
“ข้าว่าคุณหนูใหญ่ดิ้นแรงกว่าเด็กแรกเกิดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลยนะ แถมมีทีท่าว่าจะไม่ยอมดื่มนมพี่แน่ๆ จะเป็นอะไรหรือไม่พี่นเสียง” เสียงของหญิงด้านหลังส่งเสียงร้องออกมาพอๆ กับผู้หญิงที่อุ้มเธอร้องบอก
“จางจิ้ง งั้นเจ้าไปเรียนท่านแม่ทัพเถิด ฮูหยินน่าจะยังไม่ฟื้นยังไม่ต้องไปรบกวนนาง”
หญิงชุดครีมสลับเหลืองพอได้ยินดังนั้นเลยพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเดินออกจากประตูห้องไป
ดี ทีนี้เหลือแค่หญิงคนนี้คนเดียวเธอคงดิ้นหลุดแน่ จากนั้นเธอก็พยายามขยับตัวหนักขึ้นกว่าเดิม ส่ายหน้าไม่ยอมดื่มนมจากเต้าของหญิงวัยกลางคนเด็ดขาด แต่..จะมีใครเข้าใจเธอกันล่ะเนี่ย!
หลังจากเหตุการณ์นองเลือดในจวนแม่ทัพสือจบลงชินอ๋องก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กำราบชนเผ่าหลาเหม่าจนสิ้น ไม่ให้เหลือรอดมีชีวิตแม้แต่คนเดียว องค์หญิงฝานฮุ่ยเองก็ไม่กลับวังหลวงของแคว้นตัวเองแต่เลือกที่จะอยู่เป็นฮูหยินแม่ทัพอยู่ที่เมืองเหอเถิงชินอ๋องหนุ่มกลับจวนมายามใดเป็นอันต้องกรอกสุราเข้าปากไม่จบไม่สิ้น บางวันถึงขั้นไม่อาบน้ำนอนอยู่ศาลาที่มีหิมะตกลงมาเป็นสาย หมัวมัวและเสี่ยวจูที่ยังร้องจนสองตาปูดบวมอยู่ก็ยิ่งร้องหนักเข้าไปอีกที่ชินอ๋องเป็นเช่นนี้พระชายาจากไปแล้วไม่หวนกลับ นี่คือเรื่องจริง...หลิงหมัวมัวอุ้มเสี่ยวซื่อจื่อน้อยไว้อย่างดี เด็กน้อยไม่รู้สักนิดว่ายามนี้จวนแห่งนี้กำลังอยู่ในบรรยากาศโศกเศร้า ได้แต่หัวเราะคิกคักชี้ดอกเหมยที่ปลิวไปมาตามสายลมดอกเหมยกลีบหนึ่งร่วงลงมาสัมผัสบนใบหน้าชินอ๋องที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ ฉับพลันน้ำตาเขาก็ไหลลงมาไม่หยุด ดอกเหมยกลีบนี้เสมือนภรรยาเขาที่กำลังมาปลอบโยนเขาเช่นทุกครั้ง แต่ดอกเหมยกลีบนี้กลับไม่อบอุ่นเหมือนอ้อมกอดของนางสักนิดไม่มีนางเขาอยู่ไม่ได้ ขอแค่คืนนางกลับมา...“คืนนางมาให้ข้า...” เสียงแหบแห้งแทบไม่ได้ศัพท์ร้องบอกเบื้องบนหวังว่าจะมีสักคนที่ไ
ในฤดูร้อนที่เมืองหมานของอาณาจักรแคว้นฝูหยวนคนต่างเมืองมักจะชอบมาเที่ยวกันจนเมืองหมานที่ใหญ่เกือบเท่าเมืองหลวงแออัดไปในทันที เสวี่ยเหมยที่ยามนี้เพิ่งจะห้าขวบแอบหนีออกมาเที่ยวเล่นครั้งแรกเพื่อเปิดหูเปิดตาบ้าง ผู้ใดใช้ให้จางเหว่ยกับจางเหล่ยทิ้งนางไปฝึกวรยุทธ์กัน ส่วนซิงซิงเองก็ทอดทิ้งนางไปปักผ้าอะไรก็ไม่รู้ เมื่อสาวใช้ผู้นั้นมาส่งนางในห้องแล้วทำเป็นกล่อมนางเข้านอน นางแค่แกล้งหลับตาซิงซิงก็ติดกับแล้ว!เสวี่ยเหมยแอบหยิบถุงเงินที่ท่านตาชอบมอบให้เวลาไปเยี่ยมบ้านนู้นที่นางซุกซ่อนไว้อย่างดีออกมาด้วย นางมองเห็นร้านขนมน้ำตาลปั้นมาแต่ไกล สองตาเล็กก็ลุกวาวด้วยความอยากกินมานาน อยู่ในจวนซิงซิงมักสั่งห้ามนาง บอกว่าเป็นสตรีกินเดือนละครั้งก็พอ ไม่อย่างนั้นสุขภาพฟันจะไม่ดีนางรู้วิธีรักษาหรอก! บังอาจมาบังคับให้เด็กอายุห้าขวบเช่นนางงดกินของโปรดงั้นหรือแต่ใกล้ๆร้านนั้น กลับมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนเหม่อลอยอยู่ สายตาของเขากวาดมองผู้ใดอยู่นางก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ก็ยอมมองตามเขาก่อนจะพบว่าเขามองผู้คนถือขนมแล้วกินกันอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ช่างน่าสงสารนัก!“ท่านลุงๆ เอาขนมรูปกระต่ายสองไม้เจ้าค่ะ” พ่อค้าขายขนมได้ยินแต่เ
เมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึงจวนแม่ทัพ เสวี่ยเหมยที่นั่งอยู่ในรถม้าเพียงคนเดียว ก้าวลงมาช้าๆ เหมือนเหตุการณ์เดิมทุกอย่างขาดแค่บุรุษเคียงข้างกายเท่านั้น ยามนี้เขาอยู่ซุ่มรอโจมตีกับพวกทหารในใต้บังคับบัญชา แอบแฝงตัวอยู่รอบจวนแม่ทัพโดยที่ซ่อนตัวอย่างดีไม่ให้ใครได้รู้“เกี้ยวแต่งงานขององค์หญิงฝานฮุ่ยแคว้นชุนไห่เสด็จมาถึงแล้ว!”เสวี่ยเหมยมองไปยังขบวนยาวเหยียด ที่ยามนี้เจ้าสาวในเกี้ยวโผล่หัวออกมามองด้านนอกอย่างกับเด็กซนๆ ผู้หนึ่ง สือหลุนอี้ไม่ได้ผงะให้กับเจ้าสาวของเขาอีกต่อไปแต่ทว่าดวงตาบุรุษฉายแววมีความสุขและความอาลัยจนมากล้น“เซียนข้าว!!” ฝานฮุ่ยเห็นร่างที่คุ้นเคยผ่านผ้าคลุมสีแดงผืนบาง แม้ว่าอีกฝ่ายจะสวมผ้าคลุมอยู่นางก็จำสหายได้ เพราะอยู่ด้วยกันมานานเกือบสามเดือน จึงโบกมือให้นางมาแต่ไกล “ข้าอึดอัดจะแย่!”“กลับเข้าไปซะ!” หญู๋เติ้งข่านบังคับม้ามาข้างเกี้ยว ดันหัวน้องสาวกลับเข้าไปตามเดิม นางอายุสิบเก้าแล้วแท้ๆ ยังดื้อดึงไม่เปลี่ยนเลยสักนิดนางมองเหตุการณ์ที่ดำเนินไปอย่างเหมือนเดิมทุกอย่างเงียบๆ ขอแค่ผ่านตรงนี้ไปได้ทุกคนจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ขอแค่ผ่านมันไปได้ก็พอหลังจากผ่านพิธีกราบไหว้ฟ้าดินแล
เสวี่ยเหมยพิจารณาชายหนุ่มอย่างละเอียดอีกครั้งแต่ดูแล้วเขาไม่ได้มีท่าทีสนิทกับนางเลยสักนิด อาจจะพูดว่าทำตัวห่างไกลเสียด้วยซ้ำ แถมแววตาก็ดูมีความเคารพนางเสียส่วนใหญ่ไม่ใช่!หากเป็นเขาจะต้องเรียกนางอย่างอ่อนโยนว่าเหมยเอ๋อร์ เขาไม่เคยเรียกชื่อนางลักษณะนี้ด้วยซ้ำนอกจากเวลาโกรธ แววตาคู่นั้นก็ไม่ได้มองมาราวกับรักนางอย่างลึกซึ้งเช่นเขา แต่แล้วพอชายหนุ่มตรงหน้าค่อยๆ ถอดผ้าปิดปากออกเผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นนางก็แทบจะสลบไปทันที“แม่ทัพสือ”นางจำได้แล้ว! ชายที่ถูกรถชนพร้อมกับนางเป็นเขาย่อมไม่ผิดแน่ ยามนั้นนางเห็นเขาสวมผ้าปิดปากเช่นตอนนี้ แต่ว่าตอนนั้นทั้งคู่ก็สองตาพร่ามัวล้วนจำใบหน้ากันไม่ได้ แต่ยามนี้พอได้เห็นอีกฝ่ายที่เคยพบกันในแคว้นฝูหยวนต่างก็เดาเรื่องราวและจำกันได้ทันทีทั้งสองจึงหาที่นั่งคุยกันพร้อมกับเปิดใจหาคนรักที่โลกอีกโลกหนึ่ง นางได้ยินสือหลุนอี้เล่าว่าเขาเป็นเพียงพ่อครัวคนหนึ่งเท่านั้น แต่ว่ากลับชอบมีแฟนคลับมากมายมาล้อมหน้าล้อมหลังเสมอ จนเขาต้องสวมผ้าปิดปากไว้ไม่ให้เด่นจนเกิดไป พอกลับมาโลกเดิมเขาวิ่งมาที่ขายไอศกรีมเป็นที่แรกแต่พบว่ามันไม่มีเหตุการณ์เหมือนเดิมแล้ว เขาอยากกลับไปห
“ไม่!” เสวี่ยเหมยหายใจเฮือกใหญ่แล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมา ทว่าตัวนางในยามนี้กำลังอยู่บนเครื่องบิน! ไม่ถูก นี่มันไม่ถูกต้อง“ลิสา อย่าเสียงดัง ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ ฝันร้ายหรือ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งสะกิดไล่นางเบาๆ แต่ว่าทำไมช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน ไม่จริง! นี่มันไม่จริงล่ะมั้ง“ผิง”เสียงเอ่ยตอบเพื่อนสาวแผ่วเบาออกมาจากปากเล็ก รูปร่างหน้าตาทุกอย่างเหมือนกับเสวี่ยเหมยในแคว้นฝูหยวนทุกอย่าง แต่นางไม่เข้าใจว่าทำไมหน้าตาเช่นนี้จึงกลายเป็นโฉมสะคราญในโลกยุคนั้นได้ ทั้งที่ยุคสมัยปัจจุบันนี้คนหน้าตาสวยกว่านางมีมากถมไป“ไม่สบายเหรอ” ขนมผิงรีบเอามือแตะหน้าผากตัวเธอแล้วก็เพื่อนสาวที่ร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยไปพร้อมกัน “ตัวไม่ร้อนนี่นา”เสวี่ยเหมยได้แต่คิดว่าหรือเรื่องทั้งหมดนางแค่ฝันไป หากแต่ถ้าเป็นความฝันไยต้องร้องไห้ออกมาทันทีที่ตื่น หากเป็นความฝันไยต้องเจ็บหน้าอกที่ถูกธนูยิงผ่านไม่จางหาย หากเป็นความฝันใช่ว่านางจะติดอยู่ยาวนานตั้งแต่เกิดจนอายุยี่สิบปีเชียวหรือ! มันย่อมไม่ใช่ความฝัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริง เพียงตื่นขึ้นมาก็เกือบจะจำสหายทั้งสามคนไม่ได้แถมนางยังฟังภาษาของนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เ
เผลอครู่เดียวฤดูเหมันต์จะผ่านไปอีกแล้วเสวี่ยเหมยนั่งอยู่ในรถม้าคันใหญ่พลันคิดเงียบๆ ผู้เดียว เวลาผ่านไปรวดเร็วนัก ทั้งที่เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่นางก็รู้สึกว่ามันดำเนินไปเร็วจริงๆเส้นทางคดเคี้ยวไปมาก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าจวนหลังใหญ่ที่ประดับด้วยผ้าแดงมงคลเต็มไปหมด แม่ทัพสือหลุนอี้แต่งอาภรณ์สีแดงยืนอยู่หน้าจวนแม่ทัพ เวลาผ่านมาเพียงสองปีแต่รูปร่างเขากลับกำยำขึ้นมาไม่น้อยหิมะขาวโพลนตกลงมาไม่หยุด ทั้งที่ปีก่อนปลายเหมันต์หิมะก็เริ่มเบาบางลงมาแล้ว ชินอ๋องหนุ่มนั่งกอดภรรยาที่เหม่อลอยครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ไม่รู้ แต่เขาก็ไม่อยากไปรบกวนนางได้แต่ตระกองกอดไว้แนบแน่นให้ความอบอุ่นผ่านกายใหญ่ไปสู่กายเล็กแสนบอบบาง“หรงจวิ้น เราก็ลงกันเถอะ” นางได้สติก่อนจะหันไปหาสามีที่นัยน์ตาเริ่มทอประกายเร่าร้อนขึ้นมา เสวี่ยเหมยจึงรีบตัดความคิดเขาทันที “ลงกันเถอะ!”“เมื่อครู่จะเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้ว แต่ถูกเสี่ยวอี้ขัดขวางเสียได้” เขาพูดพร้อมกับใช้มือใหญ่ล้วงเข้าไปในอาภรณ์ร่างบาง นางสั่นสะท้านน้อยๆ ก่อนจะหันไปหาเขา ให้ชายหนุ่มเปิดผ้าคลุมครึ่งหน้าออกแล้วสอดเรียวลิ้นเย็นเฉียบเข้ามาในโพรงปากควานหาน้ำหวานใน