อวิชชา...วิชามาร หรือ อะไรกัน
--------------------------------
ช่วงเย็นเลิกงานน้อยหน่ารีบมาที่โต๊ะของคนึงนิจได้เวลาห้าโมงตรงเผง แล้วทั้งคู่รีบออกจากตัวตึกข้ามไปฝั่งตรงข้ามสั่งอาหารจานเดียวมากินอย่างเร่งรีบ เพราะเพื่อนเธอบอกว่าบ้านหมอดูอยู่ไกลแถวนอกเมือง น่าจะแถวๆ บ้านของคนึงนิจ เส้นทางเลยออกไปทางบางบัวทอง
ทั้งสองไปถึงค่อนข้างค่ำมากเกือบทุ่มเศษ บ้านไม้สองชั้นเก่ามากตัวบ้านน่าจะเกินสามสิบปี น้อยหน่าจับมือคนึงนิจอย่างไม่แน่ใจ
“เฮ้ย...ไหนๆ มาถึงแล้ว มันจะถอยไม่ได้นะ” เธอบอกน้อยหน่าแบบใจกล้า แต่ในใจก็ตื่นเต้น หน้าตาของบ้านเหมือนบ้านผีสิง
“นี่ถ้ามาคนเดียว ฉันหนีก่อนเลย ไม่กล้าลงจากรถอ่ะ” น้อยหน่าทำหน้าหวาดกลัว
“ใครแนะนำ...”
“ป้าฉันนะสิ...”
ทั้งสองคนโผล่หน้าเข้าไปก่อน ขณะที่คนข้างในเปิดออกมาพอดี ข้างในเป็นโถงกว้างมีคนกำลังรออยู่แล้วสามคน หนึ่งในสามกำลังเข้าไปทำพิธีอยู่
“โห...นี่มูกันแบบสุดๆ เลยว่ะ” คนึงนิจมองพิธีแบบเสกคาถาร่ายภาษาที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน
“นั่นดิ...เข้าท่าไหม กลัวเสียเงินฟรี”
“ไม่ลองไม่รู้”
และแล้วผู้ชายแต่งตัวแบบพราหมณ์ห่มผ้าสีขาวผ้านุ่งแบบโจงกระเบน กวักมือเรียกสองคน
“อีหนูสองคนนั่น เข้ามาได้เลย” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยเบาๆ เหมือนคนไร้เรี่ยวแรง
“สวัสดีค่ะ...” น้อยหน่ากล่าวทักทาย แต่คนึงนิจเงียบ
“นางคนนั้น...กำลังจะมีเคราะห์” ชายเสียงแหบแห้งมองจ้องมาที่เธอ
“เอ้า...ไงเป็นอย่างนี้ล่ะคะ...”
“เราน่ะ...อยู่กับใครล่ะตอนนี้” เขาถามขึ้นจ้องตาเธอเขม็ง
“เอ่อ...อ่า...” คนึงนิจไม่ตอบ นิ่งเงียบไม่อยากเปิดเผย เพราะน้อยหน่าไม่รู้เรื่องส่วนตัวของเธอมากนัก
“อีหนู ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร...ระวังไว้ล่ะกัน” เขาเตือนด้วยน้ำเสียงกังวล
“แล้วหนูต้องทำอะไรบ้างคะ”
“ถือศีล...ละเว้นเนื้อสัตว์ ได้ไหมล่ะ อาจจะช่วยให้เคราะห์เบาลง” เขาแนะนำ
“เหรอคะ...ทำยังไงคะ”
“อย่ากินเหล้า ห้ามกินเนื้อสัตว์ ได้ไหม”
“ได้ค่ะ...แล้วหนูต้องไปถือศีลไหมคะ”
“มาถือศีลที่นี่...เสาร์อาทิตย์มาอยู่บ้านพ่อปู่นี่” เขาเรียกตัวเขาเองว่าพ่อปู่
“อีหนูนี่...มีเรื่องทุกข์ใจคู่ครองล่ะสิ” ชายชราอายุหกสิบเศษทักน้อยหน่าโดยไม่ต้องขอข้อมูล
“ค่ะ...หนูอยากให้พ่อปู่ช่วยค่ะ” เธอพูดตะกุกตะกัก
“มาถือศีลด้วยกันเสาร์อาทิตย์นี้เลย พ่อปู่จะช่วยให้ผัวเรากลับมา” เธอหันไปจ้องหน้าของคนึงนิจ แบบขอความเห็น
“เราว่างนะ เธอว่างไหม”
“ได้...จะเอาลูกไปฝากบ้านแม่เลยพรุ่งนี้วันศุกร์” น้อยหน่าตัดสินใจอย่างไม่ลังเล เพราะชายชราทำนายเรื่องของเธอทันทีโดยไม่ได้ถามอะไรก่อน
“อีหนูนี่...เอาตุ๊กตาตัวนี้ไปวางไว้ที่ห้องนอน” หมอดูผู้นี้หันหลังลุกขึ้นเดินเปิดประตูห้องเข้าไปข้างใน แล้วอุ้มตุ๊กตาหน้าสวยตัวหนึ่งออกมาทันที
จากนั้นเขาก็นั่งลงต่อหน้าคนึงนิจ ร่ายคาถาเสกเป่าอะไรบางอย่าง และอุ้มตุ๊กตาตัวเกือบเท่าทารกน้อยซึ่งเธอมีอยู่แล้วเมื่อคืนแบบนี้เลย ไม่รู้ว่าสุธนว่าที่สามีของเธอไปเอามาจากที่ไหน บอกแต่เพียงว่า ลูกน้องในสถานีตำรวจมอบให้ผู้กำกับที่เพิ่งย้ายออกไป แต่ผู้กำกับท่านนั้นรับไว้แล้วเอามาวางไว้ที่โต๊ะทำงานของสุธนแทน เขาจึงเอากลับมาให้เธอ ซึ่งน่าจะเหมาะสมกับสาวน้อยวัยยี่สิบเจ็ดอย่างเธอ
“หนูมีอยู่ตัวหนึ่ง เหมือนกันเลยค่ะ” เธอพลั้งพูดออกไป
“นั่นล่ะ...ทำให้เรามีปัญหา...เอาตัวนี้ไปแก้ให้เป็นเพื่อนกัน” เสียงแหบแห้งของเขาดูจริงจังมาก
“แล้วทุกอย่างจะไปด้วยดี”
“อีหนูคนนี้ เอาตัวนี้ไป...” ชายชรายื่นส่งตุ๊กตากุมารทองให้น้อยหน่า
“มันจะคอยตามไปกระซิบเตือนผัวเรา ไม่ให้กลับไปหาคนนั้นอีก” เสียงแหบแห้งเอ่ยอย่างมุ่งมั่นว่ามันจะได้ผล
“แล้วต้องบูชาคาถาอะไรไหมคะ”
“ไม่ต้องพ่อปู่ลงมนต์บังบดให้หมดแล้ว” เขาพูดกับน้อยหน่าไม่ให้กังวล
“หนูสองคนจะมาถึงวันเสาร์กี่โมงคะ ต้องเตรียมอะไรบ้าง” คนึงนิจสอบถาม
“ไปซื้อชุดขาวมาปฏิบัติธรรม มาเก้าโมงจะได้อาบน้ำมนต์ล้างซวย” ชายชราพูดชัดถ้อยชัดคำชัดเจนมาก
“โห...พวกหนูนี่...ขนาด ซวย เลยรึ” คนึงนิจพูดแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“พ่อปู่เรียกแบบนี้ แต่บางคนไม่ได้ซวยกันหมด แค่เบาๆ ก็มี ไม่ถึงขนาดเลือดตกยางออกหรอก” เขาหัวเราะเบาๆ
“แต่อีหนูคนนี้...” เขาหันมาที่คนึงนิจมองหน้าตาเธออย่างจับจ้อง
“เรามีเคราะห์นะ...พ่อปู่อยากให้ออกจากบ้านที่อยู่ตอนนี้สักสามเดือน”
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน” เธอพึมพำเบาๆ แบบไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ยิน
“มาปัดวิบากกรรม...เสาร์อาทิตย์นี้แล้วจะรู้เอง” เขาพูดเชิงท้าทาย
ทั้งสองคนลาชายชราที่เรียกตนเองว่าพ่อปู่ กำลังเดินกลับมาที่รถน้อยหน่าได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังจึงรับสาย
“ค่ะ...จะรีบกลับเลย” น้อยหน่าวางสายอย่างกังวล บอกเพียงว่าลูกชายร้องละเมอหาแม่ พี่เลี้ยงบอกว่าน่าจะเป็นไข้
“เธอนั่งแท็กซี่กลับบ้านเถอะ...ขอโทษทีเพื่อน” น้อยหน่าทำหน้ารู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร...ฉันจะอุ้มน้องนี่ขึ้นแท็กซี่นี่นะ...” เธอทำหน้าขำกับตัวเอง
เมื่อคนึงนิจเรียกแท็กซี่ได้เธอจึงลาน้อยหน่าที่รออยู่เพื่อให้แน่ใจว่าเพื่อนขึ้นแท็กซี่ได้แล้วจึงจะขับออกไปจากหน้าปากซอยบ้านหมอดู
“นั่นลูกเทพ...ไปเอามาจากไหนครับหนู” ลุงคนขับแท็กซี่ทักขึ้น
“คือพ่อปู่...ให้มาค่ะ” เธอตอบไปเฉยๆ
“หลายคนแล้ว ผมรับผู้โดยสารตรงหน้าปากซอยนี้ ก็อุ้มตุ๊กตานี้มาด้วย”
“ทำไมหรือคะ...”
“บางคนก็เชื่อบางคนก็ไม่เชื่อ”
“ผมคนหนึ่งที่คิดว่า ความเชื่อมันแล้วแต่คน บางทีเขาทักเรื่องที่เราทุกข์พอดี แล้วมันบังเอิญตรง...ก็คิดกันว่าแม่น” ลุงคนขับพูดยิ้มๆ
“ลุงว่า...อาชีพหลอกกินเงินไหมคะ”
“ผมว่าบางคนรวยเพราะแบบนี้”
คนึงนิจลงจากรถแท็กซี่ตรงเข้าบ้านไป ขณะที่สุธนออกมาเปิดประตูหน้าบ้านไว้รอ เธอมองเข้าไปพบว่าที่สามีอายุมากกว่าเธอเกือบสิบห้าปีกำลังนอนเอกเขนกดูทีวีอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น เขาเป็นหนุ่มใหญ่อายุสี่สิบกว่าที่เคยผ่านการมีครอบครัวมาแล้วแต่ไม่มีลูก แยกทางเดินกับภรรยาคนเก่าและมาเจอสาวน้อยเพิ่งอายุยี่สิบปลายๆ อย่างเธอ เลยขอเข้ามาเป็นคุณพ่ออุปถัมภ์แบบเปิดใจโต้งๆ กันไปเลย ส่วนสาวน้อยขณะนั้นเธอมีปัญหาครอบครัวหมุนเงินไม่พอค่าใช้จ่าย บังเอิญน้องชายจะต้องเข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัย เธอเลยตอบตกลงแบบขอให้เขาช่วยค่าใช้จ่ายของน้องชายที่เธอเป็นหนี้นอกระบบอยู่ เธอมีเงื่อนไขแบบเป็นสัญญาใจไม่ผูกมัด เพราะเธอยังไม่อยากมีสามีเป็นตัวเป็นตน
“เอ้า...ไปเอามาจากไหนอีกตัวล่ะนี่” เขาทักขึ้นเมื่อเห็นเธออุ้มตุ๊กตาหน้าสวยเข้ามาด้วย
“หมอดูให้มาค่ะ” เธอพูดขณะกำลังเปิดประตูเข้าห้องนอนชั้นล่าง
“ดี...จะได้เป็นเพื่อนกัน” เขาหัวเราะหึหึ
สุธนแอบมองสาวน้อยที่เดินหายเข้าห้องไป ในใจคิดว่าเขานี่ช่างใจดีปราณีราวกับเป็นพ่อพระ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าทำไมไม่ลงมือให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราว เด็กสาวคนนี้จะได้อยู่ในกำมือ และคำพูดซึ่งวนเวียนในใจมาตลอดก็ดังขึ้น เขายังไม่อยากบังคับเพราะไม่อยากให้เธอมองเขาในทางที่ไม่ดี เห็นแก่ตัวเป็นเหมือนเฒ่าหัวงูเลี้ยงต้อยทำนองนั้น อยากให้เธอมองเห็นความดีในตัวเขา แล้วสุดท้ายเขาจะสมหวังอย่างที่คิดไว้
คนึงนิจเปิดประตูหน้าตาตื่น ปากคอสั่นวิ่งมากอดสุธนแน่น
“คุณพ่อ...ตุ๊กตานั่น...เอ่อ...เอ่อ” เธอหลับตาเอาหน้าซุกอกเขาแน่นไม่อยากมองด้านหลัง
“ร้องกรี๊ดเสียงดังมาก...” ใจเต้นรัวหน้าซีดเหมือนเห็นผี
“หูแว่ว...ไปมั้ง”
“มัน...มัน...” เธอเหลือกตาตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นจ้องตาของชายหนุ่มว่าที่สามี
“ผมเป็นตำรวจ...ไม่ต้องกลัว...นะ” เขารั้งเธอมานั่งลงข้างๆ
“หนู...มัน...”
“ทำอะไร...”
เธอไม่กล้าบอกได้แต่ส่ายหน้าไม่ยอมหันไปมองที่ประตูเลย ได้แต่บอกว่า
“อวิ...ชา...แน่ๆ ” เธอละล่ำละลัก พูดผิดๆ ถูกๆ
“มาร...วิชา...”
ด้วยศักดิ์ศรี...จะไม่ทำอะไรเด็ดขาดถ้าเธอไม่ยอมรับ------------------------หลังจากกินข้าวเช้าที่บ้าน แม่สุภาเร่งให้สุธนพาคนึงนิจไปหาหลวงตาที่วัด แม่ของเขาไปด้วย แต่จะตามไปพร้อมป้าสำเนียงและทวี เธอรู้ว่าสุธนรู้จักหลวงตารูปนี้ดี เขาเคยมาบวชอยู่ที่วัดนี้ ท่านเป็นผู้มีอาคมขมังเวทตั้งแต่สมัยยังหนุ่มเคยไปฝึกสายกรรมฐานแถวอีสานอยู่นับสิบปี ก่อนจะกลับมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดเดิมแห่งนี้“กราบนมัสการหลวงตา...ครับ” สุธนเข้าไปนั่งกับพื้นพร้อมคนึงนิจก้มลงกราบท่าน ขณะท่านมองมาทั้งคู่อย่างยินดี“วันนี้...เราว่างหรือ” ท่านถามขึ้น“ไม่ว่างหรอกครับ แต่ผมต้องมาจัดการตามที่หลวงตาสั่งโยมแม่ไป”“เอ่อ...ไว้รอมากันให้ครบทุกคน หลวงตาจะเป่ามนต์เสกล้อมพวกเราไว้ทุกคน ไม่งั้นมันจะกลับมาเล่นงานทุกคนที่เข้าไปยุ่งกับอิหนูคนนี้” ท่านกล่าวเตือน“โยม...ไม่นาน จะกลับมาหาหลวงตาอีก”“ทำไมหรือครับ...”“ไม่มีอะไร...จะกลับมา... หลวงตาต้องเรียก โยมผู้กำกับ” ท่านหัวเราะเสียงแห้ง“โอ...จริงหรือครับ”“ตอนนี้...มีใครเป็นใหญ่ในสน.ล่ะ”“ยังไม่มีคำสั่งลงมาครับ...ผมรักษาการแทน” สุธนตอบ“นั่นล่ะ...วิบากของโยมกำลังตามมา...ระวังด้วย อิหนูนี
เพราะสายลมนี้ทำให้ฝันถึงผู้หญิงคนหนึ่ง------------------------รุ่งขึ้นแม่สุภาพาคนึงนิจสาวน้อยที่นางคิดว่าเธอต้องถูกหมอดูเสกคาถาใส่ทำให้เธอกลายเป็นคนสติไม่อยู่กับตัว“กินข้าวแล้ว แม่จะพาเธอไปพบหลวงตาที่วัด” แม่ของสุธนพูดกับเขาเสียงเบา ไม่อยากให้สาวน้อยของเขาได้ยิน“ครับ...ฝากแม่ดูแลเธอด้วยนะครับ” เขายังดูกังวลกับเธอ“แม่จะให้สำเนียงไปด้วย เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยแม่ดูแล” แม่เขาดูกังวลเช่นกัน“ขอบคุณครับ วันนี้ผมมีประชุมทั้งวัน เสร็จงานจะรีบกลับมา อาจค้างที่นี่อีกคืนถ้าถึงดึก”แม่ไปเรียกป้าสำเนียงข้างบ้านให้มาอยู่เป็นเพื่อนคนึงนิจ ส่วนนางรีบโทรไปหามัคนายกที่ดูแลปรนนิบัติหลวงตา โชคดีที่วันนี้หลวงตาไม่มีกิจนิมนต์ เธอจึงรีบพาสาวน้อยออกจากบ้านให้หลานชายลูกป้าสำเนียงขับรถไปส่งหลวงตามองดูสาวน้อยที่เดินตามสุภาเข้ามานั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าท่าน ขณะเธอกำลังก้มลงกราบท่านจึงทักขึ้นทันที“โยม...พานางหนูนี่มาทำไม...”“อิฉันเห็นว่า อาการมันแปลกๆ คะ หลวงตา”“ลูกสาวโยมรึ” ท่านมีสีหน้ากังวล“ไม่ใช่ค่ะ...เป็นแฟนของลูกชาย”“จะอยู่ที่นี่นานไหม...ต้องทำพิธีถอนมนต์ดำ” ท่านบอกกับสุภา“ให้พ่อหนุ่มไปเอาไข่ไก่มา..
แผงอกอุ่นนี้...จะให้ไอรักซึมซาบเข้าไปในหัวใจเธอ...สักวัน------------------------คนึงนิจสาวน้อยนอนกอดสุธนตั้งแต่เธอยังไม่หลับจนหลับไปจนถึงรุ่งเช้า หนุ่มใหญ่เช่นเขาเริ่มใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาสองสามวัน ไปทำงานก็ยังคิดถึงเป็นห่วงเธอ กังวลว่าเธอจะเป็นอะไรมากกว่านี้ไหม บางครั้งต้องให้จ่าแดงคนสนิทที่รู้เรื่องส่วนตัวของเขามากกว่าทุกคน โทรมาหาป้าสมใจคอยถามเรื่องอาหารการกินและอาการของเธอ เขาพยายามบอกให้ป้าสมใจหลอกล่อให้เธอกินยาตามที่หมอสั่งเช้าวันนี้เขารู้สึกไม่อยากไปทำงาน แต่อยากพาสาวน้อยคนนี้ไปเที่ยวนอกเมืองแถวบ้านเดิมของเขาก่อนเข้าตัวเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี พาเธอไปพบแม่ของเขาที่อายุค่อนมากแล้ว ท่านอยู่กับหลานสาวอายุสิบเจ็ดปี“หนูนิจ วันนี้ไปเที่ยวกันนะ” เขาเอ่ยปากชวนระหว่างกินข้าวมื้อเช้าด้วยกัน“เหรอคะ...ที่ไหน” เธอแต่งตัวสวยเหมือนพร้อมออกบ้าน“ไปบ้านแม่ผม...ไม่ไกลจากนี่สักหนึ่งชั่วโมงก็ถึง ไปทานข้าวบ้านแม่ ท่านทำอาหารอร่อยนะ” เขาเอ่ยชวนเธอ“ดีจังค่ะ...”“ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ชุดนี้สวยดีแล้ว” เขาบอกเธอ และหันไปสั่งป้าสมใจให้ขึ้นไปเอายาลงมา เขาจะเอาไปด้วย“หนูต้องทำอะไรบ้าง เวลาเจ
จะกลายเป็นเพื่อนใจตัวร้าย...ในวันที่เธอหายดี------------------------น้อยหน่าทำเรื่องลางานให้คนึงนิจส่งไปที่ฝ่ายบุคคล และคนที่ลงชื่ออนุมัติคือมาร์คุส ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัทที่เธออยู่ใต้สายงานโดยตรง มาร์คุสสงสัยว่าทำไมสาวน้อยที่มีภารกิจต้องดูแลประสานงานกับลูกค้าช่วยเขา ไม่มาทำงานวันที่สองแล้ว“ให้คุณชนากานต์ขึ้นมาพบผมตอนบ่ายสามโมง” เขาสั่งเลขาให้ตามน้อยหน่ามาพบเพื่อสอบถาม“คุณชนากานต์ลาช่วงบ่ายแล้วค่ะ บอส” เลขาตอบเขา“โทรหาเธอเลย”เลขาติดต่อน้อยหน่าได้แล้วโอนสายให้เขา...“คุณนิจเป็นอะไรไม่มาทำงาน ลาพักร้อน” เขาถามด้วยความสงสัย เพราะมีงานหลายอย่างที่ยังคั่งค้าง“เธอไม่สบายค่ะ บอส”“เป็นอะไร...มากหรือ” เขาพูดภาษาไทยได้ชัดเจน เพราะอยู่ที่นี่เกือบห้าปี“บอสอยากไปเยี่ยมไหมคะ”“เธออยู่บ้านตรงไหน ส่งโลเคชั่นมาให้ ผมจะให้คนขับรถไปดูพรุ่งนี้”รุ่งขึ้นสุธนฝากให้ป้าสมใจดูแลเรื่องอาหารการกิน เขาบอกให้สั่งจากร้านในหมู่บ้านมาส่งไม่ต้องทำกับข้าวให้ลำบาก เขามีภารกิจประชุมเรื่องคดีสำคัญทั้งวัน จึงไม่มีเวลาที่จะโทรสอบถาม แต่สั่งให้ป้าโทรกลับไปถ้าเธอมีอาการผิดปกติมาร์คุสนายใหญ่ของคนึงนิจให้คนขับรถไ
ทำหัวใจกระเจิง-------------------สุธนมองจ้องหน้าคนึงนิจสาวน้อยนัยน์ตาคมขนตาเป็นแพยาว ผิวสีน้ำผึ้งของเธอขับกับรูปใบหน้าเหลี่ยมจมูกมีสันเล็กน้อย แก้มแดงเรื่อๆ องค์ประกอบบนใบหน้าของเธอได้รูปเป็นสาวยุคใหม่ที่สวยสะอาง แต่ตอนนี้สติของเธอไม่ได้เรื่องได้ราวไปเสียแล้ว เขาเกิดความกลัวจนไม่น่าเป็นไปได้ พื้นอารมณ์ที่นิ่งสุขุมของเขาจากอาชีพและอุปนิสัยแต่เดิมนั้น ทำให้เขาไม่เคยหวาดกลัวอะไรมาก่อนเท่านี้ หรือเป็นเพราะเขาเริ่มใกล้ชิดเธอในความสัมพันธ์เพียงแค่สามเดือนที่ผ่านมาเขาตัดสินใจเขียนข้อความไปในแช็ตถึงน้อยหน่าเพื่อนของเธอ“ผมอยากขอให้คุณช่วยลางานพักร้อนให้นิจได้ไหมครับ”“ค่ะ...จะลองถามฝ่ายบุคคลดูก่อนนะคะ”“พรุ่งนี้จะแจ้งคุณนะคะ”เขาต้องหาคนมาอยู่เฝ้าเธอ ท่าทางแบบนี้ไม่น่าไว้ใจแล้ว เขาจึงโทรขอให้ป้าที่ทำความสะอาดในสำนักงานช่วยหาคนมาดูแลเธอด่วน“นิจ...ผมจะหาคนมาเฝ้าคุณนะ” เขาบอกเธอ วันนี้เขาไม่ได้ไปทำงาน สั่งงานทางออนไลน์“ไม่ต้องค่ะ คุณพ่อ นิจดูแลตัวเองได้ค่ะ” เธอยังรู้สึกว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร“ไม่ได้...ถ้าเป็นอะไรไป ผมแย่เลย”เขากลัวว่าเธอเกิดเพ้อเจ้อทำร้ายตนเองขึ้นมา เขาจะรู้สึกผิดและไม่แน่ว่
เธอพบเขาในฝัน-------------------สองสาวตกใจเมื่อหญิงสาวอายุประมาณสามสิบวิ่งถลันออกมาจากห้องด้านในที่เป็นห้องพบแพทย์“คุณ!...หมอยังไม่ทันตรวจ เป็นอะไร” หมอตามออกมาหน้าตาตกใจ“ไม่ค่ะ...ฉันกลัว” หญิงสาวคนนี้วิ่งเข้ามากอดคนึงนิจแน่นไม่ยอมปล่อย แม้หมอจะให้ผู้ช่วยในคลินิกมาช่วยกันพูดก็ตาม“คุณ...ไม่ต้องกลัวนะ” คนึงนิจเสียงเบากำลังจะเป็นลม ใจเต้นหวาดผวาไปด้วยแล้วน้อยหน่าต้องรีบประคองเพื่อนสาวที่ถูกผู้หญิงที่ส่งเสียงร้องกรี๊ดกอดเอาไว้แน่น เธอตกใจเช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไรที่แปลกประหลาดขนาดนี้“เฮ้ย...นิจ อย่าหลับเชียวนะ ฉันกลัวอ่ะ” น้อยหน่าตบหน้าคนึงนิจเบาๆน้อยหน่าเรียกหมอให้เข้ามาดูว่าเพื่อนของเธอเป็นอะไร“ผมจะตรวจดูก่อน...ช่วยประคองเพื่อนคุณเข้าไปห้องตรวจข้างใน เร็วนะ” หมอเร่งให้ผู้ช่วยในคลินิกสองคนมาช่วยน้อยหน่า“เพื่อนคุณเป็นลม ชีพจรเต้นเบา คงต้องฉีดกลูโคส” หมอจัดเตรียมยาฉีดให้เพื่อนสาว ส่วนผู้หญิงคนที่ร้องกรี๊ด ถูกผู้ช่วยในร้านพาเธอไปนอนพักที่ห้องตรวจอีกห้องเพื่อรอญาติมารับกลับ“คุณหมอคะ ผู้หญิงคนที่ร้องกรี๊ดเธอเป็นอะไรคะ” น้อยหน่ายังสงสัย จึงถามขึ้น“เธอประสาทหลอน ญาติพามาตรวจ แล้วออกไ
หลอน...มู...จนขาสั่น จิตกระเจิง--------------------------------“สะ...สะ เสียงดังกังวาน...ออกมาจาก หะ...หัวกะ...กะ...โหลกนั่น...” คนึงนิจหันไปกอดกับน้อยหน่าหลับตาปี๋ เสียงเบาตะกุกตะกัก“บอกแล้วไม่ต้องกลัว...พ่อปู่สื่อวิญญาณอยู่” ลุงหมอดูเดินเข้ามาจับหัวสาวทั้งสอง และตบหลังพวกเธอเบาๆเอาล่ะสิ...คนึงนิจสะดุ้งขาสั่น ขนใต้ผิวหนังตั้งชันเหมือนจับไข้ น้อยหน่าเหงื่อแตกด้วยความกลัว สองสาวยังกอดกันค่อยเขยิบก้าวถอยหลังอย่างอัตโนมัติ“ห้ามออกไปจากห้องเด็ดขาด...เข้ามานั่งพับเพียบตรงหน้าพ่อปู่” ชายชราหมอดูเสียงเปลี่ยนเป็นห้าวก้อง หน้าตาจากที่เหี่ยวแห้งกลับดูเป็นหนุ่มมีพละกำลังเขานั่งลงในท่าขัดสมาธิหลับตาลง สองสาวมองหน้ากันอยากวิ่งออกไปแต่ประตูห้องดันถูกปิดจากด้านนอก พวกเธอจำยอมค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้น ก้มหน้าไม่ยอมมองตรงไปข้างหน้า กลัวพวกหัวกะโหลกแยกเขี้ยวอยู่เต็มห้อง มองไปทางไหนเหมือนกำลังจ้องมาที่พวกเธอ“วิธังเสติ ......” พ่อปู่ร่ายคาถายาวไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ และยกมือทำท่าเหมือนโปรยคาถาครอบคลุมไปทั่วห้อง“โอม...นะมะจิตตัง...ยะจับใจ ...พุทธะหลงใหล...” เสียงของผู้เฒ่าหน้าทารก ณ บัดนาวด
ปัดวิบาก...ตัดกรรม-----------------------สุธนเดินเข้าไปในห้องนอนของคนึงนิจ มองสำรวจไปรอบๆ เห็นตุ๊กตาหล่นอยู่ที่พื้นหนึ่งตัว ซึ่งเป็นตัวเดียวกับเมื่อวานที่เขามอบให้เธอ เขาเดินไปหยิบขึ้นมาและมองจ้องเปิดดูเสื้อผ้าที่ใส่เป็นเดรสสีชมพู หน้าตาของตุ๊กตายิ้มสวยกว่าอีกตัวที่เธอเพิ่งเอามาด้วยซ้ำ เขาคิดว่าน่าจะเป็นตัวนี้ที่ส่งเสียงกรี๊ดจนเธอตกใจรีบทิ้งลงพื้นแล้ววิ่งออกมากอดเขา“ไม่เห็นมีอะไรเลย...นิจ เข้ามาดูสิ ผมอุ้มขึ้นมากอดอยู่” เขากอดตุ๊กตาไว้ที่อกตะโกนออกมา แต่ไม่ได้ยินเสียงของเธอ เลยเดินออกจากห้องเพื่อเอาไปให้ดูว่าไม่มีอะไร“ไม่ค่ะ...นิจ ขอคืนให้คุณพ่อนะคะ” สาวน้อยแทบไม่อยากมองมันเลย“หนูว่า...คงจริงอย่างที่พ่อปู่เตือน” คำพูดเธอทำให้สุธนสงสัย“มีอะไร...รึ”“ลุงหมอดูเตือนว่าหนูมีเคราะห์ และไม่ควรอยู่ที่บ้าน”“อย่างมงาย...”“แล้วตุ๊กตานี่ไปได้จากที่ไหนมาคะ...” เธออยากรู้“ผมไม่รู้ เพราะลูกน้องใน สน. มอบให้ผู้กำกับ แต่ท่านไม่เอา ดันมาวางไว้บนโต๊ะผม” เขามองหน้าสาวน้อยส่ายหัว“ไว้เข้า สน.พรุ่งนี้ผมจะถามพวกนั้นดู”“แล้วจะให้ผมเอาไปไว้ไหนดี...” เขามองเธออย่างไม่เข้าใจ แต่จะพยายามเอาใจเพื่อให้เธ
อวิชชา...วิชามาร หรือ อะไรกัน--------------------------------ช่วงเย็นเลิกงานน้อยหน่ารีบมาที่โต๊ะของคนึงนิจได้เวลาห้าโมงตรงเผง แล้วทั้งคู่รีบออกจากตัวตึกข้ามไปฝั่งตรงข้ามสั่งอาหารจานเดียวมากินอย่างเร่งรีบ เพราะเพื่อนเธอบอกว่าบ้านหมอดูอยู่ไกลแถวนอกเมือง น่าจะแถวๆ บ้านของคนึงนิจ เส้นทางเลยออกไปทางบางบัวทองทั้งสองไปถึงค่อนข้างค่ำมากเกือบทุ่มเศษ บ้านไม้สองชั้นเก่ามากตัวบ้านน่าจะเกินสามสิบปี น้อยหน่าจับมือคนึงนิจอย่างไม่แน่ใจ“เฮ้ย...ไหนๆ มาถึงแล้ว มันจะถอยไม่ได้นะ” เธอบอกน้อยหน่าแบบใจกล้า แต่ในใจก็ตื่นเต้น หน้าตาของบ้านเหมือนบ้านผีสิง“นี่ถ้ามาคนเดียว ฉันหนีก่อนเลย ไม่กล้าลงจากรถอ่ะ” น้อยหน่าทำหน้าหวาดกลัว“ใครแนะนำ...”“ป้าฉันนะสิ...”ทั้งสองคนโผล่หน้าเข้าไปก่อน ขณะที่คนข้างในเปิดออกมาพอดี ข้างในเป็นโถงกว้างมีคนกำลังรออยู่แล้วสามคน หนึ่งในสามกำลังเข้าไปทำพิธีอยู่“โห...นี่มูกันแบบสุดๆ เลยว่ะ” คนึงนิจมองพิธีแบบเสกคาถาร่ายภาษาที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน“นั่นดิ...เข้าท่าไหม กลัวเสียเงินฟรี”“ไม่ลองไม่รู้”และแล้วผู้ชายแต่งตัวแบบพราหมณ์ห่มผ้าสีขาวผ้านุ่งแบบโจงกระเบน กวักมือเรียกสองคน“อีหนูสองค