พอลืมตาตื่นขึ้น ลู่ซินฟาง ก็พบว่าตัวเองอยู่ในกระท่อมพุพังพร้อมกับลูกแฝด ซินฟางคนเก่าถูกสามีเลวทอดทิ้งอย่างน่าอดสู แต่ซินฟางคนใหม่ไม่ใช่คนที่หงอ รอให้คนอื่นมารังแกง่ายๆ หากชีวิตใหม่ต้องเริ่มจากศูนย์ เช่นนั้นก็มาลองกันสักตั้ง และนางจะใช้ชีวิตในโลกใหม่นี้พร้อมกับเลี้ยงลูกแฝดให้สุขสบายเอง!
Lihat lebih banyakบทที่ 1
ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกแฝด
แคว้นต้าเหลียน
หมู่บ้านกว่างซู เมืองเล่ออัน
ภายในกระท่อมเล็กที่ทรุดโทรมท้ายหมู่บ้าน
“ท่านแม่ ข้าหิวจังเลย ฮึก...”
เสียงเล็กๆ ของเด็กหญิงสะอึกสะอื้น ดังอยู่ข้างกายของหญิงสาว
“เป่าเอ๋อร์ ท่านแม่ป่วยอยู่ ห้ามเอาแต่ใจ”
คราวนี้เป็นเสียงเอ็ดของเด็กชาย
“แต่...แต่ข้าหิวนี่น่า ฮื่อๆ”
“ข้า...ข้าก็หิว ฮึก ฮือ...”
เด็กชายแบกรับความเข้มแข็งในฐานะพี่ชายไม่ไหวแล้วเหมือนกัน พูดประโยคนั้นจบก็ประสานเสียงร้องไห้กับน้องสาว
เสียงร้องไห้ของเด็กทั้งสองช่วยดึงสติของลู่ซินฟาง นางพยายามลืมตาที่หนักอึ้งขึ้น
เมื่อตื่นขึ้นแล้ว ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือกระท่อมผุพังที่ทำจากไม้กระดาน มีรอยแตกรอยรั่วหลายจุด มองไปก็เห็นโต๊ะกินข้าวเก่าซอมซ่อได้ทันที ส่วนเด็กน้อยที่กำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ข้างๆ นี้ อายุน่าจะราวๆ 3-4 ขวบ หน้าตาคล้ายกันอย่างกับแกะ คาดว่าคงเป็นฝาแฝด
ความทรงจำครั้งล่าสุดที่จำได้ สถานที่ที่ลู่ซินฟางอาศัยอยู่คือห้องในอะพาร์ตเม้นต์ย่านกลางเมืองที่เจริญแล้ว
ลู่ซินฟางที่ทำงานหนักติดต่อกันมาเป็นเดือน พอได้วันหยุดก็นอนอย่างเอาเป็นเอาตาย
ไม่คิดว่าความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก จะทำให้เห็นภาพหลอน
ลู่ซินฟางปิดตาลงแล้วลืมขึ้นมาใหม่ ภาพที่เห็นก็ยังเป็นกระท่อมเก่าพุพังกับเด็กทั้งสองที่ฟุบหน้าร้องไห้จนไหล่สั่นเหมือนเดิม
ทันใดนั้นเอง ความทรงจำของลู่ซินฟาง(อีกคน)ก็วาบเข้ามาในหัว
เด็กชายหญิงที่กำลังร้องไห้อยู่นี้คือลูกแฝดของลู่ซินฟาง เด็กชายคนพี่ชื่อเฉิงเอ๋อร์ (ลู่เฉิง) เด็กหญิงคนน้องชื่อเป่าเอ๋อร์ (ลู่เป่า) ทั้งสองคนอายุ 4 ขวบกับอีก 5 เดือน
เพราะต้องอยู่อย่างอดมื้อกินมื้อ พวกเขาจึงตัวเล็กกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน
หลังจากลู่ซินฟางถูกบ้านสามีเตะออกมาพร้อมกับหนังสือหย่า เด็กทั้งสองก็ใช้แซ่ลู่ ซึ่งเป็นแซ่ของแม่
ถึงจะถูกบ้านสามีไล่ออกมาแล้ว ลู่ซินฟางคนเก่าก็มีจิตใจที่เข้มแข็ง นางกลับมาอาศัยที่บ้านเดิมของมารดา บนที่ดินเล็กๆ นางปลูกผักทำสวน หาของป่าประทังชีวิตของตนและลูกๆ
อนิจจัง ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ร่างกายป่วยกระเซาะกระแซะมานาน พอทรุดไปก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย และนี่ก็คือเหตุผลที่ลู่ซินฟางจากอีกโลกหนึ่งมาสวมร่างแทน
อย่างไรก็ตาม นางควรทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เด็กทั้งสองหยุดร้องไห้
หญิงสาวยื่นมือออกไปตั้งใจจะลูบศีรษะเล็กๆ ที่ฟุบอยู่ข้างกาย ทันใดนั้นก็เห็นว่าแขนของนางทั้งผอมแห้งเหลือแต่กระดูก หนำซ้ำยังอ่อนแรงแทบยกไม่ขึ้น
ร่างกายนี้ทรุดโทรมขนาดไหนกันเนี่ย!
ลู่ซินฟางพยายามตั้งสติ รวบรวมกำลังอีกรอบ ยื่นมือที่สั่นเทาออกไปลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกทั้งสองคน
“เป่าเอ๋อร์ เฉิงเอ๋อร์”
เสียงที่แหบแห้งทำให้รู้ว่าร่างกายนี้นอกจากป่วยกมานาน ยังขาดสารอาหารอีกด้วย
เด็กหญิงสะดุ้งโหยง เงยหน้าที่เปื้อนน้ำตามองมารดา
“ท่านแม่!”
พอเป่าเอ๋อร์ตะโกนอย่างนั้น เฉิงเอ๋อร์ก็เงยใบหน้าที่นองน้ำตาขึ้นพรวด ดวงตาไร้เดียงสาของเด็กน้อยมองมารดาด้วยความเป็นห่วง
“ท่านแม่ฟื้นแล้ว!”
แล้วเด็กทั้งสองก็ประสานเสียงร้องไห้อีกรอบ
“แง้...!”
ลู่ซินฟางยิ้มอย่างยากลำบาก
“แม่คงหลับไปนานจนทำให้พวกเจ้ากลัว”
“ข้า...ข้ากลัวมากเลย ฮื่อๆ” เป่าเอ๋อร์โผกอดหญิงสาวที่ยังนอนอยู่
“ฮึกๆ ข้ากลัว...กลัวว่าท่านจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก” เฉิงเอ๋อร์พูดพลางสะอึกสะอื้น
ลู่ซินฟางน้ำตาคลอเบ้า
ทั้งที่นางมาสวมร่างนี้แทนคนอื่น เป็นแค่คนแปลกหน้า ไม่ได้คลอดเด็กพวกนี้ออกมา ก็ไม่รู้ทำไมถึงได้มีอารมณ์ความรู้สึกร่วมอย่างรุนแรง
“ท่านแม่ ต่อไปห้ามนอนนานๆ เช่นนี้อีกนะ” เฉิงเอ๋อร์ย้ำ
“อืม แม่สัญญา” ลู่ซินฟางรับปากอย่างจริงจัง “ต่อไปแม่จะไม่ทำตัวขี้เกียจ เอาแต่นอนแบบนี้อีกแล้ว แม่สัญญาว่าจะเลี้ยงดูพวกเจ้าอย่างดีด้วย”
เป่าเอ๋อร์ส่ายหน้า แก้มตอบของเด็กน้อยยังคงเต็มไปด้วยคราบน้ำตา “แค่ท่านแม่ไม่ทิ้งพวกเราไปก็พอ”
ตอนถูกบ้านสามีไล่ตะเพิดออกมา พวกเขาทำอย่างกับว่าทั้งสามคนเป็นสัตว์ก็ไม่ปาน ซ้ำยังกล่าวว่าเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ไม่ใช่ลูกในไส้ เด็กๆ อายุใกล้ 5 ขวบ โตพอจะรู้ความแล้ว ย่อมเข้าใจว่าคำพูดเหล่านั้น
ดังนั้นเด็กทั้งสองจึงไม่อยากถูกแม่ทอดทิ้งไปอีกคน
ลู่ซินฟางใช้ศอกยันตัวเองลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ก่อนจะโอบกอดลูกทั้งสอง
“แม่จะไม่ทอดทิ้งพวกเจ้า”
นางให้สัญญา
ทันใดนั้นเอง เสียง ‘จ๊อก...’ ดังมาจากกระเพาะน้อยๆ ของเด็กทั้งสอง
เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ร้อนรนจนหน้าแดงก่ำ
ลู่ซินฟางหัวเราะเบาๆ เพราะไม่ค่อยมีแรง
“หิวกันแล้วสินะ”
“มะ...ไม่หิว”
เด็กๆ ปฏิเสธทั้งที่แก้มยังแดงก่ำ พวกเขารู้ว่าในบ้านไม่มีอะไรเหลือแล้ว ถ้าบอกว่าหิว ท่านแม่ก็ลำบากออกไปข้างนอกเพื่อหาของมาให้พวกเขากิน ท่านแม่เพิ่งจะฟื้น ร่างกายอ่อนแอ ออกไปตอนนี้ต้องล้มป่วยอีกแน่ๆ
ลู่ซินฟางยิ้มด้วยความเอ็นดูเนื่องจากเดาความคิดของเด็กทั้งสองได้
“แม่นอนนานแล้ว ต้องลุกขึ้นมาเดินสักหน่อย”
“แต่ว่า...”
เจ้าตัวน้อยทั้งสองเกาะแขนผอมแห้งของลู่ซินฟางเหมือนต้องการห้าม
นางยิ้มแล้วบอก “แม่ไม่เป็นอะไรจริงๆ พวกเจ้าช่วยแม่เช็ดโต๊ะได้หรือไม่ เดี๋ยวแม่ออกไปหาอะไรให้พวกเจ้ากิน”
“ท่านแม่ ในครัวไม่มีอะไรเหลือเลย” เฉิงเอ๋อร์บอก
“เฉิงเอ๋อร์ เป่าเอ๋อร์ เชื่อฟังแม่นะ...พวกเจ้าไปเช็ดโต๊ะ แล้วแม่จะเอาของอร่อยๆ มาให้”
หลายวันมานี้ท่านแม่ล้มป่วย เฉิงเอ๋อร์ดูแลในบ้าน รู้ว่าในครัวไม่เหลือแม้แต่ข้าวสารสักเม็ด แล้วท่านแม่จะเอาของกินมาจากไหน
“ไม่ต้องห่วง”
ท่านแม่ทิ้งคำพูดนั้นแล้วลงจากเตียง
หนูน้อยทั้งสองได้แต่มองตามด้วยตาปริบๆ พร้อมรู้สึกถึงความหวังขึ้นมา
ร่างกายอ่อนระโหยโรยแรงของลู่ซินฟางค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง พอเท้าแตะพื้นก็รู้สึกเจ็บ นางก้มมองเห็นว่าพื้นขรุขระเป็นหลุม แถมยังไม่สะอาด มีรองเท้าฟางคู่เก่าใกล้ขาดสามคู่อยู่ข้างเท้า คู่หนึ่งของผู้ใหญ่ อีกสองคู่เป็นของเด็ก
นางสวมรองเท้าฟาง แล้วเดินมาหลังบ้าน
ในตู้เก็บวัตถุดิบไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ ตรงเตาทำอาหารมีฟืนกองเล็กกองหนึ่ง ส่วนพื้นที่เล็กๆ ข้างครัวคือแปลงผัก
ฟิ้ว...
ตอนที่กำลังมองหญ้าที่ขึ้นรกในแปลงผักอยู่นั้น สายลมพัดมาระลอกหนึ่ง จู่ๆ ในใจของนางก็รู้สึกถึงความหดหู่
ไม่คิดเลยว่าชีวิตใหม่นี้ จะต้องเริ่มจากศูนย์อีกครั้ง
ผ่านไปสักพัก ลู่ซินฟางสูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง สายตาเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ขณะคิดว่า...ไม่เป็นไร ก็แค่เริ่มใหม่จะยากสักแค่ไหนกันเชียว!
บทที่ 80เหอถิงเคลื่อนไหว (ครึ่งหลัง) เวลาไม่นาน แม่ลูกตระกูลเหอก็เดินมาหยุดที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ พวกเขาแหงนหน้ามองประตูไม้ที่ทั้งหนาและหนักด้วยสีหน้าตะลึง “คฤหาสน์หลังนี้ คงเป็นของตาแก่กงคนนั้น” เหอถิงพึมพำด้วยน้ำเสียงดูแคลน “คาดไม่ถึง ว่าคนอย่างนางจะหาคนเลี้ยงดูที่ร่ำรวยเช่นนี้ได้” ลู่ซินฟางในสายตาของเหอถิงคือผู้หญิงหัวอ่อน รักและเชื่อฟังเหอถิงมาก ไม่ว่าเขาจะสั่งอะไร นางล้วนทำตามและไม่เคยบ่น สำคัญกว่านั้นคือ ตอนรู้จักกับลู่ซินฟางแรกๆ ยังเป็นผู้หญิงยากจน อยู่ตัวคนเดียว แต่ดูตอนนี้สิ ออกจากบ้านเหอไม่ถึงปี นางกลับได้คนเลี้ยงดูใหม่ อยู่บ้านหลังใหญ่โต และยังเป็น ‘นายหญิง’ ของร้านค้าขนาดใหญ่ พอคิดว่าลู่ซินฟางได้ดิบได้ดีขนาดนี้ หากบอกว่าไม่โกรธก็คงโกหก ความรู้สึกของเหอถิงยามนี้เหมือนถูกหักหลังก็ไม่ปาน “ท่านแม่” เหอถิงพยักเพยิดคางไปทางประตูใหญ่ จากนั้น นางเหอก็ก้าวเข้าไปเคาะประตูไม้รัวๆ ก๊อกๆๆ ก๊อกๆ สักครู่ ประตูก็ถูกเปิดจากด้านใน คนที่ปรากฏตัวไม่ใช่พ่อบ้านหรื
บทที่ 79เหอถิงเคลื่อนไหว (ครึ่งแรก) วันต่อมา เหอถิงย้อนกลับมาที่ร้านซินหลิน พอมองเข้าไปในร้าน เห็นลูกจ้างสาวที่ตนเล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวานไม่ได้ต้อนรับลูกค้าอยู่ มุมปากของเขาก็ยกยิ้ม ก่อนจะสาวยาวๆ เข้าไปหาเด็กสาว อีกแค่ก้าวเดียวก็เข้าถึงตัวลูกจ้างคนนั้น แต่แล้วจู่ๆ กลับถูกชายหนุ่มแต่ตัวดีคนหนึ่งชิงเข้ามาตัดหน้า “แม่นางน้อย ข้าสนใจสินค้าตรงนั้น ช่วยแนะนำได้หรือไม่” “ได้เจ้าค่ะ” จากนั้น ทั้งสองก็ย้ายไปยังที่จัดวางชุดชงชาและใบชา เหอถิงชะงักปลายเท้า ทำทีเป็นดูสินค้าตรงนั้น รอคอยจังหวะให้ลูกค้าคนนั้นรีบๆ ซื้อสินค้าแล้วออกจากร้านไป แต่รอแล้วรอเล่า ชายคนนั้นกลับทำทีเหมือนต้องการถ่วงเวลา พอดูสินค้าตรงนี้เสร็จก็ย้ายไปตรงจุดอื่น มิหนำซ้ำ หลังจากลูกค้าคนนั้นซื้อสินค้าเสร็จ ลูกจ้างสาวถูกผู้ดูแลสั่งย้ายให้ไปประจำตำแหน่งอื่นต่อ จากนั้นรอบๆ ตัวนางก็มีคนป้วนเปี้ยนตลอดเวลา คอยอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังไม่มีจังหวะเข้าใกล้แม่นางน้อยคนนั้น เหอถิงจึงตัดใจ หมุนตัวแล้วเดินออกนอกร้านมา ที่เล็งเด็ก
บทที่ 78พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีพ่อ เมื่อมองไปบนสีหน้าหวาดกลัวของลูกๆ ลู่ซินฟางก็รู้สึกหดหู่หัวใจ หญิงสาวกอดลูกแฝด มอบความรักและความเชื่อใจให้กับพวกเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เฉิงเอ๋อร์ เป่าเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น แม่ไม่ได้อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้แม่ปกป้องพวกเจ้าได้ เล่าให้แม่ฟังทั้งหมด เกิดอะไรขึ้นตอนอยู่ที่บ้านเหอ” เด็กทั้งสองกัดปากเงียบๆสักพักหนึ่ง เฉิงเอ๋อร์ก็ขยับปากเล็กๆ ของเขาแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ผู้ชายคนนั้นน่ะ…มักจะทุบตีเป่าเอ๋อร์ แล้วบอกว่านางเสียงดัง ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือสอบ” “แต่ข้า…ข้าไม่ได้เข้าใกล้เขาเลยนะ” เป่าเอ๋อร์พูดเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ “แม่เชื่อ” ลู่ซินฟางลูบศีรษะของเป่าเอ๋อร์ เหอถิงคืออนาคตของบ้านเหอ พ่อแม่ของเขาจึงสร้างเรือนแยกเพื่อให้มีสถานเงียบๆ ไว้อ่านหนังสือเตรียมสอบจอหงวน หลายปีที่ต้องอยู่บ้านนั้น ลู่ซินฟางคอยอำนวยความสะดวกให้กับเหอถิงทุกอย่าง และยังสั่งให้เด็กๆ ห้ามเข้าใกล้เรือนแยกแห่งนั้น เด็กๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ที่นั่น หากไม่ได้รับอนุญาต “เขาเรียกข้าเข้
บทที่ 77ความรู้สึกของเจ้าแฝดที่มีต่อ ‘พ่อ’ เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ ก็เห็นจิ่นเซี่ยกับชายหนุ่มที่แต่งตัวด้วยชุดรัดกุมสีดำเหมือนองครักษ์ห้าคนยืนรอลู่ซินฟางอยู่หน้าประตูใหญ่ อาการปวดหัวจู่โจมขึ้นมาทันใด นางยกมือกุมขมับ วันนี้นางเหนื่อยมาทั้งวัน อยากกอดเจ้าแฝดตัวน้อยนุ่มนิ่มให้หายเหนื่อยเร็วๆ ไม่เพียงคิด ลู่ซินฟางยังเดินดุ่มๆ เข้าประตูทำเหมือนมองไม่เห็นใครทั้งนั้น แต่จู่ๆ หลางไป๋ก็เรียกรั้งลู่ซินฟางไว้ “นายหญิง ช้าก่อน” สยงจวินกับพี่น้องกระต่ายหันมองคนทั้งสอง และยืนรอเผื่อมีอะไรให้ช่วย แต่หลางไป๋โบกมือให้พวกเขากลับเข้าไปข้างในกันก่อน หญิงสาวทำไหล่ตกทันที ด้วยคิดว่าหลางไป๋คงโยนงานให้กับนางอีกแหง “หลางไป๋ วันนี้ข้าเหนื่อยมากแล้ว คิดอะไรไม่ออกเลย เจ้ากับกงเยียนซูตกลงเรื่องคนคุ้มกัน เช่นนั้นเจ้าก็ต้องจัดการอำนวยความสะดวกให้พวกเขา ข้าไม่ไหวแล้วจริงๆ” ไม่เพียงพูดจาอย่างเอาแต่ใจ ท่าทางของนางยังเหมือนเด็กอายุไม่กี่ขวบ หลางไป๋ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เรื่องคนคุ้มกัน ข้าจะจ
บทที่ 76ต้องมองกงเยียนซูใหม่ (ครึ่งหลัง) ตอนที่ตื่นขึ้นมาในร่างใหม่นี้ ลู่ซินฟางค้นหาความทรงจำของร่างเดิม นอกจากความโชคร้ายที่เจ้าของร่างต้องเผชิญ ยังพบว่ายุคนี้ไม่มีอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ แต่เมื่อเป็นยุคโบราณ ก็ต้องมีสงครามเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ส่วนใหญ่เป็นสงคราแย่งชิงดินแดนและปราบปรามกลุ่มกบฏตามชายแดน อย่างไรก็ตาม กงเยียนซูแม้ตอนนี้เล่นบทเป็นพ่อค้า แต่เขาก็เป็นถึงองค์ชาย การจัดหาเสบียงส่งให้กับกองทัพเป็นหน้าที่ขององค์ชายที่ต้องทำเพื่อแผ่นดินและราษฎร ตอนที่กำลังคิดถึงความสำคัญของเสบียง หลางไป๋ก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้า ลู่ซินฟางมองรายการสินค้าพร้อมฟังหลางไป๋อธิบาย “ในกระดาษแผ่นนี้คือรายการสินค้าคร่าวๆ ที่ทางเราต้องจัดเตรียมขอรับ” “ด่วนหรือไม่” “เห็นว่าด่วน” ข้าวสาลี ธัญพืช เกลือ ของตากแห้ง เครื่องเทศ ของพวกนี้ไม่ได้เตรียมยากอะไร ที่ถามว่าด่วนหรือไม่นั้น จะได้ช่วยคำนวณระยะเวลาจัดส่งสินค้าและการเดินทางได้ถูก “ท่านกงบอกว่า จริงๆ แล้ว พ่อค้าที่เมืองโหยวเปยต้องเป็นคนจัดส่งเสบียงพ
บทที่ 75ต้องมองกงเยียนซูใหม่ (ครึ่งแรก) เย็นมากแล้ว ร้านรวงมากมายที่ตั้งอยู่ตามท้องถนนเริ่มทยอยเก็บของและกลับบ้าน ภายในร้านซินหลินเวลานี้…ลู่ซินฟางนั่งเท้าคาง ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าอยู่ที่โต๊ะ นี่ก็สักพักแล้ว ที่หลางไป๋ออกไปหากงเยียนซู แม้พอจะเดาได้ว่าทางนั้นไม่มีทางร่วมมือทำตามแผนของหลางไป๋ แต่ลู่ซินฟางก็อดกังวลใจไม่ได้อยู่ดี กงเยียนซูมีความคิดคาดเดายาก เกิดตอนนั้นนึกสนุกขึ้นมา แล้วรับปากหลางไป๋ว่าจะร่วมแผน แสดงเป็นสามีปลอมๆ ให้กับลู่ซินฟาง จะไม่เป็นการยืนยันข่าวลือเรื่องที่นางกับเขามีความสัมพันธ์ลับๆ กันหรอกหรือ “เอาน่า ทุกคนอย่าทำหน้าวิตกกันอย่างนี้ ข้าคิดว่ายังไงเขาต้องรับปาก” สยงจวินปลอบทุกคนที่มารวมตัวกันด้วยท่าทีมั่นใจอย่างยิ่ง ลู่ซินฟางดึงสติกลับ เหลือบตามองพ่อหมีพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ ตอนที่นางกำลังเปิดปากแย้งว่า ‘เรื่องนั้นไม่มีทางเสียหรอก’ เด็กหนุ่มกระต่ายหู่จืออวิ๋นก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “เขาดูมีใจให้กับนายหญิง ข้าก็คิดว่าต้องรับปากแน่ๆ” คราวนี้มุมปากของหญิงสาวกระตุก พวกเขาเ
Komen