ฮ่องเต้ผู้เบื่ออาหาร กลับหลงใหลในรสมือของแม่ครัวสวมรอย—โดยไม่ล่วงรู้ว่าเจ้าของรสชาตินั้น คือสาวน้อยจอมกวนผู้หลุดมาจากอนาคต!ฝีปากร้ายและมุกเต็มไปด้วยมุกตลกไร้สาระพร้อมกับสูตรอาหารมัดใจฝ่าบาท เมื่ออาหารคือสะพานใจ แต่ความจริงยังถูกปิดซ่อน… เมื่อรสชาติผูกพันหัวใจ แต่ความจริงยังเป็นปริศนา จะรอวันเปิดเผย หรือถูกกลืนหายไปตลอดกาล? แล้วเมื่อความจริงปรากฏ… จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งหรือไม่?
ดูเพิ่มเติมตำหนักพระพันปีที่ได้ชื่อว่างดงามเป็นอันดับสามรองจากตำหนักชิงหนิงกงของฮองเฮาบัดนี้พระพันปีหรือไทเฮาฟู่ฉีนั่งบนบัลลังก์ทองใบหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าความรู้สึกภายในใจเมื่อพบหน้าชวีหยา ชวีหยาตำแหน่งกุ้ยเฟยผู้งดงามอ่อนหวานแม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่สายตาที่ถอดมองผู้อื่นอ่อนโยนอบอุ่นเหมือนมารดากระนั้น อาภรณ์สีมุกขลิบลวดลายสีทองด้านหลังปักรูปหงส์สยายปีกพร้อมโบยบินแม้จะไม่ได้สะกดสายตาผู้พบเห็นแต่ก็ทำให้ผู้ที่พบเจออดที่จะหันมองซ้ำไม่ได้
ฝีเท้าที่ก้าวเดินราวกับวิ่งแต่ทว่าในใจอยากจะมีเวทมนตร์พาตัวเองมาอยู่ตรงหน้าไทเฮาในทันที ชวีหยาไม่ลืมที่จะย่อกายลงอย่างงดงามแม้จะร้อนใจเพียงใด นั้นยิ่งทำให้ชวีหยามีกิริยาน่ามอง นางงดงามเกินกว่าจะนั่งในตำแหน่งอื่นใดคงเกิดมาเพื่อตำแหน่งฮองเฮาเท่านั้นแต่เสียดายที่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังนั่งแค่ตำแหน่งกุ้ยเฟย
“ทรงประชวรว่าด้วยไม่อยากอาหารมาหลายวันแล้ว จะทำอย่างไรดีเพคะไทเฮา”ด้วยความกังวลใจที่เก็บสะสมไว้จึงกลั่นออกมาเป็นคำพูดในทันทีโดยที่ไม่ได้เกริ่นนำ
“อย่าเรียกว่าอาการประชวรเลย คงแค่ไม่มีของที่ชอบ ปกติหยางหยางมักจะกินแต่ของโปรดมาตั้งแต่เด็กๆ” ไทเฮาฟู่ฉีหยิบกำไลหยกขึ้นมาพิศดูด้วยความตั้งอกตั้งใจราวกับคำพูดของชวีหยาเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่าน
“พระวรกายซูบผอม สองวันก่อนชวีหยาสั่งให้มีการคัดตัวนางในห้องเครื่องเสียใหม่เลือกคนที่ทำอาหารเป็นทั้งหมดมาทำเครื่องเสวยถวายฝ่าบาททีละคน”
ไทเฮาฟู่ฉีพยักหน้าขึ้นลง วางกำไลหยกลงในกล่องหันมามองชวีหยาขมวดคิ้วกับสีหน้าเป็นกังวลนั้น
“แล้วมีมั่งไหม นางในห้องเครื่องที่หา”น้ำเสียงคล้ายเหน็บแนมแต่รับให้เรียบเฉยให้สมฐานะไทเฮาที่ไม่รักไม่ชังใครเกินขอบเขต
“ไม่พบเลยเพคะ คนที่ทำเป็นก็ทำถวายตั้งมากมาย แต่ฝ่าบาทแค่ได้กลิ่นก็คลื่นเหียน ขันทียกไปมากหน่อยก็คิดว่าไปกดดัน กวาดเครื่องเสวยบนโต๊ะทิ้งเสียหมด” ยิ่งไม่กินยิ่งหงุดหงิด
พูดไปก็ถอนหายใจสีหน้ากลัดกลุ้ม นับว่าชวีหยาใส่ใจหยางลี่ไม่น้อยจะสุขจะทุกข์ก็คือสามีภรรยา แม้จะพูดไม่ได้เต็มปากว่าคนผู้หนึ่งกับคนผู้หนึ่งไม่ได้อาศัยความรักใคร่แต่ก็ร่วมชีวิตกันมา อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็เป็นหนึ่ง ชวีหยาต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือส่งเสริมมิใช่แค่หน้าที่ของภรรยาหากแต่เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติมาช้านาน
“เรื่องอื่นก็ดี เรื่องอาหารก็สำคัญ ฮ่องเต้เอาแต่วุ่นวายกับงานในราชสำนัก นอนน้อยตื่นไว กินอะไรไม่ลง ลองไปหย่อนใจ…..ประภาสป่าดูดีไหมไปเปิดหูเปิดตาเสีบบ้างจึงจะทำให้รื่นมรมย์”
พูดเป็นนัยๆเรื่องที่ชวีหยาไม่ยอมตั้งครรภ์ทั้งที่นั่งเกี้ยวเข้ามาในวังหลวงเกือบปีแล้ว ถึงจะอยากตำหนิแต่อีกคนก็ไม่ได้บกพร่องอะไร เรื่องการตั้งครรภ์ล้วนเป็นลิขิตสวรรค์
“เพคะ เช่นนั้นชวีหยาจะหารือฝ่าบาทเรื่องนี้” ชวีหยาแม้จะรู้ว่าถูกตำหนิแต่สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้คือการก้มหน้ายอมรับความจริงเสียการนิ่งเฉยมักจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
เดือนมีนา ปี2025
“บอกแล้วว่าไม่เอาผงชูรส เห็นไหมเนี้ย!?”ชายร่างสูงใหญ่เหมือนกับคนที่เข้าฟิตเนสในทุกวันยืนตะโกนชี้หน้าข้าวนึ่ง
ข้าวนึ่งหน้าซีดตัวสั่นไม่ได้กลัวไอ้หมอนั่นแต่กลัวว่าลูกค้าผู้หญิงตัวแดงไปทั้งตัว หน้าบวมด้วยฤทธิ์ผงชูรส(หรือเปล่า)จะตายเสียก่อน ส่วนคนที่ยืนด่าอยู่นั่นผู้ชายทั้งแท่งกล้ามใหญ่ตัวโตสีหน้าบอกว่าเอาเรื่องแน่ ในมือถือโทรศัพท์ถ่ายคลิปไปด้วย เมียก็ตัวแดงแปร๊ดแต่ผัวกำลังจ้องจะเอาเรื่องและไลฟ์สดเรียกยอดผู้เข้าชมไปด้วย ยุคนี้อะนะ
“ขอโทษค่ะ ฉันขอโทษจริงๆค่ะ” ยกมือไหว้ประหลกๆ พูดได้แค่นั้นก็จะไปสรรหาคำพูดแก้ตัวไงก่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกค้าสั่งไม่ให้ใส่ผงชูรส น้องที่เป็นเด็กเสิร์ฟยืนเกาะหลังข้าวนึ่งไม่กล้าโผล่หน้าออกมา ก็ปกติแล้วข้าวนึ่งเป็นคูมแม่ของทุกคนนี่
“เขาไม่บอกหนูสักคำเอาแต่กดโทรศัพท์ แล้วหนูจะรู้ได้ไงพี่”น้องเด็กเสิร์ฟกระซิบเบาๆ ไอ้สามีของคนที่ตัวแดงๆนั่นเสือกได้ยินที่น้องมันพูดอีก
“ไม่สั่งก็น่าจะรู้ มากินที่นี่สองรอบแล้ว เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมจำไม่ได้”
“เอ้า”ข้าวนึ่งร้องเสียงหลง
“ไม่ได้เรื่อง! เราคือผู้บริโภคต้องเข้าแล้วไหม โง่จริงๆ” ทั้งสีหน้าและท่าทางของไอ้คนหุ่นล่ำนี่น่าซัดหน้าสักเปรี้ยง แต่เราไม่สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงนะคะ
แต่คำด่าไม่ใช่คำสรรเสริญ ใครจะอยากได้ยินแล้วใครจะยินดี แต่ละวันลูกค้าเยอะมาก ใครจะไปจำได้ ก้มหน้าทำงานอย่างเดียว มาสองครั้งหวังให้จำหน้าได้ แล้วส้มตำไม่ใส่ผงชูรสเนี่ยนะมันกินได้หรือ ข้าวนึ่งถอนหายใจยาวพี่พ่อครัวที่ร้านรีบเข้ามากระตุกแขนข้าวนึ่งเบาๆอย่างห่วงใยแล้วเข้ามาแทรกกลาง กลัวว่าข้าวนึ่งจะหมดความอดทน
“รีบพาคุณผู้หญิงไปโรงพยาบาลก่อนดีไหมครับ อย่าเพิ่งอารมณ์เสียเลยครับพรี้”
พี่พ่อครัวที่ร้านพูดอย่างประณีประนอมพลางแยกข้าวนึ่งให้ถอยไปก่อน แต่คนที่เป็นผัวจ้องข้าวนึ่งอย่างจะกินเลือดกินเนื้อยังไม่วายพูดใส่ข้าวนึ่ง
“เป็นแม่ครัวแต่ให้ทำอะไรง่ายๆไม่ได้ ไม่พยายามเลยนี่ น่าจะจำได้นะว่ามาทุกทีสั่งไม่ให้ใส่ผงชูรสทุกที เรื่องง่ายๆแค่นี้ไม่ใส่ใจก็ไปตายซะ” ข้าวนึ่งสูดลมหายใจเข้าลึกเจ็บปวดกับคำพูดนี้อย่างที่สุด ไม่เป็นก็ได้ว๊ะ! แม่ครัวใครเคยเป็นแบบนี้บ้างหัวร้อนเพราะคำพูดที่มันทำให้รู้สึกเจ็บปวด กว่าคำพูดหยาบคาย
“พูดดีดีนะโว๊ย! สั่งอะไร ถามอะไรก็ไม่บอก เอาแต่กดโทรศัพท์ธุระเยอะเกินนี่ ตอนสั่งก็ไม่เห็นบอกน้องว่าไม่ใส่ รู้ว่าตัวเองกินไม่ได้ไม่แน่ใจแล้วกินไปทำไมก่อน กินแล้วพอจะตายดันมาโทษคนทำ มาสองครั้งแหม๋มาบ่อยเกินนี่ ตั้งสองครั้งเชียว และคุณเมิงงงงเป็นอะไรก่อน เป็นเทวดาหรืองัยหรือว่าเป็นลิซ่า หรือเซียวจ้านต้องให้มาจำว่าเคยมาที่ร้าน วิเศษนักเหรอห๊ะ อย่าให้เจอข้างนอกนะ”
ข้าวนึ่งถอดผ้ากันเปื้อนปาลงกับพื้นยกมือเท้าเอวข้างหนึ่งอีกข้างชี้หน้าคนผัวที่ทำตาปริบๆ ทุกคนในที่นั้นต่างถอนหายใจยาวพร้อมๆกัน
ช่างแม่งวันนี้พรุ่งนี้ค่อยมาลาออก
ในชามเคลือบลายแกงสมุนไพรบ้านโจว ร้อนฉ่าถูกเสิร์ฟลงเบื้องหน้าฮ่องเต้หยางลี่ และกุ้ยเฟยชวีหยา โดยจี้เหวินเองแม้บนใบหน้านางจะมีรอยยิ้มเจียมตัว หากมือไม้ที่ยื่นถ้วยชามออกไปกลับสั่นเล็กน้อยราวกับกลัววูบหนึ่งจากสายพระเนตรจะเผาไหม้เงื่อนงำที่แอบซุกซ่อนอยู่ฮ่องเต้หยางลี่ทอดพระเนตรมองชามแกงเงียบๆ ดวงตาลึกล้ำสะท้อนเงาไอร้อนจากอาหารหน้าตา…คล้าย กลิ่น...ใกล้เคียง สี...ใกล้เคียง แต่รสชาติ…เมื่อหยางลี่ตักขึ้นลิ้มชิมรส กลับพบว่าไม่ใช่รสชาติที่เคยตกหลุมรัก ไม่ใช่รสมือของเสี่ยวหนี่ นี่มัน…อย่างไรก็ตาม หยางลี่เก็บความรู้สึกได้เก่ง เพียงกะพริบตาแผ่วหนึ่ง แล้วเอ่ยคำว่า"รสชาติดี...สมกับเป็นจานพิเศษ" เสียงเรียบ สุขุมในใจยังสะกดกลั้นคำถามมากมายว่าทำไมแกงสมุนไพรที่กินในวันนี้ถึงได้ไม่เหมือนที่เคยกิน แต่ที่นี่ต่อหน้ากุ้ยเฟยซวีหยาก้ไม่ใช่ที่ที่จะหาคำตอบหยางลี่เพียงแค่เดาบางอย่าจากท่าทีของจี้เหวิน ได้ดี และเขาทำๆได้เพียงเงียบไปเสียแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นสายตาของกุ้ยเฟยชวีหยาที่นั่งอยู่ข้างๆ กุ้ยเฟยชวีหยาลอบมองหยางลี่ รอยยิ้มบางผุดขึ้นมุมปาก “ฝ่าบาททรงโปรดอาหารของจี้เหวินมากถึงเพียงนี้ หม่อมฉันก็ดีใจนัก”ชวีหย
หรูซินที่ยืนอยู่ด้านข้าง เหลือบตามองจี้เหวินเพียงนิด ก่อนจะก้าวเข้าไปกระซิบบางอย่างกับกุ้ยเฟยเบา ๆเสียงเบานั้นทำให้สีหน้าของกุ้ยเฟยเปลี่ยนแววตาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะหันกลับมาพูดอย่างราบเรียบ“เจ้าไปเตรียมตัวเถิด จี้เหวิน ข้าจะให้คนพาเจ้าไปห้องเครื่องของตำหนักชิงหราน และจะส่งเครื่องปรุงที่เจ้าอยากได้ไปให้โดยเฉพาะ… ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”จี้เหวินขานรับเสียงสั่น“เพคะ…”จากนั้นค่อย ๆ ถอยออกมาจากห้องบรรทมด้วยหัวใจที่เต้นระรัว...รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนสะพานไม้เก่าๆ ที่อาจจะหักลงได้ทุกเมื่อ...ภายในห้องเครื่องของตำหนักชิงหรานอันเงียบสงัด จี้เหวินยืนประจำอยู่หน้าเตาไฟ ใบหน้าเคร่งเครียดไร้รอยยิ้มสดใสตามแบบฉบับของนาง ที่เคยแสดงต่อหน้าผู้อื่น ดวงตานิ่งงันทอดมองวัตถุดิบตรงหน้าราวกับมันคือดาบสองคมที่พร้อมจะเชือดเฉือนนางได้ทุกเมื่อวัตถุดิบทั้งหมดถูกวางไว้เรียงรายตามลำดับ ผักคราดหัวแหวน มะเขือเปราะ ผักกวางตุ้งสด ใบหูเสือ เห็ดหอมป่า ข่าอ่อน เก๋ากี้ รากโสมสดกัวจิ๋ว และผักหอมอีกสองสามอย่าง ทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่คนที่ยืนมองอ่างจี้เหวินที่กำลังหนักใจ จำได้ว่ารสชาติเช่นไรแต่จะท
กลิ่นควันไฟจากเตาหินลอยอบอวลอยู่ทั่วห้องครัวฝึกหัด นางในแต่ละนางกำลังวุ่นวายกับการเตรียมวัตถุดิบและทดลองปรุงเมนูสำหรับงานเลี้ยงเหมันต์ เสียงมีดกระทบเขียงดังเป็นจังหวะ เสียงหัวเราะเบาๆ ดังเป็นระยะในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความคึกคักและคาดหวัง และในใจบางคนก็ยังหวาดหวั่นทว่า…บรรยากาศนั้นพลันเงียบกริบลงในทันที เมื่อเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากทางเดินด้านหลังหรูซิน ในชุดนางในจากตำหนักกุ้ยเฟยเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างามและดวงตาเรียบนิ่ง หรูซินเหลือบมองไปรอบห้องเล็กน้อยก่อนสายตาจะหยุดอยู่ที่ จี้เหวิน ซึ่งกำลังปั้นแป้งอยู่หน้าเตาอบ“จี้เหวิน... กุ้ยเฟยเรียกหาเจ้า”น้ำเสียงของหรูซินแม้จะไม่ดัง แต่กลับเยือกเย็นดั่งสายลมหนาวต้นเหมันต์ ทำเอาเสียงหัวเราะในห้องเงียบกริบเพื่อนๆ ที่อยู่ใกล้ชะงักมือโดยไม่รู้ตัว หลิงเชียวที่กำลังสับผักอยู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วรีบหลบตา ด้านเสี่ยวหนี่ก็เผลอหันมามองทันทีโดยสัญชาตญาณจี้เหวิน ชะงักมือจากการปั้นแป้ง ดวงตาหวาดหวั่นเพียงแวบหนึ่งก่อนจะเหลือบมองไปทางเสี่ยวหนี่อย่างไม่รู้ตัว ราวกับหวังจะหาที่พึ่งในความวุ่นวายภายในใจเสี่ยวหนี่ที่เหมือนจะรู้ใจจี้เหวิน ขมวดคิ้วเล
ภายในตำหนักกลางของฮ่องเต้ยามสายแสงอ่อนสาดลอดผ้าม่าน องค์ชายรองอวี่หรงเดินเข้ามาในห้องบรรทมของฮ่องเต้หยางลี่ อย่างไม่รีบร้อน ปากฮัมเพลงแผ่วเบาราวกับอยู่ในตำหนักของตนเอง มือไขว้หลังย่างเท้าสบายๆ พอเข้ามาก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่รอให้ใครเชิญหยางลี่ที่กำลังอ่านฎีกาด้วยสีหน้านิ่ง อยู่ถอนหายใจเงียบๆ ตั้งท่าจะพูด แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากทางเดินนอกห้อง ขันทีกวงซุนฉีกยิ้ม“ท่านพ่อ รอข้าด้วยยยย”เสียงเล็กๆ นั้นวิ่งแว่วมาพร้อมกับร่างของอ๋องน้อยเฟยเทียนที่ปราดเข้ามาในห้องเหมือนลูกลิงน้อย พอเห็นหยางลี่ฮ่องเต้ก็ตั้งท่าหยุดกะทันหัน ยกมือขึ้นประสานทำความเคารพทันที“ขอถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”หยางลี่ที่มองอยู่แล้วก็ยิ้มละไมลุกขึ้นจากบัลลังก์เล็กเดินมาหาอ๋องน้อย ก่อนจะก้มตัวอุ้มขึ้นมาแนบอกอย่างอ่อนโยน“พ่อเจ้าปล่อยให้เจ้าวิ่งเล่นอีกแล้วรึ เจ้าอ๋องน้อยของลุง”“ข้าน่ะเร็วจะตาย ใครก็จับไม่ทันหรอก” หัวเราะเสียงใส พิงอกลุงหยางลี่อย่างสนิทสนม ดวงตาเป็นประกายหยางลี่อุ้มหลานมาวางบนตัก ก่อนจะหันไปทางขันทีกวงซุน“กวงซุน ไปเอาขนมที่อ๋องน้อยเฟยเทียนชอบมาที่นี่ให้ที”“พ่ะย่ะค
ในเช้าขณะทุกคนกำลังทำความสะอาดห้องเครื่องตามหน้าที่ เสียงฝีเท้าของเหม่ยซู ดังขึ้นอย่างมั่นคง ทุกคนหยุดมือพร้อมกันโดยไม่ต้องมีใครสั่ง เหม่ยซูเดินตรงเข้ามาในห้องเครื่อง มือถือม้วนกระดาษอยู่หนึ่งชิ้น ใบหน้านิ่งขรึมแต่แฝงความยินดี“ข้ามีข่าวดีจะมาแจ้งให้พวกเจ้าทุกคนทราบ”เสียงของเหม่ยซูทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นในชั่วพริบตา “เมนูอาหารที่พวกเจ้าร่วมกันเสนอไปก่อนหน้านี้ ถูกเลือกให้ใช้เลี้ยงต้อนรับแขกเมืองในงานเลี้ยงครั้งนี้ทั้งหมด ไม่มีของใครตกหล่น ทุกเมนูได้รับการอนุมัติ”เสียงฮือฮาเบาๆ ดังขึ้นทันที หลายคนหันมองหน้ากันด้วยแววตาไม่เชื่อหูตนเอง เหม่ยซูคลี่กระดาษในมือ อ่านรายชื่อด้วยเสียงที่ชัดเจน“เฟิงหราน เป็ดย่างซอสเหม่ยกุ้ยน้ำผึ้ง เสิร์ฟพร้อมข้าวอบเกาลัดทองคำ”เฟิงหรานยืดอกเล็กน้อยด้วยความภูมิใจ คนที่เหลือต่างทำตาโตกับชื่อเมนูสุดล้ำและยิ่งใหญ่อลังการ“หลิงเชียว กุ้งลอยเมฆหิมะ ซุปไข่มุกสาหร่ายขาว”หลิงเชียวเบิกตาโพลง ไม่คิดว่าเมนูของตนจะได้รับเลือกจริงๆ นี่ก็ไม่แพ้กัน“เซี่ยหยา พิซซ่าเตาถ่าน”เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ “หยางซินอวี้ เนื้อวัวย่างหวังฉู่รมควัน เสิร์ฟพร้อมน้ำซุปจากแดนหนือ”หยาง
“ราวกับรู้ใจรู้ว่าข้าชอบแบบใส่เห็ดกับหมูเค้มของเฉสวนสินะ”ตงเจี้ยนหัวเราะเบาๆ “ดูเหมือนคนที่คิดถึง มิใช่มีฝ่าบาทเสียกระมัง”หยางลี่ปรายตามอง ขณะเอื้อมมือหยิบพิซซ่าขึ้นมากัดคำเล็กๆ รสชาติทำให้เขานิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่แผ่วเบากว่าเดิม“รสดีเสียจริงลงตัวยิ่งและกลิ่นหอมนี้ยังอบอวลเวลาที่เคี้ยวช่างเป็นอาหารที่แปลกใหม่และตรึงใจกินแค่ครั้งแรกครั้งเดียวคงไม่พอจริงๆ” ตงเจี้ยนยิ้ม“ใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันโดยเฉพาะอ๋องน้อยเฟยเทียนกับองค์ชายรออวี่หรง” หยางลี่พยักหน้าขึ้นลง“พวกเขาได้ชิมก่อนข้าสินะอ๋องน้อยต้องชอบแน่ๆ แล้วจดหมายตอบของนางล่ะ”“เอ่อ…เรื่องนั้น…ข้ายังไม่ทันถามขอรับ และอีกกอย่างควรให้เวลาเสี่ยวหนี่ได้มีโอกาสตอบจดหมาย” ตงเจี้ยนเกาหลังคอเล็กน้อย“ข้าหลงดีใจคิดว่าเจ้ามีจดหมายตอบรับจากเสี่ยวหนี่เสียอีก” ตงเจี้ยนยิ้มแหย๋ๆ“ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย”“เดี๋ยว” หยางลี่พูดแทรกทันที เสียงไม่ดังแต่เด็ดขาด ดวงตาคมกริบฉายแววห้ามปรามอย่างจริงจัง“…นี่ยามใดแล้ว คิดจะปลุกนางขึ้นมากลางดึกหรือ ห้ามไปหาเสี่ยวหนี่เด็ดขาด”ตงเจี้ยนชะงักกึก ก่อนกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของเจ้
ความคิดเห็น