LOGINแคว้นต้าถังนับได้ว่ามีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเป็นอันดับต้นๆ ของทุกดินแดนในใต้หล้า
มีเมืองเล็กเมืองน้อยกระจายไปทั่ว ทั้งอาณาเขตห่างไกลระหว่างชายแดนกับเมืองหลวง ทั้งที่มีภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน
ภูเขารายล้อมรอบด้านแห่งหนึ่ง ด้านในมีหมู่บ้านอันห่างไกลความเจริญ ซึ่งถูกเรียกขานว่า ผิงเหยียน
ผู้คนที่อาศัยในหมู่บ้านแห่งนี้มีฐานะหลากหลาย ตั้งแต่คหบดีจนถึงยาจกเร่ร่อน
บุรุษกับกิเลสตัณหาเป็นของคู่กัน อยู่ที่ว่าจักสามารถเติมเต็มให้ตนเองได้หรือไม่
แม้เป็นเพียงพ่อค้ามิใช่ขุนนางใหญ่โตอันใด แต่หากพอมีเงินมากสักหน่อย ประเมินตนเองแล้วคิดว่าดูแลได้ไม่ขัดสน ก็มักจะรับสตรีหลังเรือนเพิ่มความสำราญยามค่ำคืน ไม่เว้นแม้แต่ผู้คนในหมู่บ้านผิงเหยียนที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้
ทางทิศใต้ของหมู่บ้านมีบ้านเรือนหลายหลังตั้งเรียงราย ละแวกนั้นมีบ้านของสกุลหนึ่งอาศัยอยู่ ผู้นำครอบครัวเป็นพ่อค้า มีภรรยาสองคน มีลูกสามคน
ชิงหลิน เป็นบุตรสาวคนโตของบ้าน มีใบหน้าอ่อนหวาน นิสัยอ่อนโยน แม้มิอาจเทียบเคียงกับคุณหนูสูงศักดิ์ในเมืองหลวง แต่ระดับหมู่บ้านชาวผิงเหยียนแห่งนี้ก็นับเป็นหญิงสะคราญโฉมผู้หนึ่ง ทว่าน่าเสียดาย ชิงหลินกลับเป็นสตรีอ่อนแอแลดูไร้ค่าเพราะโง่เขลาเบาปัญญาในทุกเรื่องราว เสียงเบา พูดช้า กิริยานุ่มนวลค่อนไปทางเนิบนาบ ท่วงท่าเชื่องช้า พาให้บางคนมองแล้วรู้สึกขัดตา เนื่องจากมารดามีโรครุมเร้ายามตั้งครรภ์
มารดาของชิงหลินมีนามว่าเจียหรู
เมื่อสามีเปรียบดั่งท้องฟ้า
คือทุกอย่างของสตรีผู้เป็นภรรยา
เจียหรูจึงรักสามีมาก เคารพเทิดทูนเหนือทุกสิ่ง ยินยอมสามีทุกอย่าง มองเขาสูงส่งยิ่งกว่าเทพยดาบนสวรรค์
ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือไม่รักชิงหลินสักเท่าใด เหตุผลเพราะยามตั้งครรภ์นางได้รับความทรมานมาก เจ็บป่วยเสียจนแทบจะทนไม่ไหว ยามคลอดยังเกือบตาย
บุตรสาวนามชิงหลินทำมารดาอย่างเจียหรูแทบจะเอาชีวิตไม่รอด อีกทั้งยังทำให้สามีที่อยากได้บุตรชายต้องผิดหวัง
ซ้ำร้ายระหว่างที่เจียหรูตั้งครรภ์ชิงหลิน สามียังเอาใจออกห่าง ไม่ดูแลทะนุถนอมเท่าใด ห่วงแต่กิจการวาณิชนอกบ้าน เดินทางค้าขายไม่เว้นวัน
กระทั่งพาอนุเข้าเรือนมาด้วยหนึ่งคน
ยามเจียหรูอยู่ไฟ สามียังขลุกอยู่แต่เรือนอนุนานนับเดือน
สตรีผู้หนึ่งซึ่งเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา มิได้ร่ำเรียนเขียนอ่าน มิได้ฝึกสติปัญญาให้ฉลาดปราดเปรื่อง ทั้งมิได้มีจิตใจอันสูงส่ง จิตสำนึกใดๆ ไม่เคยขัดเกลา สัญชาตญาณที่มีจึงต่ำตม ทั้งชีวิตขึ้นอยู่กับสามี เจียหรูจึงคิดว่าความผิดทั้งหมดล้วนเป็นเพราะชิงหลิน นางช้ำใจยิ่งนัก นึกรักธิดาคนนี้ไม่ลงเลยสักนิด
เพราะนอกจากจะตั้งครรภ์อย่างทรมาน ยังเปิดช่องว่างให้สามีนอกใจ
เจียหรูคิดว่า หากนางตั้งครรภ์แล้วไม่อ่อนแอจนเกินไป กระทั่งร่างกายเจ็บป่วยทรุดโทรมหมดความงามหลายส่วนเช่นนี้ สามีคงไม่เบื่อหน่ายกันง่ายๆ เป็นแน่
และที่สำคัญ หากนางคลอดบุตรชาย ชีวิตหลังแต่งงานคงไม่กลายเป็นเช่นนี้
บุตรชายย่อมดีกว่าบุตรสาว...
เมื่อเป็นเช่นนั้น บุตรชายอีกคนของเจียหรูที่คลอดทีหลัง จึงได้รับความรักความใส่ใจไปเต็มเปี่ยม ชิงหลินที่เป็นบุตรสาวซึ่งไร้ความหมายอยู่แล้ว จึงถูกละเลยกลายเป็นส่วนเกินทันที
ทั้งนี้ ตั้งแต่ชิงหลินเกิดมา ครอบครัวมักจะเกิดปัญหาการค้าต่างๆ อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ เด็กคนนี้ทำมารดาร่างกายอ่อนแอยังไม่พอ ยังทำให้การเงินบิดาขัดสนไม่คล่องมือ ติดต่อการค้ายังสะดุดไม่ราบรื่น แต่พอมีบุตรชายอีกคน การเงินก็ดีขึ้น
บิดาของชิงหลินมีนามว่าหานอี้ซวน
หานอี้ซวนเป็นบุรุษให้ความสำคัญกับบุตรชายผู้สืบทอด มากกว่าบุตรสาวที่ต้องแต่งงานออกไปคล้ายสาดน้ำ
ครั้งที่เจรจาการค้า บังเกิดการคุยถูกคอกับสหายผู้หนึ่ง จึงเอ่ยปากยกบุตรสาวให้อย่างง่ายดาย
เป้าหมายคือสร้างเส้นสายการค้าที่กว้างขึ้น เพิ่มช่องทางทำเงินให้ตนเอง
สหายผู้นั้นมีบุตรชายนามว่าจางฉวน
หลังจากตกลงกันแล้วจึงอนุญาตให้คู่หมั้นได้เจอหน้าพูดคุยกันบ่อยครั้งตั้งแต่เยาว์วัย
ทั้งชิงหลินและจางฉวนจึงสนิทสนมรักใคร่กัน นัดพบกันทุกวัน รอเพียงถึงเวลาอันเหมาะสมก็แต่งงานสร้างครอบครัว
บ้านสกุลหาน ภายในโถงรับรองของเรือนไผ่หยก
“อ๊ะ! พี่ฉวน” เสียงแผ่วหวานของดรุณีน้อยดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มเมื่อพวงแก้มถูกปลายจมูกโด่งสันฉกด้วยการหอมไปหนึ่งที
สาวน้อยเอียงหน้าหนี “ไม่เอาเจ้าค่ะ มันไม่งาม”
“จะเป็นไรไปเล่า?”
เสียงทุ้มต่ำฟังดูอู้อี้อยู่ริมหู พร้อมลมหายใจร้อนกรุ่น รินรดยามริมฝีปากหยอกเอิน “ขอข้ามองเจ้าใกล้ๆ นะ”
“อ๊ะ!” ชิงหลินหดคอบ่ายเบี่ยง รู้สึกร้อนวูบวาบอับอาย
จางฉวนเอ่ยอย่างเอาแต่ใจกับคู่หมั้นของตน “ในเมื่อภายหน้าเราสองคนต้องแต่งงานกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง จะช้าจะเร็ว เจ้าย่อมเป็นของข้า วันนี้หากสมปรารถนา ไยมิใช่สมควรแล้ว”
น้ำเสียงเข้มหนักดังพร้อมกับเสียงขยับริมฝีปากกดจูบที่ลำคอระหง และเสียงเสื้อผ้าเสียดสี
“มาเถิด ข้าต้องการเจ้า...”
บนเก้าอี้ตัวยาวหลังโต๊ะภายในห้องรับรองที่ปลอดผู้คน ชิงหลินพยายามเบี่ยงกายหลบเลี่ยงฝ่ามือร้อนผ่าวที่แสนซุกซน ปลายลิ้นร้อนลวกที่แสนเอาแต่ใจ นางรีบถอยอย่างลนลาน
ฝ่ามือหนึ่งรีบยกขึ้นมาดันแผงอกหนา อีกมือหนึ่งยังพยายามยับยั้งเรียวนิ้วของคนรักที่กำลังจะกระตุกสายคาดเอวของนางเพื่อล้วงเข้ามาหาเนินอกกลมกลึงเพื่อคลึงเล่น
หญิงสาวพยายามเอ่ยเตือนสติคู่หมั้น ด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักว่า “แต่ว่าเรายังมิทันได้แต่งงานกันนะ ท่านควรให้เกียรติข้า จนกว่าจะถึงยามส่งตัวเข้าหอ...”
สิ้นคำนั้น จางฉวนจึงหยุดชะงัก ได้สติกลับคืน
ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกจากซอกคอและดึงมือออกจากสาบเสื้ออีกฝ่าย
ใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อหยุดอารมณ์ปรารถนา ถอยหลังไปนั่งอย่างสงบ เก็บสายตาร้อนแรงกลับมาแล้วเสมองไปทางอื่น
รอบด้านพลันอึมครึมมัวหม่น มิใช่บรรยากาศของคู่รักอีกต่อไป
“เจ้าพูดมาก็ถูก...”
ระหว่างที่จางฉวนเอ่ยพึมพำเบาๆ ปราศจากคำขอโทษ อันใด ชิงหลินได้แต่ก้มหน้าหลุบตาค้อมศีรษะ บนใบหน้าแดงก่ำแฝงความขลาดอาย รู้สึกกระวนกระวายและลังเลต่อเหตุการณ์ตรงหน้า
ค่ำคืนหนาวเหน็บยังคงคืบคลานผ่านไป อ๋องหนุ่มยืนมององครักษ์เกราะเหล็กผู้นี้อยู่เงียบๆหลังผ่านพ้นภาวะสะเทือนใจจากการได้รับรู้ความจริงบางประการ อู๋จวินจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง แต่ยังคงหันหลังไม่หันหน้าไปทางผู้เฝ้ามอง เขาเพียงเอ่ยเสียงแหบพร่า“ทั้งหมดคือสาเหตุที่ท่านอ๋องเรียกกระหม่อมมากระมัง”ถังไห่เฉิงตอบเสียงเรียบ “ย่อมใช่”อู๋จวินแค่นยิ้มขื่น ฝืนข่มความทุกข์ใจแสนสาหัสเอาไว้ ให้เงาจันทร์อันยาวนานกลืนหายไป พร้อมวิญญาณของสตรีอันเป็นที่รักได้ไปสู่สุคติภูมิที่ดี“เป็นกระหม่อมที่ทำผิดต่อนางเหลือเกิน พยายามยื้อนางทุกวิถีทาง กระทั่งเดินทางไปขอสิ่งของบางอย่างจากนักพรตในอารามบนยอดเขา เพื่อตรึงวิญญาณของนางเอาไว้ให้วนเวียนอยู่ข้างกายตลอดเวลา แม้ไม่อาจเห็น ไม่อาจสัมผัส ไม่อาจสนทนา แต่ขอเพียงรู้ว่านางยังอยู่ ไม่หายไป...”ความลับเช่นนี้เมื่อถูกเอ่ยออกมา ผู้ฟังพลันเลิกคิ้วสูงถังไห่เฉิงถึงกับพูดไม่ออก เขามองอู๋จวินอย่างคาดไม่ถึง ได้ยินองครักษ์หนุ่มเอ่ยอีกว่า “เป็นกระหม่อมที่ไม่ยอมปล่อยวาง จนเป็นการทำร้ายนางอย่างร้ายแรง”อ๋องหนุ่มยังคงไร้ซึ่งวาจาอู๋จวินเองก็ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อจากนั้นทั้งสองปล่อย
ราชองครักษ์หนุ่มปรายสายตามองสำรวจทุกสิ่งอยู่นิ่งๆ หาได้ประหวั่นพรั่นพรึงแต่อย่างใด เพียงนึกแปลกใจเท่านั้นชั่วครู่ประตูห้องพลันปิดลงเองทั้งยังลั่นดาลจากด้านนอก ทั้งๆ ที่ไม่ใครอยู่หน้าห้องสักคนอู๋จวินขมวดคิ้วฉงน ร่างสูงยืนตระหง่านไม่ขยับบนดวงหน้าราบเรียบเพิ่มความเย็นเยียบขั้นสุด ดวงตาอันแสนจะเย็นชาเริ่มมีโทสะไหววูบ กระบี่ในมือเตรียมออกจากฝักได้ทุกเวลา ทว่าอึดใจกลับชะงักงันตัวเกร็ง ก้อนเนื้อในอกแกร่งด้านซ้ายคล้ายกับหยุดเต้นฉับพลันเมื่อเขาหันไปเห็นหญิงสาวงดงามผู้หนึ่งค่อยๆ ผุดพรายออกมาจากกำแพงห้องรับรอง นางมีใบหน้าสะคราญโฉมเกินใคร ท่าทางองอาจสง่างามเกินอิสตรีทั่วไป แต่มีรอยยิ้มหวานล้ำที่สุดในใต้หล้านางผู้กุมหัวใจของอู๋จวินเอาไว้ทุกห้วงเวลาแม้ยามนิทราเส้นเสียงแหบพร่าเอ่ยเรียกขานภรรยาผู้ลาลับแสนคะนึง“ชิงเอ๋อร์...” ...ห่างออกมาจากห้องรับรองคือห้องเก็บของจิปาทะ มีชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งซ่อนตัวอยู่ในนั้นถังไห่เฉิงเลือกเรือนลึกลับแห่งนี้ให้ลี่เซียนกระทำบางสิ่ง เขาไล่บ่าวรับใช้ออกไปจนหมด มิให้ผู้ใดรับรู้หรือรบกวนทั้งสิ้นประตูหน้าต่างของห้องรับรองอันมืดมิดที่อู๋จวินเดินเข้าไปล้วน
อ๋องทมิฬผู้นี้กำลังได้ค้นพบตนเองอีกด้านอย่างคาดไม่ถึงทว่าความกลัวของถังไห่เฉิงพลันสลายหายไปจนสิ้น เพราะลี่เซียนถึงขั้นเก็บเรื่องในสวนบุปผาไปฝันร้ายนางละเมอออกมาคล้ายเด็กหญิงตัวน้อยว่าเขากลับไปหาหญิงอื่นที่เป็นคนรักเก่า ในฝันของนาง หญิงผู้นั้นเป็นหลิงเจิน นางพูดออกมายามหลับฝันว่าต่อให้หลิงเจินเป็นคนดีสักปานใด และเขากับหลิงเจินจักรักกันมากแค่ไหน นางก็ยังไม่อาจวางใจนางพร้อมจะหลีกทางให้จริงๆ เพียงแต่กลับมิอาจตัดใจจากเขาได้เลย จึงคิดเอาไว้แบบไม่บอกใครว่าจะใช้พลังเร้นกายลอบติดตามปกป้องเขาเงียบๆ ไม่ต้องเป็นพระชายาก็ได้หลิงเจินคงไม่รู้ใช่ไหม? ว่านางมีความคิดชั่วร้ายเช่นนี้!แม้ไม่สามารถกดกอดคลอเคลียร่วมรักกันได้เหมือนเก่า แต่นางขอตามปกป้องเงียบๆ แบบหญิงแพศยาลอบมีความรู้สึกอันดีกับเขาได้หรือไม่เขาที่กำลังกล่อมนางนอนถึงกับกลั้นยิ้มจนปวดกราม ลี่เซียนมีความคิดเถรตรงเหมือนมารดาของเขามากเลยทีเดียวอ๋องหนุ่มคิดไปคิดมาก็สรุปได้ว่าสตรีที่เขารักสองคนนี้เหมือนกันจริงๆกาลก่อนเสด็จแม่ก็ลอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเสด็จพ่อแม้มิใช่ความคิดที่ดีเท่าใด หากแต่เสด็จแม่เป็นนางมารที่ต้องกลับใจมิให้ทำเรื่องชั
อ๋องหนุ่มเดินตรงเข้ามาทางหญิงสาวที่เก้าอี้หินอย่างเร็ว สีหน้าของเขาเย็นชา สายตายิ่งดุดัน กระนั้นเขากลับไม่พูดไม่จาต่อจากนั้น เพียงโน้มตัวลงและยื่นมือเรียวยาวให้ลี่เซียนเพราะหากชักช้า ภรรยาของเขาคงได้นอนหลับตรงนี้แน่ทุกครั้งที่นางฟังนิทาน พลังมหาศาลคล้ายถูกสูบจนสิ้น และนางย่อมต้องได้นอนกลางวันหลังกินอาหารอิ่มก่อนเท่านั้นอ๋องทมิฬผู้เคร่งขรึมเหี้ยมโหดโฉดทุกสมรภูมิผู้นี้เป็นสามีที่ดูแลเอาใจใส่และทะนุถนอมภรรยาหนึ่งเดียวของเขามากเมื่อแม่นางน้อยเหลือบตาเห็นถังไห่เฉิง สองแขนเรียวเล็กก็กางออกโดยสัญชาตญาณชายหนุ่มโอบร่างนุ่มด้วยอ้อมแขนอย่างรักใคร่หวงแหน ให้นางได้ซุกซบแผงอกอุ่นของเขา มองนางถูใบหน้านวลเนียนคลอเคลียไปมาเบาๆ เพื่อหามุมสบาย ฟังเสียงครางหวิวอย่างผ่อนคลายคล้ายลูกแมวน้อยอยู่ครู่หนึ่งจึงปรายตามองหลิงเจินอย่างอำมหิตคาดโทษ แม้อีกฝ่ายจักเป็นสหายตั้งแต่เด็ก เป็นถึงศิษย์รักของพี่หญิงใหญ่ เขาก็ไม่ละเว้นรุ่ยชินอ๋องอุ้มพระชายาเดินจากไปอย่างเป็นธรรมชาติ ปล่อยทุกสายตาโดยรอบบริเวณให้มองอย่างคาดไม่ถึงอยู่เช่นนั้น หลิงเจินถึงกับอ้าปากตาค้างนั่นใช่ถังไห่เฉิงที่นางรู้จักหรือไม่?อิงอิงยิ่งตก
ภายใต้ต้นไม้กฤษณาหอมกรุ่นร่มรื่นเย็นสบายลี่เซียนเห็นอีกฝ่ายจู่ๆ เงียบงัน ก็มิได้เอ่ยคำทำลายความเงียบนั้น เพียงพินิจอีกฝ่ายนิ่งๆ สังเกตจากรูปร่างหน้าตางดงามและผิวพรรณเนียนละเอียดขาวผ่องเปล่งประกาย ดูก็รู้ว่าเชื้อสายคงเป็นสตรีชั้นสูง นางจึงคาดเดาได้ไม่ยาก พลางถามเสียงเนือย“เจ้าเป็นลูกของภรรยาเอกผู้แทรกกลางนางนั้นหรือ?”หลิงเจินยังคงทอดมองเบื้องหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า หาได้เปล่งวาจาใด แต่นั่นย่อมเพียงพอแล้วสำหรับลี่เซียนหมอหญิงแค่นยิ้มเย็นชา แต่ในใจกลับรู้สึกเป็นมิตรต่อพระชายามากยิ่งขึ้นนางจึงกล่าวต่ออย่างเถรตรงเฉกเช่นสหายที่ดีที่พึงกระทำต่อกัน ไร้ฐานันดรของอีกฝ่ายกางกั้น ปราศจากความห่างเหินแบ่งแยกชนชั้นเหมือนเช่นคราแรก สรรพนามที่เรียกขานยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย“สามีมากภรรยานับเป็นเรื่องธรรมดาของชายหญิงทั่วไป ทว่าบุตรของพวกเขามิได้คิดเช่นนั้นกันทุกคน ข้าหนีออกจากบ้านด้วยเงินทองที่แอบเก็บออมเอาไว้ รวมกับที่แอบขโมยท่านแม่มา”“...”ลี่เซียนชะงักพลางมุ่นคิ้ว ขโมย?หลิงเจินปรายตามองลี่เซียนนิ่งๆ ไม่สะทกสะท้านต่อสายตาที่หรี่แคบพร้อมคำถามคาดคั้นกับคำว่า ‘ขโมย’นางเหยียดยิ้มหยันแล้วเล่าต่อ “เงิน
หลิงเจินไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่านางกำลังจะกลายเป็นสหายที่รู้ใจที่สุดผู้หนึ่งของลี่เซียนหมอหญิงจับประคองพระชายาเดินไปนั่งลงยังเก้าอี้หิน ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้กฤษณากลิ่นหอมกรุ่นจรรโลงจิตใจ ส่งผลให้รู้สึกถึงบรรยากาศที่หนักอึ้งเมื่อครู่ได้ผ่อนคลายเมื่อนั่งเคียงกันแล้ว สองตาหลิงเจินเพียงมองไปยังท้องฟ้ากว้างใหญ่อันไกลโพ้น พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า“หมู่บ้านห่างไกลความเจริญมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเป็นเพียงหมอชาวบ้านธรรมดา ทว่ากลับมีรูปร่างหน้าตาสง่างามโดดเด่น พื้นเพของเขาเป็นเพียงสามัญชนไร้สกุลยิ่งใหญ่ บิดามารดาล้วนตายจากไป ญาติมิตรอพยพย้ายถิ่นฐานจนหมดสิ้น เนื่องจากไม่เคร่งครัดธรรมเนียมปฏิบัติจึงอยู่กินกับภรรยาตั้งแต่อายุยังน้อยโดยมิได้ผ่านการแต่งงานอันใด ยามนั้นพวกเขายังไม่มีฐานะอะไร ต่อมา...ฝ่ายชายมีโอกาสสร้างผลงานความดีความชอบเพราะสามีภรรยาเดินทางเข้าเมืองหลวงและได้รักษาอาการเจ็บป่วยปางตายให้ขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งจนขุนนางผู้นั้นหายดีเป็นปลิดทิ้ง จากนั้น...หมอหนุ่มซึ่งเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาจึงเริ่มมีชื่อเสียง เงินทองไหลมาเทมา กระทั่งมีหน้ามีตาและมีฐานะที่ดี ผู้คนนับถือ มีเกียรติย







