คืนนั้น ลมทะเลพัดเอาความเย็นมาปะทะผิว นนท์นั่งอยู่ตรงระเบียงบ้าน ไฟจากตะเกียงน้ำมันที่แขวนอยู่ตรงเสาชายคากะพริบไหวไปตามแรงลม ดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงนวลเหนือผืนน้ำ คลื่นยังคงซัดเข้าฝั่งเป็นจังหวะที่คุ้นเคย กลิ่นไอทะเลปนกับกลิ่นไม้เก่าของบ้าน ทำให้ค่ำคืนนี้ดูเงียบสงบ
ปู่ดำลากเก้าอี้ไม้มานั่งข้าง ๆ นนท์ มือเหี่ยวย่นของปู่ถือกะลามะพร้าวที่บรรจุชาอุ่น ๆ เอาไว้ ปู่จิบมันช้า ๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วหันมามองหลานชาย
"ไอ้หนู เอ็งรู้ไหมว่าทำไมที่นี่ถึงมีปูเยอะ?"
นนท์เลิกคิ้ว มองหน้าปู่ด้วยความสงสัย "ก็เพราะมันเป็นทะเลไม่ใช่เหรอปู่?"
ปู่หัวเราะเบา ๆ แล้วส่ายหน้า "มันไม่ใช่แค่นั้นหรอก..."
ปู่วางกะลาชาลงข้างตัว ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวของ “ปู” ที่นนท์ไม่เคยรู้มาก่อน
"สมัยก่อน หมู่บ้านเรายังไม่เป็นแบบนี้นะนนท์" ปู่เริ่มเล่า "ตอนนั้นไม่มีไฟฟ้า ไม่มีถนน ไม่มีร้านค้า ทุกคนต้องพึ่งพาทะเลเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง"
นนท์นั่งฟังอย่างเงียบ ๆ ดวงตาของเขาสะท้อนแสงจันทร์ ปู่พูดต่อ
"ตอนนั้น ใครที่มีเรือก็ออกเรือไปจับปลา ใครไม่มีเรือก็ต้องหาทางเอาตัวรอดกันเอง บางคนดำน้ำหาหอย บางคนจับหมึก แต่รู้ไหมว่าสิ่งที่ช่วยให้คนในหมู่บ้านอยู่รอดกันมาได้คืออะไร?"
"ปู?" นนท์เดา
ปู่พยักหน้า "ใช่ ปู"
"ตอนที่คลื่นแรง ออกเรือไม่ได้ คนก็ต้องเดินลงไปในเลน ไปจับปูกัน ขายได้บ้าง กินเองบ้าง ปูมันตัวเล็กก็จริง แต่มันมีอยู่เต็มไปหมด ถ้ารู้วิธีหามันนะ"
นนท์มองออกไปยังชายหาดที่ตอนนี้มืดสนิท แต่เขารู้ดีว่าถ้าเป็นเวลากลางวัน หาดทรายนั้นจะเต็มไปด้วยร่องรอยของปูที่เดินไปมา
ปู่เอนตัวพิงเสา ก่อนจะพูดต่อ "เอ็งรู้ไหมว่าทำไมปูถึงมีค่ามากกว่าที่คนคิด?"
นนท์ส่ายหน้า "ก็พวกมันแค่เดินไปเดินมาในทรายไม่ใช่เหรอปู่?"
ปู่หัวเราะเบา ๆ "มันมากกว่านั้นโว้ยไอ้หนู ปูมันฉลาด มันรู้จักเอาตัวรอด มันรู้ว่าควรซ่อนตัวยังไง รู้ว่าควรหนีตอนไหน และที่สำคัญ มันเป็นของที่ใครก็ต้องการ"
นนท์ขมวดคิ้ว "หมายความว่ายังไง?"
ปู่หรี่ตาลงแล้วพูดอย่างจริงจัง "ปูเป็นของที่ขายได้เสมอ ไม่ว่าคนจะมีเงินหรือไม่มีเงิน ร้านอาหารก็ต้องการมัน คนรวยก็ชอบมัน คนจนก็กินมันได้ มันเป็นอาหารที่อยู่ได้ทุกระดับ มันไม่เหมือนปลา ที่บางครั้งจับได้เยอะจนล้นตลาด แต่ปู... ต่อให้เอ็งมีเป็นร้อย ๆ กิโล ก็ยังขายได้หมด"
นนท์เริ่มเข้าใจมากขึ้น
ปู่หยิบมีดพกเก่า ๆ ออกมา มันเป็นมีดที่คมและสึกจากการใช้งานมานาน นนท์เคยเห็นมันมาตั้งแต่เด็ก และรู้ว่าปู่ใช้มีดเล่มนี้แกะปูแทบทุกวัน
"ปู่ได้ปูตัวแรกมาตอนไหนเหรอ?" นนท์ถามขึ้น
ปู่ยิ้มออกมาเหมือนคิดถึงความหลัง "นานมากแล้วว่ะไอ้หนู ตอนนั้นปู่ยังเป็นเด็กพอ ๆ กับเอ็งนี่แหละ ไม่มีเงิน ไม่มีอะไรเลย แต่รู้ว่าถ้าจับปูได้ ก็จะมีข้าวกิน"
นนท์มองหน้าปู่อย่างตั้งใจ
"ปู่จับปูไปขายให้เถ้าแก่แถวตลาด กิโลละไม่กี่บาท แต่รู้ไหม มันเป็นเงินก้อนแรกที่ปู่หามาได้ด้วยตัวเอง" ปู่พูดพร้อมกับลูบมีดพกไปมา "จากปูตัวนั้น ปู่ก็เริ่มจับปูมากขึ้น เริ่มรู้ว่าต้องไปจับมันตอนไหน ใช้เหยื่ออะไร ต้องจับยังไงให้ได้เยอะขึ้น"
นนท์เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา "แล้วปู่ทำยังไงต่อ?"
ปู่หัวเราะ "ปู่เก็บเงิน จนมีเงินพอจะซื้อเรือลำแรกของตัวเอง จากจับปูขาย ก็ไปจับปลาขาย จากขายปลา ก็มีเงินมาสร้างบ้านหลังนี้"
นนท์เบิกตากว้าง "ปู่หมายความว่าบ้านของเรา... มาจากเงินที่ได้จากปู?"
ปู่พยักหน้า "ใช่ บ้านนี้ไม่ได้มาจากเงินพ่อค้าใหญ่ ไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่มาจากปูตัวเล็ก ๆ พวกนั้นแหละ"
ปู่เงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะหันมามองหลานชายตรง ๆ
"เอ็งอยากหาเงินเองไหม?" ปู่ถาม
นนท์พยักหน้า "แน่นอนสิปู่! แต่ผมยังเด็ก จะไปทำอะไรได้?"
ปู่ยิ้มแล้วเอามือตบไหล่หลานชายเบา ๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า "ปู่จะสอนเอ็งจับปู"
แววตาของนนท์เป็นประกาย
"จริงเหรอปู่!?"
"จริงสิ" ปู่ยิ้ม "พรุ่งนี้เช้า ตื่นแต่ไก่โห่ แล้วปู่จะพาไปดูว่า ปูที่เปลี่ยนชีวิตปู่มาแล้ว มันจะเปลี่ยนชีวิตเอ็งได้ยังไง"
นนท์แทบรอไม่ไหว เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า "ปู" ที่ดูเหมือนจะเป็นสัตว์เล็ก ๆ ธรรมดา จะสามารถเปลี่ยนชีวิตของใครบางคนได้
แต่วันพรุ่งนี้... เขากำลังจะได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง
เมื่อสิ่งที่เคยเล็ก... กลายเป็นระบบขนาดใหญ่หลังจากผ่านช่วงเวลาที่นนท์เรียนรู้ที่จะ “ปรับสมดุลชีวิต” ของตัวเอง (ฉากที่ 44) แม้เขาจะไม่วิ่งตามความสำเร็จแบบเดิมอีกแล้ว แต่เมื่อเขากลับมามองรอบตัว เขาพบว่า...สิ่งที่เขาสร้างไว้ทั้งหมด... มันใหญ่กว่าที่เขาเคยคิดโรงเลี้ยงปู 3 แห่งร้านอาหารในจังหวัดบ้านเกิดจุดกระจายสินค้าใน 4 จังหวัดเครือข่ายชาวประมงรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมระบบกว่า 40 ครัวเรือนทีมงานประจำกว่า 20 ชีวิตเยาวชนที่มาฝึกงานและขอแรงบันดาลใจอีกนับไม่ถ้วนทุกระบบและทุกคน... ล้วนมี "หัวใจ" ผูกอยู่กับ "ปูเปลี่ยนชีวิต"“เราไม่ได้ดูแลแค่ปูในบ่อแล้ว...แต่เรากำลังดูแล ‘ชีวิตจริง ๆ’ ของคนอีกมากมาย”การประชุมประจำปี — ที่มีน้ำตามากกว่าตัวเลขในห้องประชุมขนาดเล็กหลังฟาร์ม นนท์นั่งตรงกลางล้อมด้วยคนในระบบ ไม่ใช่นักลงทุน ไม่ใช่ซีอีโอ แต่เป็นลุงต่าย ชาวประมงผู้เริ่มเลี้ยงปูตามแนวทางของนนท์ป้าจันทร์ แม่บ้านที่คัดปูส่งร้านมานานกว่า 3 ปีไอ้ป่อง ที่กลายเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดส่งเด็ก ๆ จากโรงเรียนที่มาฝึกงานเป็นปีที่ 2ทุกคนนั่งล้อมวง ไม่มีโต๊ะยาว ไม่มีโปรเจกเตอร์ แต่มีใจ... ที่ฟังกันด้วยความเงียบที
หลังการเสียสละครั้งใหญ่ ทุกอย่างช้าลง… แต่เบาสบายขึ้นหลังจากที่นนท์ตัดสินใจปฏิเสธการขยายแฟรนไชส์ทั่วประเทศ (ในฉากที่ 43) เขายกเลิกแผนหลายอย่าง ปล่อยบางสิ่งที่เคยถือไว้แน่น ทีมงานบางส่วนแยกย้ายไปเริ่มสิ่งใหม่ของตัวเองกิจการ “ปูเปลี่ยนชีวิต” ยังอยู่แต่เล็กลงและนิ่งขึ้น ไม่เร่งรีบเหมือนเก่า แต่ทุกคนในทีม... ยิ้มได้ง่ายขึ้นเปลี่ยนเวลาเร่งด่วน เป็นเวลาใส่ใจก่อนปรับหลังปรับประชุม 5 รอบ/วันประชุม 2 รอบสำคัญเท่านั้นวิ่งตามออเดอร์คัดลูกค้าเฉพาะรายที่ “เห็นคุณค่า”จัดการบัญชีเองทุกคืนแบ่งงานให้ทีม + ตรวจสรุปรายสัปดาห์ไม่ได้กินข้าวกับแม่เลยมีวันละ 1 มื้อที่ “ต้องกินข้าวพร้อมแม่”ไม่มีเวลาอยู่กับตัวเองจัด “เวลานิ่ง” ทุกเช้า-เย็นตารางชีวิตของนนท์ถูกปรับใหม่หมด“ระบบ” ที่ดีขึ้น เพราะไม่พยายามทำทุกอย่างเองนนท์เริ่มนำแนวคิด “ช้าแต่ชัด” มาใช้กับธุรกิจ เขาย้ำกับทีมว่า“เราไม่ใช่คนขายปูที่เร็วที่สุด แต่เราจะเป็นคนขายปูที่ ‘เข้าใจตัวเอง’ มากที่สุด”เขาให้สิทธิ์ทีมตัดสินใจแทนในหลายเรื่อง ไม่กังวลว่าจะผิดเพราะเขารู้ว่า...“ถ้าเราทำให้ทีมมีชีวิตที่ดี พวกเขาจะช่วยดูแลแบรนด์ให้เหมือนชีวิตของตัว
เมื่อทุกอย่างเริ่มเดินได้ แต่หัวใจเริ่มแบกไม่ไหวหลังจากการสูญเสียปู่ (ฉากที่ 42) แม้แบรนด์ “ปูเปลี่ยนชีวิต” จะยังดำเนินต่อ ลูกค้าใหม่ยังเข้ามา ทีมงานยังทำงานเต็มที่ยอดขายยังดี สาขาเริ่มกระจายไปยังจังหวัดต่าง ๆแต่… ภายในใจนนท์กลับรู้สึกว่า“เรากำลังเหนื่อยกับสิ่งที่เรารัก... จนเริ่มไม่รักมันแล้ว”เขารู้สึกว่าเขาแทบไม่มีเวลาให้กับแม่เลยเขาไม่ได้ดูแลบ่อปูด้วยตัวเองเหมือนเมื่อก่อนเขาไม่ได้คุยเล่นกับเด็ก ๆ ที่เคยสอนจับปูเขาไม่ได้ “ยิ้ม” กับสิ่งที่เขาทำเหมือนเดิมมันเหมือนทุกอย่าง "โตขึ้น" แต่เขา... “ค่อย ๆ หายไปจากความตั้งใจแรก”จุดเปลี่ยน: คำถามจากเด็กชายคนหนึ่งวันหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งที่เคยมาเยี่ยมฟาร์มเดินเข้ามาหานนท์ขณะที่เขากำลังเดินตรวจบ่อ"พี่นนท์ครับ… ถ้าหนูอยากโตขึ้นเป็นเหมือนพี่ ต้องเริ่มยังไง?"นนท์ยิ้มแล้วตอบแบบเดิม"เริ่มจากปูตัวเดียว แล้วตั้งใจจริง ๆ กับมัน"แต่เด็กชายกลับถามต่อ…"แล้วตอนพี่เหนื่อย พี่มีใครให้คุยด้วยไหมครับ?"คำถามนั้นแทงทะลุใจเพราะตอนนี้ เขาแทบไม่มีเวลาคุยกับตัวเองด้วยซ้ำจุดตัดสินใจ: ข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธช่วงเวลานั้นเอง เขาได้รับข้อเสนอจากกลุ่มนักลง
เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน — และไม่มีใครเตรียมใจทันหลังจากช่วงเวลายุ่งวุ่นวายกับการขยายธุรกิจ นนท์ก็แทบไม่มีเวลาอยู่บ้าน แม้จะพยายามกลับมาใกล้ครอบครัวมากขึ้น (ฉากที่ 41) แต่ด้วยภาระ ความคาดหวัง และความสำเร็จที่โตแบบไม่หยุด เขาก็ยัง “พลาดบางช่วงเวลาสำคัญไปอยู่ดี”วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังเซ็นเอกสารร่วมทุนกับพันธมิตรจากต่างจังหวัด พี่ตั้มก็เดินเข้ามา หน้าซีด และพูดเพียงเบา ๆ“ปู่เข้าโรงพยาบาล…”โรงพยาบาลเล็ก ๆ ริมจังหวัด — เตียงเงียบ ๆ กับเสียงหัวใจที่เต้นแผ่วนนท์รีบวิ่งเข้าไปหา ในสายตาเห็นปู่นอนนิ่ง มีสายน้ำเกลืออยู่เต็มแขน คุณหมอแจ้งว่า…“คุณปู่หัวใจอ่อนล้ามานาน และมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด เราพยายามเต็มที่แล้ว แต่ร่างกายท่านตอบสนองช้ากว่าที่คาดไว้มาก”เขานั่งลงข้างเตียง จับมือปู่ที่เย็นลงกว่าเดิม ก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่น“ขอโทษนะครับปู่... ผมมัวแต่ทำงาน จนไม่ได้มาเยี่ยมปู่เลยช่วงนี้…”ปู่ไม่ตอบ แต่ลืมตามองเขาเล็กน้อย และยิ้มเบา ๆคำพูดสุดท้าย... ที่เป็นเหมือนบทสรุปของทั้งชีวิตนนท์โน้มหน้าลง น้ำตาไหลข้างแก้ม ก่อนที่ปู่จะเอ่ยกระซิบเบา ๆ ว่า“เงินซื้อปูได้เป็นร้อยกิโล แต่ซื้อ ‘เวลา’ กินข้าว
ตารางที่แน่นทุกช่อง… แต่ช่องในใจกำลังว่างเปล่าหลังจากการขยายแบรนด์ การเปิดร้านอาหาร การรับมือกับคู่แข่ง ตารางชีวิตของนนท์ก็แน่นเอี๊ยดทุกวัน06:00 น. ตื่นเช้าตรวจบ่อปู08:00 น. ประชุมกับทีม10:00 น. ถ่ายทำคลิปโปรโมต12:00 น. รับลูกค้ากลุ่มศึกษาดูงาน14:00 น. ประชุมสาขา17:00 น. เช็กคุณภาพวัตถุดิบ20:00 น. ตอบลูกค้าในเพจ23:00 น. ยังไม่ได้นอนเขาเริ่มเหนื่อยล้าแบบไม่รู้ตัว แต่ที่หนักกว่าก็คือ... เขากำลัง "ลืม" ว่าใครอยู่ใกล้ที่สุดคำพูดสั้น ๆ จากแม่ — แรงที่สุดในรอบปีคืนหนึ่งนนท์กลับถึงบ้านเกือบเที่ยงคืน แสงไฟในครัวยังเปิดอยู่ แม่ยังนั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหาร… กับจานข้าวเย็น ๆ หนึ่งจานแม่เงยหน้าขึ้น เห็นลูกชายเดินผ่านโดยไม่มองก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า“ถ้าลูกยังมีเวลาให้คนทั้งประเทศ…แม่ขอแค่วันหนึ่ง หนูมีเวลาให้แม่บ้างได้ไหม?”นนท์หยุดนิ่ง เหมือนโลกหยุดหมุน หันกลับมาช้า ๆ แล้วเห็นแม่มีน้ำตาคลอในตาแม่ยิ้ม “ไม่เป็นไรนะลูก แม่เข้าใจ… แม่แค่คิดถึง”ห้องนอนที่ไม่ได้ใช้ — หัวใจที่ไม่ได้พักคืนนั้นนนท์เข้าไปในห้องนอนที่เขาเคยใช้ เขาพบว่าสิ่งของเดิมยังอยู่ครบแต่มีฝุ่นบาง ๆ เกาะที่ขอบโต๊ะ"นานแค่ไหนแล้ว…
ข่าวลือที่เริ่มแทรกเข้ามาในช่วงที่ร้าน “ปูเปลี่ยนชีวิต” เริ่มมีชื่อเสียง มีลูกค้าแวะมาถ่ายรูป ลงรีวิว และแชร์ในโลกออนไลน์ เพจเริ่มมียอดติดตามหลักแสน มีการนำชื่อร้านไปพูดถึงในคลาสเรียนวิชาการตลาดของมหาวิทยาลัยแต่แล้ว…ก็มีเสียงแปลก ๆ เริ่มแว่วเข้ามาในวงในของอุตสาหกรรมอาหารทะเล“ช่วงนี้มีแบรนด์ใหม่กำลังมาแรงนะ ใช้แนวคิดคล้ายๆ กับปูเปลี่ยนชีวิตเลย”“เขาเอาปูจากทะเลอันดามันมาแพ็คใหม่ ใส่แบรนด์เหมือนกันเลย แต่ออกแบบหรูหรากว่า ชื่อแบรนด์ว่า Blue Crab Revival เปิดตัวเร็วมาก และมีเงินทุนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง”เมื่อข้อมูลเริ่มชัดเจน — และคู่แข่งเริ่มบุกตลาดเดียวกันพี่ตั้มเปิดโน้ตบุ๊กให้นนท์ดูหน้าเว็บไซต์ของ “Blue Crab Revival” ที่ถูกออกแบบอย่างมืออาชีพโลโก้เป็นภาพปูเรืองแสงใช้คอนเซปต์ “ชีวิตคนเปลี่ยนได้ด้วยปู”มีคลิปวิดีโอเลี้ยงปูในระบบปิด (สวยงามแต่แสดงไม่หมด)การจัดส่งใช้บริการระดับพรีเมียมและที่สำคัญ...“เขาใช้คำว่า 'From Hope to Plate' — แนวเดียวกับ ‘สดจากใจ เปลี่ยนได้ทุกชีวิต’ ของเราเลยพี่”และพบว่าเจ้าของคือ... “คนที่เคยติดต่อมาขอลงทุน”พี่ตั้มค้นข้อมูลเจ้าของบริษัทพบว่า “Blue Crab