หญิงสาวรีบจัดเสื้อผ้าของตนด้วยมืออันสั่นเทา ท่าทางตื่นกลัว ลอบมองหน้าของชายคนรัก ในใจคิดเพียงว่า นางชอบใบหน้าหล่อเหลาของคู่หมั้นเป็นอย่างมาก ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งชอบ เพียงแต่นางยังไม่พร้อม ความมั่นใจใดๆ ก็ไม่มี หน้าอกหรือก็ยังไม่ใหญ่เท่าใด กลิ่นกายก็ไม่แน่ว่าจะหมดความหอมไปนานแล้ว มันน่าอายเกินไปจริงๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้รู้สึกขลาดเขลาไม่น้อย
เดิมทีชิงหลินมักจะนัดพบกับจางฉวนในศาลากลางสวนที่ไร้ซึ่งกำแพงปิดกั้นสายตาทั้งยังเปิดเผยรอบทิศ มิอาจทำการล่วงล้ำเกินเลยอันใดต่อกันแม้แต่น้อย
ทว่าวันนี้ยามเดินทอดน่องกลับคุยกันเพลิดเพลินมากนัก รู้ตัวอีกทีก็เข้ามานั่งในห้องรับรองของเรือนตัวเอง
ถัดจากห้องนี้ไม่ไกลก็คือห้องนอน หากนางไม่อาจยับยั้งเกรงว่าคงทำผิดประเพณีอย่างมหันต์แล้ว
หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างตระหนก ตบอกตนเองเบาๆ ให้หัวใจเต้นช้าลง สีหน้าเอียงอายมากล้น พวงแก้มทั้งสองแดงก่ำ ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ช้อนสายตาขึ้นมองคู่หมั้นอย่างเชื่องช้า เก็บกดความรู้สึกเสียดายเอาไว้ให้ลึกสุดใจ
ทว่ากลับเห็นเขาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วคล้ายโกรธกรุ่น พริบตานั้นจางฉวนก็หันมาก้มหน้ามองด้วยสายตาที่ดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร เขาคลี่ยิ้มมุมปากไม่แน่ชัดว่าอยู่ในอารมณ์ใด ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังว่า
“วันนี้ ข้าต้องกลับก่อน แล้วจะมาหาเจ้าใหม่”
จบคำก็เดินจากไปอย่างเฉยเมย ไม่มองคนรักอีกเลย
ชั่วขณะนั้น ใบหน้าชิงหลินพลันซีดเผือด มองจางฉวนอย่างรู้สึกผิดทันที
ในห้องที่เคยมีเสียงคุยหยอกล้อก่อนหน้านี้พลันเงียบงัน คงเหลือสตรีผู้หนึ่งนั่งโง่งม
ครู่ใหญ่ชิงหลินจึงคิดได้ว่าควรไปขอโทษจางฉวน นางรีบลุกขึ้นอย่างร้อนรนแล้ววิ่งออกจากเรือนอย่างเร็ว ในใจยังคิดว่าควรเร่งรัดเรื่องการแต่งงานเสียที ปีนี้อายุนางก็ใกล้สิบหกปีแล้ว
เมื่อปลายเท้าวิ่งมาหยุดอยู่กลางลานหน้าเรือน หญิงสาวมองไปจนทั่ว กลับไม่เห็นชายคนรัก ชิงหลินให้รู้สึกเจ็บปวดใจนัก
นางไม่ควรปฏิเสธเขา…
หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ผ่านมานานถึงหนึ่งเดือนเต็มแล้ว
หากนับตามจริง อารมณ์โกรธเคืองควรหมดสิ้นภายในสามวัน หรือไม่ควรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ จะอย่างไรเสียก็คนรักกัน
ทว่าจางฉวนกลับเงียบหายไป ไม่มาหาเพื่อคุยหยอกล้อเหมือนเก่า ในใจของชิงหลินให้รู้สึกกระวนกระวายยากระงับ ใบหน้าเผยความหม่นเศร้า แต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากกับผู้ใด หรือต่อให้ปรึกษามารดา ก็เกรงว่าจะได้รับเพียงคำตำหนิ เพราะจางฉวนคือบุตรชายของคู่ค้าบิดา ไม่อาจผิดใจกันได้
บ่ายวันหนึ่ง ชิงหลินเริ่มทนไม่ไหว หัวใจร้อนรนดั่งต้องไฟ นางออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปหาจางฉวน หมายมาดบอกกล่าวกับเขาอย่างจริงใจ ว่านางมิได้รังเกียจเขา และนางก็พร้อมจะขอโทษเขาอย่างลึกซึ้ง หากต้องการสิ่งใดนางยอมทั้งนั้น
บ้านของชิงหลินกับจางฉวนห่างกันแค่คนละหัวมุมเมือง บิดาของจางฉวนเป็นสหายต่างถิ่นของบิดาชิงหลิน หลังจากเจรจาร่วมการค้าเสร็จสิ้น จึงซื้อเรือนหลังโตเอาไว้ในหมู่บ้านนี้
มิคาดว่ายังไม่ทันถึงที่หมาย ระหว่างทางผ่านสวนดอกไม้ที่เป็นชายป่า ห่างสายตาผู้คน เบื้องหน้าของชิงหลินในระยะหลายจั้งกลับเห็นแผ่นหลังของจางฉวน
เขากำลังเดินจับมือกับสตรีผู้หนึ่ง
นัยน์ตาสาวน้อยเบิกกว้าง ในใจคิดว่าคงเป็นสหายของคู่หมั้นกระมัง ทว่าท่าทางของพวกเขาสนิทสนมกันเหลือเกิน
ในใจของชิงหลินบังเกิดความคิดสับสน นางเพียงเลือกหลบเร้นตัวตนลงไปนั่งข้างทางที่มีพุ่มไม้บังตา ความรู้สึกชาหนึบเกาะกินในโพรงอกทันทีที่มองเห็นฝ่ายสตรีชัดเจน
ชิงลี่!
หญิงสาวอุทานในใจ นิ่งค้างอึ้งงันในบัดดล
ชิงลี่คือน้องสาวต่างมารดาของชิงหลิน ซึ่งเกิดจากอนุภรรยาของบิดา อายุห่างกับนางแค่หนึ่งปี
ระยะทางที่จางฉวนเดินจูงมือกับชิงลี่ห่างจากชิงหลินหลังพุ่มไม้ไกลอยู่หลายจั้ง แต่กระนั้นภาพที่เห็นกลับเด่นชัดในครรลองสายตา และกลิ่นอายเฉกเช่นคนรักยิ่งชัดเจนในความรู้สึก
ทว่าชิงหลินกลับปฏิเสธความกระจ่างแจ้งนั้น
หญิงสาวกะพริบตา มองอย่างโง่งม กลีบปากเม้มแน่น ส่ายหน้าเบาๆ
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดจางฉวนกับชิงลี่ถึงมาอยู่ด้วยกันในสวนพฤกษาชายป่าเยี่ยงนี้ ทั้งๆ ที่จางฉวนคือคู่หมั้นของนาง และชิงลี่ก็คือน้องสาวของนาง
นับแต่ท่านพ่อหมั้นหมายนางกับเขา ชิงลี่แสดงความยินดีมาโดยตลอด ทั้งยังสนับสนุนให้นางได้เจอกับจางฉวนบ่อยๆ จะได้รักใคร่สมัครสมานต่อกัน
ชิงหลินครุ่นคิดด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง หรือว่าที่ผ่านมาชิงลี่ต้องการเจอหน้าจางฉวนจึงคะยั้นคะยอให้นางนัดเขามาที่บ้าน
คิดไปคิดมาท้ายที่สุดหญิงสาวก็โคลงศีรษะถอนหายใจแล้วสรุปในแง่ดี
จะเป็นไปได้อย่างไร?
นั่นคือคู่หมั้นอันเป็นที่รักของนางกับน้องสาวผู้แสนดี พวกเขาคงเจอกันโดยบังเอิญ แล้วทักทายกันตามประสา
เพราะฝ่ายหนึ่งคือว่าที่พี่เขยและอีกฝ่ายคือน้องสาวของว่าที่ภรรยา ทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน
หญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากหลังพุ่มไม้ เป้าหมายคือเข้าไปหาชายหญิงทั้งสองที่เดินอยู่ไกลๆ เบื้องหน้า เพื่อถามไถ่อย่างบริสุทธ์ใจ มิให้เคลือบแคลงต่อกัน
ทว่ากลับเห็นสองคนนั้นเดินเลี้ยวไปทางหนึ่ง เมื่อชิงหลินลอบติดตาม นานครู่ใหญ่ที่เพ่งมองก็เห็นเป็นเรือนหลังน้อยตั้งอยู่สุดทาง เรือนนั้นรายล้อมด้วยมวลบุปผาบานสะพรั่ง รอบด้านมีต้นไม้ งดงามมากนัก
ชิงหลินขมวดคิ้ว จำได้ว่าครั้งหนึ่งจางฉวนเคยบอกว่า เขามีเรือนส่วนตัวอยู่ริมชายป่าอันเป็นอาณาเขตบ้านของเขา ซึ่งกำลังปลูกสร้าง หากเสร็จแล้วจะพานางมาชม
เรือนนี้คือหนึ่งในหลายเรือนของสองเราในอนาคต
สุดท้าย ...นางกับเขากลับมีปัญหากันเสียก่อน
มือของชิงหลินกำแน่นที่กระโปรง ตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องเข้าไปขอโทษคนรักของตนโดยเร็ว ส่วนเรื่องที่เขาอยู่กับชิงลี่ได้อย่างไรนั้น จำต้องสะกดกลั้นอารมณ์อ่อนไหวเอาไว้ก่อน
ถึงแม้จะยากเย็นมากนักก็ตาม
เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงค่อยๆ เดินตามคนทั้งคู่ที่บัดนี้หายลับเข้าไปในเรือนหลังนั้นแล้ว
หัวใจของชิงหลินชาวาบเนื้อตัวสะบัดร้อนสะบัดหนาวราวกับจะเป็นไข้
แท้จริงแล้วหญิงสาวได้ให้หยุนผิงกับจ้าวหมิงตามสืบจนล่วงรู้ตัวตนคนร้ายตัวจริงก่อนหน้านานแล้วทว่ายังไม่เปิดเผยต่อใครนางแค่รอให้พวกมันได้ใจ และก่อเหตุร้ายในที่สุดรอคอยให้บุคคลสำคัญแห่งต้าถังอ่อนแอที่สุดส่วนชาวยุทธ์เหล่านั้นที่ร่วมมือกับกบฏล้วนเป็นคนของหยุนผิง ที่แสร้งร่วมมือไปก่อนตามสถานการณ์รอตลบหลังอย่างชั่วช้า...แน่นอนว่าเรื่องนี้คนดีๆ คงไม่คิดทำ มีแต่นางมารอย่างซานซานเท่านั้นที่คิดได้เดิมทีโซวอ๋องไหนเลยจักเคยพ่ายแพ้ให้แก่ใครง่ายๆ เช่นนี้ ทุกศึกที่ผ่านมาค่อนชีวิตของเขาล้วนกำชัยทว่าเพราะตัวเขาที่ไม่ว่าจักโหดเหี้ยมต่อศัตรูเพียงใดยังไม่เคยคิดร้ายถึงขั้นเอาชีวิตของหลานชายเลยสักคน จ้าวเหวินรู้ถึงข้อนี้ดี จึงทำทีเข้าหาด้วยท่าทางไร้พิษภัย เป็นหลานชายผู้นอบน้อมเหมือนเช่นเคย แสดงตัวว่าต้องการร่วมรบปราบกบฏกับเสด็จอา ซึ่งยามนั้นยังอยู่ในช่วงที่คาดการว่าทรราชเป็นใครกันแน่ เป็นแม่ทัพหรืออำมาตย์คนใดนั่นจึงทำให้ชั่วขณะมื้ออาหารระหว่างอาหลาน โซวอ๋องถูกพิษสลายวิญญาณจากการร่วมจิบชา ส่วนจ้าวเหวินหนีไปได้ทางทิศใดมิอาจทราบช่วงเวลาเจ็บสาหัสเจียนตาย ย่างเท้าใกล้ประตูผีรอมร่อ ท้ายที่สุดโซวอ๋องกลับ
หลังจากจ้าวเหว่ยได้ขึ้นครองราชย์ อดีตฮ่องเต้ก็ค่อยๆ แข็งแรงขึ้น ไม่นานยังหายป่วยเป็นปลิดทิ้งนับเป็นไท่ซ่างหวงที่สมบูรณ์แข็งแรงผู้หนึ่ง จึงออกท่องเที่ยวไปทั่วหล้าประหนึ่งเป็นหนุ่มน้อยไร้เดียงสากระนั้น ยังไม่ลืมพาจ้าวสุนกับลู่หลิ่งออกท่องเที่ยวพร้อมกัน จนหลี่กุ้ยเฟยต้องนั่งกุมขมับ พร่ำบ่นเช้าค่ำถึงความซุกซนของสามีกับหลานสาวการเปลี่ยนถ่ายขั้วอำนาจและการสละราชสมบัติ นับเป็นช่วงเวลาอันดีที่ซ้อนเร้นสิ่งเลวร้ายช่วงหนึ่งของทุกราชวงศ์ความวุ่นวายจึงก่อตัวขึ้นช่วงนี้ หรือกล่าวอีกทีก็คือกบฏทรราชฉวยโอกาสก่อเรื่องช่วงที่ฮ่องเต้องค์ใหม่เพิ่งประทับนั่งยังไม่มั่นคงคนผู้นั้นคือองค์ชายสี่ จ้าวเหวินร่วมมือกับองค์ชายรอง จ้าวหยางทั้งสองคือผู้ร้ายตัวจริงที่สวมรอยโซวอ๋องหมายจัดการจ้าวเหว่ย ด้วยพันธะสัญญาว่า หากจ้าวเหวินได้ยึดครองบัลลังก์ กลายเป็นโอรสสวรรค์ผู้มีอำนาจล้นฟ้า จ้าวหยางย่อมได้ยศคืน แล้วกลับมาสูงส่งเป็นอ๋องปกครองดินแดนบูรพาอันสมบูรณ์มั่งคั่งคลื่นใต้น้ำห่าใหญ่กำลังคืบคลานชอนไชรอซัดโหมกระหน่ำโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ตัวสักคน...ยามที่จ้าวเหว่ยกำลังประชุมท้องพระโรงหลังจากถ่ายทอดคำสั่งเพื่อให้ขุนนางด
วันเวลาคืบคลานไปช้าๆ สองสามีภรรยาต่างร่วมมือกันก้าวผ่านทุกสิ่ง ดีบ้างชั่วบ้าง แล้วแต่วาระโอกาสจ้าวเหว่ยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนถังเทียนเหมินฮ่องเต้ ซานซานเป็นแม่ทัพหญิงผู้ยิ่งใหญ่ มีสหายร่วมรบมากมายส่วนฮ่องเต้ยังคงประชวรต่อไป นานนับปียังสุขภาพไม่สู้ดีหลี่กุ้ยเฟยมาคอยดูแลฮ่องเต้ถึงห้องบรรทมทุกวัน หลายครั้งยังถูกลู่หลิ่งออดอ้อนขอแสดงความจงรักภักดีโดยการติดตามมาปรนนิบัติด้วยแรกเริ่มฮ่องเต้ทรงมองเด็กหญิงด้วยสายตาหวาดระแวง แต่เพราะประชวรหนักไม่อาจขยับแม้ปลายพระกร จึงทำได้แค่นอนนิ่งๆ ให้ลู่หลิ่งปรนนิบัติรินน้ำชา เตรียมโจ๊ก เช็ดพระวรกาย นวดพระบาท เหน็บชายผ้าห่ม นั่งโบกพัด กระทั่งชวนคุยและเล่าเรื่องสนุกสนานตามจินตนาการจากสมองน้อยๆ จนเรียกเสียงหัวเราะจากคนบนเตียงได้ไม่ยากความน่ารักสดใสของเด็กหญิงเป็นอาวุธชั้นเลิศท้ายที่สุดฮ่องเต้มิอาจต่อต้านได้ จึงยอมรับหลานสาวผู้นี้อย่างจำนนหมดทั้งใจเมื่อได้อยู่เพียงลำพังกับสนมคนโปรด ฮ่องเต้จึงตัดสินพระทัยบอกความจริงทั้งหมดแก่หลี่กุ้ยเฟยด้วยสุรเสียงแหบแห้ง แววพระเนตรรู้สึกผิดเต็มส่วนครั้นหลี่กุ้ยเฟยได้ฟังยังแทบล้มทั้งยืน “ที่แท้หลิ่งเอ๋อร์กับซานซา
สามวันต่อมา...ราชโองการสมรสพระราชทานอย่างเป็นทางการก็เดินทางมาถึงจวนสกุลหลิวมหาขันทีส่วนพระองค์ยืนอยู่กลางโถง สองมือถือแผ่นผ้าสีทองกางออกเบื้องหน้า ทำท่าจะประกาศก้องอย่างเป็นทางการ กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คุณหนูหลิวฉานเหยาจู่ๆ ก็ล้มตึงลงบนพื้นห้อง สองตาเหลือกถลน กลีบปากอวบอิ่มที่ทาชาดสีแดงมีน้ำลายฟูมออกมา นางชักดิ้นชักงอมีท่าทางอเนจอนาถอย่างมาก ขันทีจำต้องม้วนพระราชโองการมงคลสมรสเก็บใส่กล่อง ยืนมองเหตุการณ์วุ่นวายกลางโถงเงียบๆสมรสพระราชทานยังมิได้ประกาศอย่างเป็นทางการ ทั้งยังไม่มีใครรับราชโองการ ขั้นตอนยังไม่ทันสมบูรณ์กลับเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ ลางร้ายโดยแท้...หลิวฉานเหยาหมดสติหลับใหลนับแต่วันนั้น หลายวันผ่านไปยังคงไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมา หมอแต่ละคนตรวจอาการเสร็จก็ทำได้แค่ส่ายหน้า จนปัญญาหาสาเหตุ ทำได้แค่รักษาตามอาการประคองลมหายใจหนึ่งเดือนต่อมาในค่ำคืนหนึ่ง หลิวฉานเหยาพลันฟื้นคืนสติขึ้นมา ทว่ากลับกลายเป็นสตรีไม่สมบูรณ์เหมือนเก่า นางนั่งเหม่อลอยคล้ายเด็กน้อย พูดจาฟังไม่รู้เรื่อง บางครั้งยังซึมเซา บางคราวยังนั่งกล่าวคำเรื่อยเปื่อยแล้วหัวเราะคนเดียวถึงแม้ว่าราชโองการยังไม่ถู
หญิงสาวหมุนตัวอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง ซบหน้าลงตรงแผงอกหนา แนบพวงแก้มกับกล้ามเนื้อตึงแน่น ใช้มือลูบไล้เบาๆ ส่งผ่านความรู้สึกวาบหวามผ่านปลายนิ้วทะลุเนื้อผ้า“ท่านอยากแต่งกับนางหรือไม่เล่า?”ชายหนุ่มเชยคางมน ก้มหน้าสบตาภรรยาที่ได้กราบไหว้ฟ้าดินแล้วตั้งแต่บ้านไผ่ริมธาร“ใจข้ามีเพียงเจ้า”รอยยิ้มหวานพลันปรากฏบนใบหน้างาม ซานซานรับรู้ถึงความจริงใจจากแววตามั่นคงและวาจาหนักแน่นนั้นจ้าวเหว่ยก้มหน้าลงจุมพิตกลีบปากอิ่ม ส่งผ่านความร้อนจากปลายลิ้นให้ซึมลึกถึงความรู้สึกแห่งก้นบึ้งของหัวใจเนิ่นนานผ่านไปจึงถอนริมฝีปากตนออกอย่างเอื่อยเฉื่อย เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่วงท่าคุ้นชิน จับร่างเล็กนุ่มนิ่มให้หมุนเข้าหา จับสองขาเรียวเสลาแยกออกแล้วตวัดรอบเอวเขาสองเรือนกายเริ่มบดเบียดเนิบนาบ เสียงเสียดสีของเสื้อผ้าเกิดขึ้นครู่ใหญ่ ก่อนที่ทุกชิ้นที่ห่อหุ้มทั้งสองค่อยๆ คลายตัวเลื่อนออกจากช่วงไหล่ เผยผิวกายขาวเนียนใต้แสงเทียนรำไรทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กัน ซานซานรู้สึกได้ถึงความคะนึงหา รับรู้ความรักของเขาได้จากอ้อมอกอบอุ่นกว้างหนา วงแขนแข็งแกร่งทรงพลัง ฝ่ามือหยาบกระด้าง ทุกสัมผัสที่เขามอบให้นัยน์ตาลึกล้ำของจ้าวเหว่
หลังงานเลี้ยงเลิกรา ซานซานยังไม่ลืมลอบไปหาบุตรสาวที่ตำหนักฮุ่ยเยี่ยนเนื่องจากดึกมากแล้ว เด็กหญิงลู่หลิ่งจึงนอนตัวกลมอยู่บนเตียงอุ่น ซานซานเข้ามาหอมแก้มลูกน้อยหลายที จนลู่หลิ่งปรือตาสะลึมสะลือ“ท่านแม่”เห็นลูกงัวเงียยกมือขยี้ตาทำท่าจะลุกขึ้นนั่ง ซานซานจึงตบก้นกล่อมแม่นางน้อยให้นอนหลับต่อ“ไม่ต้องลุก แม่มิได้จะรบกวนเจ้า แค่อยากมาหอมแก้มให้หายคิดถึง”เด็กหญิงนอนลง กลิ้งใบหน้าซุกหมอนหนุน ม้วนตัวกับผ้าห่มอุ่น บ่นอู้อี้ “ท่านพ่อรอนานแล้วกระมัง ท่านแม่รีบไป”คนถูกไล่พลันหรี่ตา “เจ้าลูกคนนี้ เห็นพ่อดีกว่าแม่”เด็กหญิงหัวเราะคิก หันหลังหลับต่อเนื่องจากซานซานย้ายออกจากตำหนักฮุ่ยเยี่ยนแล้ว เรือนพักเดิมจึงไม่มีสิทธิ์เข้านอนตามอำเภอใจ นางจึงลอบไปตำหนักบูรพา ทำตัวเป็นจอมโจรเด็ดบุปผาแน่นอนว่าโจรคือนาง บุปผาคือสามีเมื่อเข้ามายังด้านในอันเป็นห้องส่วนตัวอยู่ชั้นสองของเรือนหลัก ปลายเท้าเล็กแตะพื้นแผ่วเบา ดวงตางามกวาดมอง แสงเทียนในห้องมีเพียงริบหรี่ สาดส่องรำไร เห็นเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษยืนเอามือไพล่หลังอยู่ริมหน้าต่าง คล้ายรอคอยอยู่แล้วเป็นนาน ซานซานเดินเงียบเชียบ มองสามีผู้สูงศักดิ์ของตนนิ่งๆ เนิ่