หรูซินที่ยืนอยู่ด้านข้าง เหลือบตามองจี้เหวินเพียงนิด ก่อนจะก้าวเข้าไปกระซิบบางอย่างกับกุ้ยเฟยเบา ๆเสียงเบานั้นทำให้สีหน้าของกุ้ยเฟยเปลี่ยนแววตาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะหันกลับมาพูดอย่างราบเรียบ“เจ้าไปเตรียมตัวเถิด จี้เหวิน ข้าจะให้คนพาเจ้าไปห้องเครื่องของตำหนักชิงหราน และจะส่งเครื่องปรุงที่เจ้าอยากได้ไปให้โดยเฉพาะ… ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”จี้เหวินขานรับเสียงสั่น“เพคะ…”จากนั้นค่อย ๆ ถอยออกมาจากห้องบรรทมด้วยหัวใจที่เต้นระรัว...รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนสะพานไม้เก่าๆ ที่อาจจะหักลงได้ทุกเมื่อ...ภายในห้องเครื่องของตำหนักชิงหรานอันเงียบสงัด จี้เหวินยืนประจำอยู่หน้าเตาไฟ ใบหน้าเคร่งเครียดไร้รอยยิ้มสดใสตามแบบฉบับของนาง ที่เคยแสดงต่อหน้าผู้อื่น ดวงตานิ่งงันทอดมองวัตถุดิบตรงหน้าราวกับมันคือดาบสองคมที่พร้อมจะเชือดเฉือนนางได้ทุกเมื่อวัตถุดิบทั้งหมดถูกวางไว้เรียงรายตามลำดับ ผักคราดหัวแหวน มะเขือเปราะ ผักกวางตุ้งสด ใบหูเสือ เห็ดหอมป่า ข่าอ่อน เก๋ากี้ รากโสมสดกัวจิ๋ว และผักหอมอีกสองสามอย่าง ทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่คนที่ยืนมองอ่างจี้เหวินที่กำลังหนักใจ จำได้ว่ารสชาติเช่นไรแต่จะท
กลิ่นควันไฟจากเตาหินลอยอบอวลอยู่ทั่วห้องครัวฝึกหัด นางในแต่ละนางกำลังวุ่นวายกับการเตรียมวัตถุดิบและทดลองปรุงเมนูสำหรับงานเลี้ยงเหมันต์ เสียงมีดกระทบเขียงดังเป็นจังหวะ เสียงหัวเราะเบาๆ ดังเป็นระยะในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความคึกคักและคาดหวัง และในใจบางคนก็ยังหวาดหวั่นทว่า…บรรยากาศนั้นพลันเงียบกริบลงในทันที เมื่อเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากทางเดินด้านหลังหรูซิน ในชุดนางในจากตำหนักกุ้ยเฟยเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างามและดวงตาเรียบนิ่ง หรูซินเหลือบมองไปรอบห้องเล็กน้อยก่อนสายตาจะหยุดอยู่ที่ จี้เหวิน ซึ่งกำลังปั้นแป้งอยู่หน้าเตาอบ“จี้เหวิน... กุ้ยเฟยเรียกหาเจ้า”น้ำเสียงของหรูซินแม้จะไม่ดัง แต่กลับเยือกเย็นดั่งสายลมหนาวต้นเหมันต์ ทำเอาเสียงหัวเราะในห้องเงียบกริบเพื่อนๆ ที่อยู่ใกล้ชะงักมือโดยไม่รู้ตัว หลิงเชียวที่กำลังสับผักอยู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วรีบหลบตา ด้านเสี่ยวหนี่ก็เผลอหันมามองทันทีโดยสัญชาตญาณจี้เหวิน ชะงักมือจากการปั้นแป้ง ดวงตาหวาดหวั่นเพียงแวบหนึ่งก่อนจะเหลือบมองไปทางเสี่ยวหนี่อย่างไม่รู้ตัว ราวกับหวังจะหาที่พึ่งในความวุ่นวายภายในใจเสี่ยวหนี่ที่เหมือนจะรู้ใจจี้เหวิน ขมวดคิ้วเล
ภายในตำหนักกลางของฮ่องเต้ยามสายแสงอ่อนสาดลอดผ้าม่าน องค์ชายรองอวี่หรงเดินเข้ามาในห้องบรรทมของฮ่องเต้หยางลี่ อย่างไม่รีบร้อน ปากฮัมเพลงแผ่วเบาราวกับอยู่ในตำหนักของตนเอง มือไขว้หลังย่างเท้าสบายๆ พอเข้ามาก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่รอให้ใครเชิญหยางลี่ที่กำลังอ่านฎีกาด้วยสีหน้านิ่ง อยู่ถอนหายใจเงียบๆ ตั้งท่าจะพูด แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากทางเดินนอกห้อง ขันทีกวงซุนฉีกยิ้ม“ท่านพ่อ รอข้าด้วยยยย”เสียงเล็กๆ นั้นวิ่งแว่วมาพร้อมกับร่างของอ๋องน้อยเฟยเทียนที่ปราดเข้ามาในห้องเหมือนลูกลิงน้อย พอเห็นหยางลี่ฮ่องเต้ก็ตั้งท่าหยุดกะทันหัน ยกมือขึ้นประสานทำความเคารพทันที“ขอถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”หยางลี่ที่มองอยู่แล้วก็ยิ้มละไมลุกขึ้นจากบัลลังก์เล็กเดินมาหาอ๋องน้อย ก่อนจะก้มตัวอุ้มขึ้นมาแนบอกอย่างอ่อนโยน“พ่อเจ้าปล่อยให้เจ้าวิ่งเล่นอีกแล้วรึ เจ้าอ๋องน้อยของลุง”“ข้าน่ะเร็วจะตาย ใครก็จับไม่ทันหรอก” หัวเราะเสียงใส พิงอกลุงหยางลี่อย่างสนิทสนม ดวงตาเป็นประกายหยางลี่อุ้มหลานมาวางบนตัก ก่อนจะหันไปทางขันทีกวงซุน“กวงซุน ไปเอาขนมที่อ๋องน้อยเฟยเทียนชอบมาที่นี่ให้ที”“พ่ะย่ะค
ในเช้าขณะทุกคนกำลังทำความสะอาดห้องเครื่องตามหน้าที่ เสียงฝีเท้าของเหม่ยซู ดังขึ้นอย่างมั่นคง ทุกคนหยุดมือพร้อมกันโดยไม่ต้องมีใครสั่ง เหม่ยซูเดินตรงเข้ามาในห้องเครื่อง มือถือม้วนกระดาษอยู่หนึ่งชิ้น ใบหน้านิ่งขรึมแต่แฝงความยินดี“ข้ามีข่าวดีจะมาแจ้งให้พวกเจ้าทุกคนทราบ”เสียงของเหม่ยซูทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นในชั่วพริบตา “เมนูอาหารที่พวกเจ้าร่วมกันเสนอไปก่อนหน้านี้ ถูกเลือกให้ใช้เลี้ยงต้อนรับแขกเมืองในงานเลี้ยงครั้งนี้ทั้งหมด ไม่มีของใครตกหล่น ทุกเมนูได้รับการอนุมัติ”เสียงฮือฮาเบาๆ ดังขึ้นทันที หลายคนหันมองหน้ากันด้วยแววตาไม่เชื่อหูตนเอง เหม่ยซูคลี่กระดาษในมือ อ่านรายชื่อด้วยเสียงที่ชัดเจน“เฟิงหราน เป็ดย่างซอสเหม่ยกุ้ยน้ำผึ้ง เสิร์ฟพร้อมข้าวอบเกาลัดทองคำ”เฟิงหรานยืดอกเล็กน้อยด้วยความภูมิใจ คนที่เหลือต่างทำตาโตกับชื่อเมนูสุดล้ำและยิ่งใหญ่อลังการ“หลิงเชียว กุ้งลอยเมฆหิมะ ซุปไข่มุกสาหร่ายขาว”หลิงเชียวเบิกตาโพลง ไม่คิดว่าเมนูของตนจะได้รับเลือกจริงๆ นี่ก็ไม่แพ้กัน“เซี่ยหยา พิซซ่าเตาถ่าน”เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ “หยางซินอวี้ เนื้อวัวย่างหวังฉู่รมควัน เสิร์ฟพร้อมน้ำซุปจากแดนหนือ”หยาง
“ราวกับรู้ใจรู้ว่าข้าชอบแบบใส่เห็ดกับหมูเค้มของเฉสวนสินะ”ตงเจี้ยนหัวเราะเบาๆ “ดูเหมือนคนที่คิดถึง มิใช่มีฝ่าบาทเสียกระมัง”หยางลี่ปรายตามอง ขณะเอื้อมมือหยิบพิซซ่าขึ้นมากัดคำเล็กๆ รสชาติทำให้เขานิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่แผ่วเบากว่าเดิม“รสดีเสียจริงลงตัวยิ่งและกลิ่นหอมนี้ยังอบอวลเวลาที่เคี้ยวช่างเป็นอาหารที่แปลกใหม่และตรึงใจกินแค่ครั้งแรกครั้งเดียวคงไม่พอจริงๆ” ตงเจี้ยนยิ้ม“ใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันโดยเฉพาะอ๋องน้อยเฟยเทียนกับองค์ชายรออวี่หรง” หยางลี่พยักหน้าขึ้นลง“พวกเขาได้ชิมก่อนข้าสินะอ๋องน้อยต้องชอบแน่ๆ แล้วจดหมายตอบของนางล่ะ”“เอ่อ…เรื่องนั้น…ข้ายังไม่ทันถามขอรับ และอีกกอย่างควรให้เวลาเสี่ยวหนี่ได้มีโอกาสตอบจดหมาย” ตงเจี้ยนเกาหลังคอเล็กน้อย“ข้าหลงดีใจคิดว่าเจ้ามีจดหมายตอบรับจากเสี่ยวหนี่เสียอีก” ตงเจี้ยนยิ้มแหย๋ๆ“ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย”“เดี๋ยว” หยางลี่พูดแทรกทันที เสียงไม่ดังแต่เด็ดขาด ดวงตาคมกริบฉายแววห้ามปรามอย่างจริงจัง“…นี่ยามใดแล้ว คิดจะปลุกนางขึ้นมากลางดึกหรือ ห้ามไปหาเสี่ยวหนี่เด็ดขาด”ตงเจี้ยนชะงักกึก ก่อนกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของเจ้
ภายใต้แสงจันทร์สลัว ลมยามค่ำคืนเย็นจัดพัดต้องเสี้ยวใบหน้าเล็กของ เชียหยา ขณะนางเบี่ยงตัวลอดผ่านประตูไม้หลังคากระเบื้องเก่าใกล้กำแพงตะวันออกของห้องเครื่อง ช่องทางลับแคบๆ นี้เป็นเส้นทางที่ใครๆ ก็ใช้กันหากอยากออกจากวังหลวงอยู่างเร่งด่วนๆ wม่ต้องผ่านการขอตราประทับอนุญาตผ่านเขาออกจากกรมวัง เชียหยาใช้หลบหนีสายตาเพื่อออกไปพบมารดาในวังหลวงด้านนอกตำหนักชั้นในในอ้อมแขนของนางมีกล่องไม้ที่บรรจุพิ=ซ่าที่ยังอุ่นเพราะห่อด้วยผ้าหนากันความร้อนเล็ดลอดออกไปเพิ่งทำเสร็จเมื่อตอนบ่าย กับขนมถั่วแดงไส้เนียนที่น้องชายหญิงของนางชอบที่สุด และเนื้อหมู่ที่มัดเป็นพวง หนึ่งพวงใหญ่ใต้ต้นหลิวริมทางเดินร้าง มารดาของเซียหยายืนรออยู่ในเสื้อคลุมธรรมดาสีหม่น พยายามกำลังกาย กับต้นเหมยใบหน้าอิดโรยลงไปมากจากเมื่อครั้งยังอยู่เรือนเดิม แต่เมื่อเห็นเซียหยาเดินมา ใบหน้าของมารดาก็ปรากฏรอยยิ้มละไมทันที“ข้าเอาขนมมาให้น้องเจ้าค่ะ ท่านแม่” เซียหยายื่นกล่องขนมให้ ดวงตาสว่างขึ้นเล็กน้อย “ยังอุ่นอยู่เลย ทันกินก่อนนอนพอดี”มารดารับกล่องนั้นมากอดไว้แนบอก ดวงตาแดงเรื่อแต่ฝืนยิ้ม “เจ้าช่างไม่ลืมพี่น้องเลยนะหยาเอ๋อร์…” เซียหยาน้ำตาปริ่มข