บ้านของนนท์ตั้งอยู่สุดซอยของหมู่บ้านชาวประมง มันไม่ใช่บ้านหลังใหญ่โต ไม่มีรั้ว ไม่มีประตูเหล็ก ไม่มีห้องแอร์ที่เย็นฉ่ำ มีเพียงบ้านไม้ยกพื้นสูง ตั้งอยู่ริมคลองเล็ก ๆ ที่เชื่อมต่อกับทะเล
หลังคาสังกะสีเก่ามีรอยสนิมขึ้นตามกาลเวลา เวลาฝนตกเสียงหยดน้ำกระทบหลังคาดังก้องไปทั้งบ้าน บางคืนถ้าฝนตกหนัก นนท์ต้องเอากะละมังมาวางรองน้ำฝนที่หยดลงจากรอยรั่ว
กลิ่นทะเลคือกลิ่นที่ติดอยู่ทุกซอกทุกมุมของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นลมที่พัดมาในตอนเช้า หรือกลิ่นคาวจากอวนและตาข่ายดักปูที่แขวนตากแดดอยู่ตรงเสาหน้าบ้าน ทุกอย่างที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวประมง ไม่มีอะไรหรูหรา แต่มันคือ "บ้าน" ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย
เมื่อเปิดประตูเข้าไป จะพบกับพื้นไม้เก่าที่ลั่นเอี๊ยดทุกครั้งที่เดินผ่าน กลางบ้านมีโต๊ะไม้ตัวยาวที่ใช้ทั้งกินข้าว ทำการบ้าน และบางวันก็เป็นที่ซ่อมอุปกรณ์จับปลา
ผนังบ้านประดับด้วยของเก่า ๆ ภาพขาวดำของพ่อที่จากไปตั้งแต่นนท์ยังเล็กแขวนอยู่ข้างกรอบหน้าต่าง ข้าง ๆ กันคือภาพถ่ายเก่าของปู่ตอนที่ยังเป็นหนุ่ม ยืนถือแหจับปลาพร้อมกับรอยยิ้มที่เปื้อนเหงื่อ
ในครัว แม่กำลังยืนหั่นปลา เสียงเขียงกระทบมีดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ กลิ่นหอมของน้ำพริกปลาทูที่กำลังถูกโขลกโชยมาจากครกใบเก่า แม่ชอบทำอาหารทะเล เพราะมันคือสิ่งที่มีอยู่รอบตัว และเป็นของที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อ
"นนท์ มาล้างจาน!"
เสียงแม่ตะโกนมา ทำให้เด็กชายสะดุ้งจากความคิด
"ครับแม่!" นนท์ตอบก่อนจะวิ่งไปที่ครัว
ล้างจานเสร็จ เขามักจะออกไปนั่งตรงระเบียงบ้าน มองดูเรือประมงลำเล็ก ๆ ของชาวบ้านที่พายกลับเข้าฝั่ง บางคนยกถังปู บางคนได้แค่ปลาตัวเล็ก ๆ กลับบ้าน ทุกคนที่นี่ทำงานหนัก แต่ไม่มีใครบ่น
บ้านหลังนี้เป็นทุกอย่างสำหรับนนท์ มันเป็นที่ที่เขาเติบโตมา ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของคนชายฝั่ง และที่สำคัญ มันเป็นที่ที่เขาได้รู้จักกับ “ปู” เป็นครั้งแรก
ทุกเช้า นนท์จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงคลื่นทะเลที่กระทบฝั่ง ลมเย็น ๆ จากทะเลทำให้เขารู้สึกสดชื่น แม้จะเป็นเพียงบ้านไม้เก่า ๆ แต่สำหรับนนท์แล้ว มันคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
วันหนึ่ง ขณะที่นนท์นั่งเล่นอยู่ที่ระเบียงบ้าน ปู่ก็เดินมานั่งข้าง ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า
"เอ็งรู้ไหม ไอ้หนู... บ้านหลังนี้สร้างมาจากเงินที่ปู่จับปูขายเมื่อก่อนนะ"
นนท์หันมามองปู่ด้วยสายตาสงสัย
"จริงเหรอปู่?"
ปู่หัวเราะ "จริงสิ ปูตัวเล็ก ๆ พวกนั้นเลี้ยงคนทั้งบ้านมาหลายรุ่นแล้ว ถ้าเอ็งอยากหาเงิน ก็ต้องรู้จักใช้ชีวิตให้เป็น"
นนท์ไม่ได้ตอบอะไร แต่คำพูดของปู่ทำให้เขาเริ่มคิด...
ปูจะเลี้ยงปากท้องของเขาได้จริง ๆ หรือ?
นี่คือจุดเริ่มต้นของความคิดที่ทำให้ชีวิตของนนท์เปลี่ยนไปตลอดกาล
เมื่อสิ่งที่เคยเล็ก... กลายเป็นระบบขนาดใหญ่หลังจากผ่านช่วงเวลาที่นนท์เรียนรู้ที่จะ “ปรับสมดุลชีวิต” ของตัวเอง (ฉากที่ 44) แม้เขาจะไม่วิ่งตามความสำเร็จแบบเดิมอีกแล้ว แต่เมื่อเขากลับมามองรอบตัว เขาพบว่า...สิ่งที่เขาสร้างไว้ทั้งหมด... มันใหญ่กว่าที่เขาเคยคิดโรงเลี้ยงปู 3 แห่งร้านอาหารในจังหวัดบ้านเกิดจุดกระจายสินค้าใน 4 จังหวัดเครือข่ายชาวประมงรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมระบบกว่า 40 ครัวเรือนทีมงานประจำกว่า 20 ชีวิตเยาวชนที่มาฝึกงานและขอแรงบันดาลใจอีกนับไม่ถ้วนทุกระบบและทุกคน... ล้วนมี "หัวใจ" ผูกอยู่กับ "ปูเปลี่ยนชีวิต"“เราไม่ได้ดูแลแค่ปูในบ่อแล้ว...แต่เรากำลังดูแล ‘ชีวิตจริง ๆ’ ของคนอีกมากมาย”การประชุมประจำปี — ที่มีน้ำตามากกว่าตัวเลขในห้องประชุมขนาดเล็กหลังฟาร์ม นนท์นั่งตรงกลางล้อมด้วยคนในระบบ ไม่ใช่นักลงทุน ไม่ใช่ซีอีโอ แต่เป็นลุงต่าย ชาวประมงผู้เริ่มเลี้ยงปูตามแนวทางของนนท์ป้าจันทร์ แม่บ้านที่คัดปูส่งร้านมานานกว่า 3 ปีไอ้ป่อง ที่กลายเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดส่งเด็ก ๆ จากโรงเรียนที่มาฝึกงานเป็นปีที่ 2ทุกคนนั่งล้อมวง ไม่มีโต๊ะยาว ไม่มีโปรเจกเตอร์ แต่มีใจ... ที่ฟังกันด้วยความเงียบที
หลังการเสียสละครั้งใหญ่ ทุกอย่างช้าลง… แต่เบาสบายขึ้นหลังจากที่นนท์ตัดสินใจปฏิเสธการขยายแฟรนไชส์ทั่วประเทศ (ในฉากที่ 43) เขายกเลิกแผนหลายอย่าง ปล่อยบางสิ่งที่เคยถือไว้แน่น ทีมงานบางส่วนแยกย้ายไปเริ่มสิ่งใหม่ของตัวเองกิจการ “ปูเปลี่ยนชีวิต” ยังอยู่แต่เล็กลงและนิ่งขึ้น ไม่เร่งรีบเหมือนเก่า แต่ทุกคนในทีม... ยิ้มได้ง่ายขึ้นเปลี่ยนเวลาเร่งด่วน เป็นเวลาใส่ใจก่อนปรับหลังปรับประชุม 5 รอบ/วันประชุม 2 รอบสำคัญเท่านั้นวิ่งตามออเดอร์คัดลูกค้าเฉพาะรายที่ “เห็นคุณค่า”จัดการบัญชีเองทุกคืนแบ่งงานให้ทีม + ตรวจสรุปรายสัปดาห์ไม่ได้กินข้าวกับแม่เลยมีวันละ 1 มื้อที่ “ต้องกินข้าวพร้อมแม่”ไม่มีเวลาอยู่กับตัวเองจัด “เวลานิ่ง” ทุกเช้า-เย็นตารางชีวิตของนนท์ถูกปรับใหม่หมด“ระบบ” ที่ดีขึ้น เพราะไม่พยายามทำทุกอย่างเองนนท์เริ่มนำแนวคิด “ช้าแต่ชัด” มาใช้กับธุรกิจ เขาย้ำกับทีมว่า“เราไม่ใช่คนขายปูที่เร็วที่สุด แต่เราจะเป็นคนขายปูที่ ‘เข้าใจตัวเอง’ มากที่สุด”เขาให้สิทธิ์ทีมตัดสินใจแทนในหลายเรื่อง ไม่กังวลว่าจะผิดเพราะเขารู้ว่า...“ถ้าเราทำให้ทีมมีชีวิตที่ดี พวกเขาจะช่วยดูแลแบรนด์ให้เหมือนชีวิตของตัว
เมื่อทุกอย่างเริ่มเดินได้ แต่หัวใจเริ่มแบกไม่ไหวหลังจากการสูญเสียปู่ (ฉากที่ 42) แม้แบรนด์ “ปูเปลี่ยนชีวิต” จะยังดำเนินต่อ ลูกค้าใหม่ยังเข้ามา ทีมงานยังทำงานเต็มที่ยอดขายยังดี สาขาเริ่มกระจายไปยังจังหวัดต่าง ๆแต่… ภายในใจนนท์กลับรู้สึกว่า“เรากำลังเหนื่อยกับสิ่งที่เรารัก... จนเริ่มไม่รักมันแล้ว”เขารู้สึกว่าเขาแทบไม่มีเวลาให้กับแม่เลยเขาไม่ได้ดูแลบ่อปูด้วยตัวเองเหมือนเมื่อก่อนเขาไม่ได้คุยเล่นกับเด็ก ๆ ที่เคยสอนจับปูเขาไม่ได้ “ยิ้ม” กับสิ่งที่เขาทำเหมือนเดิมมันเหมือนทุกอย่าง "โตขึ้น" แต่เขา... “ค่อย ๆ หายไปจากความตั้งใจแรก”จุดเปลี่ยน: คำถามจากเด็กชายคนหนึ่งวันหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งที่เคยมาเยี่ยมฟาร์มเดินเข้ามาหานนท์ขณะที่เขากำลังเดินตรวจบ่อ"พี่นนท์ครับ… ถ้าหนูอยากโตขึ้นเป็นเหมือนพี่ ต้องเริ่มยังไง?"นนท์ยิ้มแล้วตอบแบบเดิม"เริ่มจากปูตัวเดียว แล้วตั้งใจจริง ๆ กับมัน"แต่เด็กชายกลับถามต่อ…"แล้วตอนพี่เหนื่อย พี่มีใครให้คุยด้วยไหมครับ?"คำถามนั้นแทงทะลุใจเพราะตอนนี้ เขาแทบไม่มีเวลาคุยกับตัวเองด้วยซ้ำจุดตัดสินใจ: ข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธช่วงเวลานั้นเอง เขาได้รับข้อเสนอจากกลุ่มนักลง
เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน — และไม่มีใครเตรียมใจทันหลังจากช่วงเวลายุ่งวุ่นวายกับการขยายธุรกิจ นนท์ก็แทบไม่มีเวลาอยู่บ้าน แม้จะพยายามกลับมาใกล้ครอบครัวมากขึ้น (ฉากที่ 41) แต่ด้วยภาระ ความคาดหวัง และความสำเร็จที่โตแบบไม่หยุด เขาก็ยัง “พลาดบางช่วงเวลาสำคัญไปอยู่ดี”วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังเซ็นเอกสารร่วมทุนกับพันธมิตรจากต่างจังหวัด พี่ตั้มก็เดินเข้ามา หน้าซีด และพูดเพียงเบา ๆ“ปู่เข้าโรงพยาบาล…”โรงพยาบาลเล็ก ๆ ริมจังหวัด — เตียงเงียบ ๆ กับเสียงหัวใจที่เต้นแผ่วนนท์รีบวิ่งเข้าไปหา ในสายตาเห็นปู่นอนนิ่ง มีสายน้ำเกลืออยู่เต็มแขน คุณหมอแจ้งว่า…“คุณปู่หัวใจอ่อนล้ามานาน และมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด เราพยายามเต็มที่แล้ว แต่ร่างกายท่านตอบสนองช้ากว่าที่คาดไว้มาก”เขานั่งลงข้างเตียง จับมือปู่ที่เย็นลงกว่าเดิม ก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่น“ขอโทษนะครับปู่... ผมมัวแต่ทำงาน จนไม่ได้มาเยี่ยมปู่เลยช่วงนี้…”ปู่ไม่ตอบ แต่ลืมตามองเขาเล็กน้อย และยิ้มเบา ๆคำพูดสุดท้าย... ที่เป็นเหมือนบทสรุปของทั้งชีวิตนนท์โน้มหน้าลง น้ำตาไหลข้างแก้ม ก่อนที่ปู่จะเอ่ยกระซิบเบา ๆ ว่า“เงินซื้อปูได้เป็นร้อยกิโล แต่ซื้อ ‘เวลา’ กินข้าว
ตารางที่แน่นทุกช่อง… แต่ช่องในใจกำลังว่างเปล่าหลังจากการขยายแบรนด์ การเปิดร้านอาหาร การรับมือกับคู่แข่ง ตารางชีวิตของนนท์ก็แน่นเอี๊ยดทุกวัน06:00 น. ตื่นเช้าตรวจบ่อปู08:00 น. ประชุมกับทีม10:00 น. ถ่ายทำคลิปโปรโมต12:00 น. รับลูกค้ากลุ่มศึกษาดูงาน14:00 น. ประชุมสาขา17:00 น. เช็กคุณภาพวัตถุดิบ20:00 น. ตอบลูกค้าในเพจ23:00 น. ยังไม่ได้นอนเขาเริ่มเหนื่อยล้าแบบไม่รู้ตัว แต่ที่หนักกว่าก็คือ... เขากำลัง "ลืม" ว่าใครอยู่ใกล้ที่สุดคำพูดสั้น ๆ จากแม่ — แรงที่สุดในรอบปีคืนหนึ่งนนท์กลับถึงบ้านเกือบเที่ยงคืน แสงไฟในครัวยังเปิดอยู่ แม่ยังนั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหาร… กับจานข้าวเย็น ๆ หนึ่งจานแม่เงยหน้าขึ้น เห็นลูกชายเดินผ่านโดยไม่มองก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า“ถ้าลูกยังมีเวลาให้คนทั้งประเทศ…แม่ขอแค่วันหนึ่ง หนูมีเวลาให้แม่บ้างได้ไหม?”นนท์หยุดนิ่ง เหมือนโลกหยุดหมุน หันกลับมาช้า ๆ แล้วเห็นแม่มีน้ำตาคลอในตาแม่ยิ้ม “ไม่เป็นไรนะลูก แม่เข้าใจ… แม่แค่คิดถึง”ห้องนอนที่ไม่ได้ใช้ — หัวใจที่ไม่ได้พักคืนนั้นนนท์เข้าไปในห้องนอนที่เขาเคยใช้ เขาพบว่าสิ่งของเดิมยังอยู่ครบแต่มีฝุ่นบาง ๆ เกาะที่ขอบโต๊ะ"นานแค่ไหนแล้ว…
ข่าวลือที่เริ่มแทรกเข้ามาในช่วงที่ร้าน “ปูเปลี่ยนชีวิต” เริ่มมีชื่อเสียง มีลูกค้าแวะมาถ่ายรูป ลงรีวิว และแชร์ในโลกออนไลน์ เพจเริ่มมียอดติดตามหลักแสน มีการนำชื่อร้านไปพูดถึงในคลาสเรียนวิชาการตลาดของมหาวิทยาลัยแต่แล้ว…ก็มีเสียงแปลก ๆ เริ่มแว่วเข้ามาในวงในของอุตสาหกรรมอาหารทะเล“ช่วงนี้มีแบรนด์ใหม่กำลังมาแรงนะ ใช้แนวคิดคล้ายๆ กับปูเปลี่ยนชีวิตเลย”“เขาเอาปูจากทะเลอันดามันมาแพ็คใหม่ ใส่แบรนด์เหมือนกันเลย แต่ออกแบบหรูหรากว่า ชื่อแบรนด์ว่า Blue Crab Revival เปิดตัวเร็วมาก และมีเงินทุนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง”เมื่อข้อมูลเริ่มชัดเจน — และคู่แข่งเริ่มบุกตลาดเดียวกันพี่ตั้มเปิดโน้ตบุ๊กให้นนท์ดูหน้าเว็บไซต์ของ “Blue Crab Revival” ที่ถูกออกแบบอย่างมืออาชีพโลโก้เป็นภาพปูเรืองแสงใช้คอนเซปต์ “ชีวิตคนเปลี่ยนได้ด้วยปู”มีคลิปวิดีโอเลี้ยงปูในระบบปิด (สวยงามแต่แสดงไม่หมด)การจัดส่งใช้บริการระดับพรีเมียมและที่สำคัญ...“เขาใช้คำว่า 'From Hope to Plate' — แนวเดียวกับ ‘สดจากใจ เปลี่ยนได้ทุกชีวิต’ ของเราเลยพี่”และพบว่าเจ้าของคือ... “คนที่เคยติดต่อมาขอลงทุน”พี่ตั้มค้นข้อมูลเจ้าของบริษัทพบว่า “Blue Crab