“ครับผม” เด็กน้อยทำตามอย่างว่าง่าย หอบเอาสมุดปากกาและตำราเข้าข้างใน
“โอบรอข้างในนะคุณ” เธอบอก เขาพยักหน้า แต่ยังไม่ยอมลุก แม้ว่าเทียนหยดจะลุกไปหาของว่างในครัวแล้วก็ตาม
“เรียกฉันว่าน้าก็ได้ เรียกคุณๆ มันยังไงชอบกล ไหนๆ ก็มาอยู่บ้านเดียวกัน” ผกากรองเอ่ย จับเอาฟักทองซีกหนึ่งมาฝานเปลือกออกด้วยมีดสองคม มือขาวๆ นั้นเริ่มดำด่างด้วยการกระทำของเปลือกฟักทอง ทว่าเจ้าของมิได้สนใจ สิ่งที่นางทำช่างขัดกับมาดคุณนายที่เป็น ผกากรองสวมชุดเดรสแบรนด์เนมร่วมสมัย ทว่าด้วยการออกแบบนั้นช่วยทำให้สมกับอายุของนาง มิได้ดูฉูดฉาดมากไป อยู่ในความพอเหมาะพอดี ดูเรียบหรูจนสมัตถ์ยังนึกชื่นชม
“คุณไม่โกรธพวกเราแล้วเหรอ เมื่อก่อนยังเห็นเป็นศัตรู” เขาสะกิดใจ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผกากรองกับบุตรชายก็อยู่กันเงียบๆ ไม่ได้ทำบ้านให้ร้อนเป็นไฟอย่างที่เขาเคยคิด นางยังช่วยทำอาหารอร่อยๆ ขึ้นโต๊ะให้คนในบ้านรับประทาน อย่างไม่คิดว่าตัวเองจะเหนื่อย
“ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวรนี่ ถ้าคุณทำงานให้ RPS อย่างขันแข็ง ซื่อตรง แล้วฉันจะมองคุณเป็นศัตรูได้ยังไง ฉันไม่ใช่เด็กวัยรุ่น ฉันผ่านโลกมาหลายปี ฉันคิดได้”
“เทียนหยดก็บอกผมคล้ายๆ แบบนั้น เธอบอกว่าไม่เคยเห็นผมเป็นศัตรู”
“ลูกสาวฉันไม่เคยคิดร้ายกับใคร แต่ว่า...”
“ว่า...” เขาใคร่รู้ในสิ่งที่นางจะเอ่ย
ผกากรองมองสมัตถ์อย่างพิจารณา รู้สึกว่าเมื่อเอ่ยถึงเทียนหยดแล้วเขาจะสนใจเป็นพิเศษ
“เจ็บแล้วจำ เอาคืน เหมือนชื่อน่ะ เทียนหยด ดอกเทียนหยดเป็นดอกไม้ที่ งดงาม บอบบาง แต่พิษร้ายแรงนะ ถึงตายเชียว”
สมัตถ์ชักขนลุกกับคำพูดแปลกๆ ของผกากรอง
“คุณเอ่อ...คุณขู่ผม” ถามออกไปอย่างนั้น จะเรียกนางว่าคุณน้าให้สนิทสนมก็กระดากชอบกล
“ใช่...ขู่เอาไว้ จะได้ไม่เผลอทำร้ายลูกฉัน ลูกใครใครก็รัก”
“ราวกับว่าผมจะทำอะไรเธออย่างนั้น”
“อนาคตไม่แน่นอนนี่ บางที...เรื่องบางเรื่องอาจทำให้คุณสติแตกจนเผลอบีบคอยัยเทียนก็ได้”
“โอ...ไม่มีทางหรอก ผมไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น”
ผกากรองพยักหน้าหงึกๆ ยิ้มน้อยๆ ด้วยว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นางได้คุยกับสมัตถ์แบบยาวๆ คุยแบบที่ไม่ต้องตะโกนใส่หน้ากัน
“ฉันจะคอยดู”
เขาเลิกคิ้ว นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจเอ่ย
“คุณเคยเจอพวกเขาอยู่ด้วยกันไหม”
มีดในมือของผกากรอกหยุดชะงัก เปลือกฟักทองยังฝานไม่เสร็จและถูกวางลงบนถาดเช่นเดิม นางเข้าใจโดยที่สมัตถ์ไม่ต้องเอ่ยชื่อเลย ว่า พวกเขา ที่เขาเอ่ยถึงนั้นหมายถึงใคร
“เจอครั้งสุดท้าย แอบขับรถตามไป”
“วันเกิดเหตุหรือครับ”
“ใช่” ตอบแล้วหลบสายตาคนรุ่นลูก ราวกับมีบางอย่างซ่อนไว้ ไม่สามารถสบสายตาสมัตถ์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
“มันจริงไหม”
“เรื่องอะไรล่ะ”
“ที่พวกเขา...เป็นชู้กัน” ถามแล้วใจสั่นรุนแรง ไม่อยากเชื่อว่ามารดาวัยเลยสาวจะกล้าทรยศต่อความรักของบิดาเขา ซ้ำชู้รักคนนั้นก็มิใช่หนุ่มรุ่นๆ แต่เป็นชายวัยไล่เลี่ยกับบิดาเขานี่เอง
“ก่อนเขาจะตาย รุ่งรดิศยืนยันว่าไม่เคยนอกใจฉัน”
“เขาอาจจะแค่ปลอบใจคุณ” เอ่ยแล้วกำหมัดแน่น ริมฝีปากเริ่มสั่น มันแค้นแม้กระทั่งคนที่ตายไปแล้ว
“บางทีฉันก็เชื่อว่าพวกเขาเป็นชู้กันจริง หลายๆ อย่างมันฟ้อง แม้ไม่เห็นพวกเขาอยู่บนเตียงเดียวกันก็ตาม แต่บางที...ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อ”
“ทำไม”
“เพราะเขารักฉัน รักลูก เขาทำงานอาทิตย์ละห้าถึงหกวัน ไปหาเราแม่ลูกได้แค่อาทิตย์ละครั้ง เขาอยากมั่นคงทางการเงิน เขาทุ่มเทแรงกายในตอนที่เขายังมี เพื่อสร้างมัน เขาไม่เคยวอกแวกให้ฉันต้องระแวง ทั้งที่ฉันก็ไม่ใช่สาวไร้พันธะ ฉันเป็นแม่ม่ายผัวตาย แต่เขาก็รักฉัน รักยัยเทียนเหมือนลูกเขา แต่ทุกอย่างมันเริ่มเปลี่ยนไป เพราะใครก็น่าจะรู้”
สมัตถ์หน้าตึงทันที “แม่ผมก็ไม่เคยทำตัวเสื่อมเสีย จนได้เจอสามีคุณ”
ผกากรองถอนหายใจ นึกถึงเรื่องเก่าๆ แล้วมันชวนให้อยากหลับไปแล้วไม่ต้องตื่น “พวกเขาตายแล้วค่ะคุณสมัตถ์ อยู่กับปัจจุบันเถอะ ถ้าเรื่องในอดีตมันเจ็บก็อย่าไปนึกถึงมันเลย” นางให้ข้อคิดในแบบคนที่ปลงแล้ว มันเหนื่อยเหลือเกินยามนึกไปว่าพ่อของโอบนิธิอยู่บนเตียงเดียวกันกับภรรยาคนอื่น
“มันอดไม่ได้ ยิ่งเห็นพวกคุณ มันก็ยิ่งนึกถึง”
“บางที...เรื่องของอนาคตมันอาจเจ็บปวดมากกว่า”
ชายหนุ่มเงียบไป คิดตามที่ผกากรองเอ่ยแล้วยังไม่เข้าใจนัก
“เขาขับรถยังไงนะ ถึงได้ตกลงไปในคลอง” สมัตถ์เอ่ยถึงความจริงเท่าที่รู้
“รถมันเฉี่ยวกันก่อนหน้านั้น”
“จริงเหรอ ตำรวจไม่เห็นบอก”
“แม่คุณตาย สามีฉันเข้าโรงพยาบาล แล้วใครจะบอกล่ะ ฉันเองก็ตกใจมาก คิดอะไรไม่ออกหรอก รถคู่กรณีที่วิ่งสวนมาก็หายสาบสูญราวกับกลัวความผิด แถวนั้นไม่มีไฟจราจร กล้องสักตัวก็ไม่มี...ทุกอย่าง...มืดแปดด้าน ตำรวจเลยสรุปว่าเป็นแค่อุบัติเหตุธรรมดา”
“คุณเห็นตอนที่เขางมศพขึ้นมาไหม แม่เป็นยังไง” ถามแล้วน้ำตาซึมเอ่อ ตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าเกิดเรื่อง มารู้เรื่องอีกทีมารดาก็อยู่โรงพยาบาลแล้ว
“หัวเธอน่าจะแตก หน้าเธอซีด...คุณรู้แค่นี้เถอะ จดจำแต่ความงามของเธอจะดีกว่า”
เขาส่ายหน้ารัวๆ ไม่อยากยอมรับว่ามารดาเสียไปแล้ว บิดาเขาก็ด้วย ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน และลึกๆ แล้ว เขายังทำใจไม่ได้
“ถ้าสามีคุณไม่ผิด ทำไมถึงยกหุ้นบริษัทให้ผมล่ะ”
ผกากรองส่ายหน้าบ้าง “อันนี้ฉันก็ไม่รู้จริงๆ และมันก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ฉันเคยคิดว่าเขากับแม่ของคุณเป็นชู้กันจริงๆ”
“เดี๋ยวก็เบื่อไปเองมั้งคะ”“ไม่...โอบว่าไม่เบื่อง่ายๆ หรอก พี่ต้องมีอีกสักโหลอ่า จริงๆ”“โอบ...” เทียนหยดครางเสียงต่ำ โหลหนึ่งเลยหรือ ไม่ไหวหรอก“แหะๆ โอบไปรอที่รถดีกว่า หิวแล้ว แม่ครับย่าครับ ไปขึ้นรถเร็วเข้า”โอบนิธิรีบเผ่นก่อนถูกพี่สาวเขกหัว มื้อค่ำวันนี้รอเขาอยู่ ก่อนที่สมาชิกทุกคนของบ้านจะทยอยกันไปขึ้นรถเพื่อไปฉลองงานวันเกิดให้กับเด็กหญิงตัวน้อยเด็กหญิงมัชฌาวี โสภณวิชญ์__________ทฤษฎีโลกกลมยังใช้ได้เสมอในทุกยุคทุกสมัย ในระหว่างที่ครอบครัวโสภณวิชญ์กำลังเลี้ยงฉลองอยู่นั้น ภายในร้านอาหารเดียวกันก็มีหนึ่งสตรีเฝ้ามองความอบอุ่นของพวกเขาด้วยสายตาแสนเสียดาย แม้ข้างกายมีหนุ่มใหญ่เคียงข้าง ทว่ามิใช่ในแบบปกตินานมากแล้วที่ราตรีมิได้เห็นสมัตถ์ มิได้เห็นคนที่อยู่ในหัวใจ มันทรมานยามเห็นพวกเขามีความสุข พอทนไม่ไหวก็รีบบอกให้คนข้างกายลุกกลับ เธอขอย้ายร้านด้วยไม่อยากทนมองความสุขของพวกเขาให้มันร้าวรานใจราตรีเดินออกจากร้านเงียบๆ พร้อมกับลูกค้าของตัวเอง ไม่ทันได้
-+- บทส่งท้าย -+-____________งานวิวาห์แสนหวานถูกจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ถัดมา งานเล็กๆ แต่อบอุ่น สองสามีภรรยาหมาดๆ เลือกทะเลที่ไม่ไกลจากเมืองกรุงฯ เป็นสถานที่ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ด้วยภาวะตั้งครรภ์ของเทียนหยดไม่ชวนให้สมัตถ์อยากนั่งเครื่องบินออกนอกประเทศ ทริปฮันนีมูนสั้นๆ ไม่กี่วันของทั้งสอง เลยสรุปที่ชายทะเลที่สมัตถ์เคยมาคราวก่อน คลื่นลมยังแรงด้วยเข้าสู่ฤดูฝนพรำ คู่สามีภรรยาเดินจับมือกันเดินไปตามชายหาดที่ทอดยาว กลุ่มนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาทั้งไทยและเทศ เดินกันขวักไขว่ ครึกครื้นไม่น้อย“ลมแรงจัง กลับโรงแรมดีไหม ฝนจะตกแล้วด้วย” สมัตถ์ว่าเทียนหยดส่ายหน้าดิก ซบศีรษะลงกับบ่าของสามี สองมือของทั้งสองจับกันไว้มั่น มีแหวนแต่งงานสวมไว้คนละวง“เดินต่ออีกนิดนะคะ สัก...ต้นมะพร้าวต้นนู้น...ค่อยกลับ” ว่าที่คุณแม่ชี้ไปข้างหน้า เจ้าเล่ห์น้อยๆ เพราะต้นมะพร้าวที่ว่าอยู่ไกลโข“ไม่เหนื่อยหรือไง เดินมาตั้งไกลแล้วนะ”“ไม่ค่ะ ถ้าเหนื่อย จะขึ้นหลังคุณแล้วกัน”“หึๆๆ
“ฉันรู้ และขอโทษที่มัวแต่ทำใจในเรื่องนี้จนละเลยสิ่งที่ควรปฏิบัติต่อเธอ ฉันเสียใจที่แม่ต้องตาย แต่มันเสียใจมากกว่าเดิมที่รู้ว่าคนที่ทำให้ท่านต้องตาย...คือเธอ” เขาเอ่ยด้วยเสียงเหมือนผิดหวังระคนน้อยใจ ทำไมต้องเป็นเทียนหยดด้วยเล่า ทำไม“ขอโทษ ฉันขอโทษนะคุณสมัตถ์ ขอโทษจริงๆ”“ชู่ว์...เราเลิกพูดเรื่องนี้เถอะนะ พูดไปก็มีแต่เจ็บปวด ฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ อุบัติเหตุน่ะ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดหรอก เราลืมเรื่องร้ายๆ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กันเถอะนะ ลืมมันให้หมด ลืมว่าเราเคยเกลียดกัน ลืมว่าเราเคยทุกข์ทรมานเพราะความสูญเสีย เรามาอยู่กับปัจจุบันดีกว่า ยังมีอีกหลายอย่างที่เราต้องทำไม่ใช่เหรอ เรามาทำมันไปพร้อมกันเถอะนะ”เทียนหยดน้ำตาซึม ถูกสมัตถ์ดึงตัวไปกอด และมันช่างอบอุ่นนัก นี่คืออ้อมกอดที่เธอโหยหา ช่างควรค่าแก่การเฝ้ารอเหลือเกิน“ฉันว่าเรากินมื้อค่ำดีกว่า ฉันมีอะไรอยากให้เธอดู”“อะไรคะ”“ไม่บอก เธอต้องรอดึกๆ และควรกินมื้อค่ำแล้วหลับสักงีบ ดึกๆ เดี๋ยวฉันปลุก”“แน่นะคะ&rd
[21]พรางรัก___________รุ่งเช้าเสียงกุกกักดังขึ้นที่ข้างเตียง เทียนหยดลืมตาขึ้นช้าๆ สมองหนักอึ้ง โพรงปากรสชาติฝืดเฝื่อน พอขยับลุกขึ้นนั่ง มืออุ่นๆ ของสมัตถ์ก็ช่วยพยุงให้เธอนั่งดีๆ“เป็นยังไงบ้าง อยากอ้วกไหม”หญิงสาวพยักหน้าเมื่อถูกถาม และพอเขาเอาถุงพลาสติกมารอใต้ปาก เธอก็โก่งคออาเจียน มันทรมานเมื่อไม่มีสิ่งใดออกมากับการสำรอกนอกจากน้ำลายเปรี้ยวๆ สมัตถ์ไม่ได้นึกรังเกียจ เขายังช่วยลูบหลัง ช่วยเก็บถุงอาเจียนไปทิ้ง“ฉันจะไปทำงานแล้วนะ เอารถเธอไป”“เอ้า แล้วฉันล่ะ” เธอท้วง ถ้าให้นั่งแท็กซี่ช่วงนี้มีหวังได้อ้วกบนรถแท็กซี่แน่ๆ“เธอไม่มีรถก็ไม่ต้องไปสิ”“ได้ไง ฉันจะไป”“ฮื่อ...พูดไม่รู้ฟัง แพ้ท้องแทบจะยืนไม่ขึ้น ยังจะหาเรื่องอีก แล้วถ้าไปทำงานเผลอไปพะอืดพะอมให้พนักงานเห็น เดี๋ยวลูกน้องก็ได้นินทาพอดี” สมัตถ์หาทางเลี่ยงไม่ให้เทียนหยดไปทำงาน แต่เทียนหยดกลับคิดเป็นอื่น“ช่างสิ นินทาหรือ
สมัตถ์อมยิ้ม ยักไหล่ใส่คนที่ร้องขอ “ทำไมล่ะ”“กลัวลูกได้ยินมั้ง ฉันนี่ร้ายกาจจริงๆ”“ถึงร้ายก็รักนะ”“คะ?” ประโยคที่ออกจากปากสมัตถ์ทำเอาเทียนหยดตื่นตะลึง นี่เธอหูฝาดหรือเปล่า “อะไร ฉันไม่ได้ยิน”“เธอได้ยิน ฉันรู้”“ก็มันไม่แน่ใจนี่นา พูดอีกทีซิ”“ไม่”“น่านะ พูดอีกที” คนสวยร้องขอสมัตถ์เบะปากน้อยๆ ตั้งหน้าตั้งตาขับรถแต่ก็แอบมองเทียนหยดเป็นครั้งคราว เรียวปากคลี่ยิ้มบางๆ บางเสียจนเทียนหยดไม่ทันสังเกต“คุณจะพาฉันไปไหน” เธอถาม“ก็หาอะไรกิน แล้วพากลับบ้าน”“ไม่กลับ ฉันจะกลับคอนโดฯ ถ้าไม่ไปส่งฉันที่นั่น ก็เชิญคุณลงไปโบกแท็กซี่กลับเอง” เธอยืนยัน แล้วสมัตถ์จะทำอะไรได้ นอกจากทำตามที่แม่ของลูกบัญชา_________เวลา 21:30 นาฬิกากลิ่นนมหอมๆ ลอยอวลทั่วห้อง เทียนหยดผลักประตูเข้าไปแล้วสูดกลิ่นนั้นจนเต็มปอด ผู้ช่วยคนเก่งของเธอยืนยิ้มแป้นอยู่หน้าเตา เจ้า
เธอพยักหน้า จีรวัฒน์เคลื่อนกายออกจากโต๊ะตัวสูงมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามีหยาดน้ำตารื้นอยู่ในนั้น“โชคดีนะจี ขอโทษสำหรับทุกอย่าง”จีรวัฒน์มองเทียนหยดอย่างอาลัยอาวรณ์“ขอกอดสักทีได้ไหม ครั้งสุดท้าย...”เทียนหยดยิ้มน้อยๆ ดวงตามีหยาดน้ำใสไม่แพ้จีรวัฒน์ การจากกันด้วยดีย่อมน่าพิศสมัยกว่าการลาจากแบบโกรธเคือง อ้อมกอดของจีรวัฒน์อบอุ่นเสมอ ทว่าเธอไม่ต้องการมันอีกแล้ว หากมิได้อ้อมกอดของสมัตถ์มาครอบครอง เธอก็ขอแค่กอดตัวเองตลอดไปหวืด! โครม!ความโกลาหลเกิดขึ้นชั่วขณะ อะไรสักอย่างพุ่งมาทางด้านหลังเทียนหยดแล้วจับแยกหญิงสาวกับจีรวัฒน์ออกจากกัน จีรวัฒน์ถูกผลักจนล้มหงายหลัง ชนเข้ากับโต๊ะเก้าอี้โครมคราม แต่คนต้นเหตุยังไม่สาแก่ใจ ตามไปประเคนหมัดใส่จีรวัฒน์อีกสามทีซ้อนพลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!“คุณสมัตถ์!? หยุดนะ! คุณสมัตถ์ฉันบอกให้หยุด!”พลั่ก!หมัดสุดท้ายกระแทกใบหน้าจีรวัฒน์จนเลือดกบปาก ด้วยว่าไม่นิยมออกกำลังกาย ร่างกายจึงมิใช่หุ่นนักกีฬา ไม่มีลวดลายพอจะต่อกรกับหมัดแกร่งของอีกฝ่ายสมัตถ์ลุกจ