เขาคือผู้สูญเสีย เธอคือผู้รับกรรม เขาคือผู้ทวงความเป็นธรรม เธอคือผู้เก็บงำความจริง เขามีครอบครัวอันแสนสุข เธอนั้นมีทุกข์มากกว่าทุกสิ่ง เขามีภรรยาคอยแอบอิง เธอต้องยืนนิ่งมองทั้งสองรักกัน
Lihat lebih banyakพรางพิษ
EP 1
แสนชัง
___________
กลุ่มควันสีเทาปนดำ พวยพุ่งออกจากปากปล่องเมรุภายในวัดดังแห่งหนึ่งใจกลางเมืองกรุงฯ สมัตถ์ โสภณวิชญ์ มองตามกลุ่มควันแล้วถอนหายใจพรืดใหญ่ ดวงตาแดงก่ำนั้นแทนคำบอกเล่าถึงความเศร้าที่อยู่ภายใน หกเดือนที่แล้วเขาเสียมารดาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แต่นั่นไม่ทำให้เขาเจ็บปวดเท่าที่ว่ามารดาวัยเลยสาวของเขานั้นแอบนัดแนะสามีคนอื่นออกมาพบเจอกัน บิดาผู้ซื่อตรงของเขารู้เรื่องนี้เข้า และติดตามจนพบเจอพวกเขา เกิดเรื่องเศร้าที่ไม่มีใครคาดคิด หลังมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงนั้น มารดาเขาขับรถออกไปพร้อมชู้รักและเกิดอุบัติเหตุขึ้น มารดาที่รักเสียชีวิตคาที่ ในขณะที่ชู้รักอาการหนักจนต้องนอนแบ็บติดเตียง ส่วนบิดาที่เคารพ ก็เข้าสู่โหมดตรอมใจนับตั้งแต่วันนั้น และครึ่งปีให้หลัง ท่านก็เสียชีวิตลง งานศพของท่านกำลังจะเสร็จสิ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าแล้ว
“มัตถ์คะ พวกนั้นมาค่ะ”
เสียงศรีภรรยากระซิบใกล้ๆ หู สมัตถ์หันไปมองด้านหลัง ร่างงามระหงที่เขาแสนชิงชังกำลังเดินเข้ามาในศาลา วงหน้างามด้วยเครื่องสำอางทาบทา ดูสดใสจนคนมองอย่างเขานึกหมั่นไส้ หล่อนควรตีหน้าเศร้าสักนิดตอนที่เดินเข้ามาในงานศพอย่างนี้
ร่างอรชรหยุดยืนกลางศาลา ความงามสง่านั้นทำให้สายตาของทุกคนในงานจ้องมองที่หญิงสาวเป็นตาเดียว
เทียนหยด เวชพิสิฐ เดินเข้าไปหาเมื่อแลเห็นหนึ่งในเจ้าภาพของงาน เธอยกมือไหว้เขาตามมารยาท ก่อนเอ่ยถ้อยวาจาที่ตระเตรียมมาตั้งแต่บนรถ
“สวัสดีค่ะคุณสมัตถ์ เสียใจด้วยนะคะเรื่องพ่อของคุณ”
“ไม่จำเป็น!” เขาสวนคืนทันควัน ริมฝีปากอิ่มสีแดงระเรื่อแสนดึงดูดใจนั้นมิได้ทำให้เขาใจอ่อนแต่อย่างใด ความงดงามของเทียนหยดแค่ทำให้ใจเขากระตุกเบาๆ เท่านั้น ไม่สามารถเข้ามาลบความแค้นในหัวใจเขาได้หรอก
“คุณลุงมีความจริงใจ และอยากมีพวงหรีดมาวางสักพวง แต่ฉันเกรงว่าคุณจะโยนมันทิ้ง”
“ฉันโยนแน่ คิดถูกแล้วที่ไม่เอามา” ตอบแล้วเริ่มกัดฟันกรอดๆ ยิ่งเห็นหน้าเทียนหยดก็ยิ่งขุ่นเคือง
“ฉันแค่อยากให้รู้ว่าทางเราเองก็เสียใจ โดยเฉพาะคุณลุงรุ่งรดิศ ท่าน...”
“อย่าเอ่ยชื่อผู้ชายคนนั้น ฉันขยะแขยง!”
สมัตถ์ตาแทบถลนยามเอ่ยความจำนงให้เทียนหยดเข้าใจ เขาชิงชังเทียนหยดมากเท่าไหร่ บอกไว้เลยว่าน้อยกว่าเศษเสี้ยวที่เขารังเกียจเดียดฉันท์ตาแก่นั่นเลยทีเดียว
“มัตถ์คะ!” ราตรี โสภณวิชญ์ จับแขนสามีเป็นเชิงปราม นี่มันงานศพแท้ๆ การมีเรื่องทะเลาะวิวาทย่อมดูไม่งามในสายตาแขกเหรื่อ
เทียนหยดเลื่อนสายตาไปมองใบหน้าสวยเฉี่ยวของราตรี ยิ้มที่มุมปากน้อยๆ แต่เหมือนเย้ยราตรีเสียมากกว่า ราตรีเป็นสะใภ้บ้านโสภณวิชญ์ที่สมบูรณ์แบบเหลือเกิน สมบูรณ์แบบจนน่าหมั่นไส้
“อย่าอคตินักเลยคุณสมัตถ์ ฉันว่าทางที่ดีคุณควรทำดีกับฉันไว้จะดีกว่า”
“ฝันไปเถอะ มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยนะ ออกไป!”
นิ้วชี้ของสมัตถ์ชี้ตรงไปยังทางออกของวัด เทียนหยดมองตามไปแต่ไม่ยี่หระ ชินเสียแล้วกับความโกรธความไม่พอใจของเขา ความโกรธนั้นอาจจะลดลงหากเขาฟังเรื่องบางอย่างจากเธอสักเสี้ยวนาที แต่ก็เห็นแล้วว่าเขาฟังเธอแค่ไหน
“ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณค่ะ แต่เลขาของคุณ...เธอไม่เคยยอมให้ฉันพบ” เอ่ยแล้วเลื่อนสายตาไปยังร่างของราตรี เมื่อก่อนสองสามีภรรยาคู่นี้ทำงานด้วยกัน เธอพยายามหลายครั้งหลายหนในการติดต่อสมัตถ์เพื่อคุยธุระอันสำคัญ แต่ถูกราตรีกีดกันอยู่ร่ำไป
“ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะคุย ออกไปเดี๋ยวนี้!”
เขาตะคอกอีก เทียนหยดหน้าม้าน การถูกไล่บ่อยๆ ย่อมทำให้คนหน้าบางรู้สึกอับอาย
ขณะที่หนุ่มสาวมัวแต่จ้องหน้ากันราวกับอยากจะฆ่า ร่างเล็กบอบบางและใกล้ร่วงโรยของหญิงสูงวัยนางหนึ่งก็เดินเข้ามาขัดจังหวะ ผมยาวสีดอกเลาของนางถูกรวบเป็นมวยตึงแน่นที่ท้ายทอย นางสวมแว่นสายตาที่มีสายคล้องคอ มาดประหนึ่งคุณครูระเบียบผู้เกษียณแล้ว
“มีเรื่องอะไรกันตามัตถ์” ศรีสุรางค์ โสภณวิชญ์ สตรีวัยเจ็ดสิบห้า ท้วงถามหลานชายพร้อมใบหน้าไม่พอใจ งานศพบุตรชายนางแท้ๆ แต่คนเป็นหลานกลับส่งเสียงดังไล่แขก ช่างไม่ให้เกียรติบิดาบ้างเลย
เทียนหยดยกมือไหว้นางศรีสุรางค์ หากมีใครสักคนพอจะรับฟังข้อเสนอของเธอก็น่าจะเป็นนางศรีสุรางค์นี่แหละ
“อ้อ...เธอเองหรอกรึ นึกยังไงถึงได้มาล่ะ ไม่กลัวหลานฉันไล่ตะเพิดหรือไง”
“ไม่กลัวค่ะ เขาไล่หนูแล้ว”
เทียนหยดตอบตามจริง พิศมองนางศรีสุรางค์ก็เห็นความงดงามตามวัย แต่ตาของนางนั้นออกจะดุไปหน่อย ยิ่งมาสวมแว่นเจ้าระเบียบนั่นเข้ายิ่งดูน่าเกรงขามเข้าไปอีก
“เธอไม่ควรมาที่นี่ครับ” สมัตถ์บอกย่าของตน หน้าตายังไม่สบอารมณ์นัก
“หลานกำลังเสียมารยาท เธอมีธุระอะไรไหม” หันไปถามผู้มาเยือน
“มีค่ะ แต่คุณสมัตถ์ไม่ยอมคุยกับหนู”
“เรื่องสำคัญหรือเปล่า” นางถามต่อ
“ค่ะ อยากเจรจาให้เป็นเรื่องเป็นราว หนูมีข้อเสนอ”
สมัตถ์เริ่มควันออกหู “ข้อเสนออะไรฉันก็ไม่รับทั้งนั้น!”
“อย่ามั่นใจนักสิคะ ลำพังแค่เงินประกันชีวิตของคุณศิเทพ ไม่ทำให้พวกคุณมีกินไปตลอดชีวิตหรอกค่ะ พวกคุณกำลังถังแตก ยอมรับความจริงบ้างสิคะ”
ทุกคนเงียบไปเมื่อถูกจี้ใจดำ นางศรีสุรางค์ถอนหายใจอย่างปลดปลง สมัตถ์กำหมัดแน่น ในขณะที่ราตรีดวงตากลิ้งกลอกไปมาราวกับใช้ความคิด ธุรกิจโรงแรมของโสภณวิชญ์นั้นเพิ่งถูกเปลี่ยนมือก่อนที่พ่อสามีของเธอจะเสียชีวิต มันขาดทุนจนสมัตถ์แบกรับไม่ไหว ทรัพย์สินที่มีบางส่วนถูกขายไปเพื่อนำเงินไปใช้หนี้เงินกู้ที่สมัตถ์กู้มาฟื้นฟูกิจการ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ดีขึ้น ตอนนี้พวกเธอไม่มีหนี้แล้ว แน่นอนว่าพวกเธอก็ไม่มีอะไรเหลือเช่นกัน
“เธอมาพบฉันได้ไหม ที่บ้านน่ะ เธอรู้จักหรือเปล่า”
“คุณย่า!” สมัตถ์ร้องปรามย่าของตัวเอง ไม่พอใจที่นางทำเหมือนยอมศิโรราบต่อเทียนหยด เขาเกลียด เขาไม่อยากก้มหัวให้คนพวกนี้
เทียนหยดยิ้มบางๆ อย่างสมใจ “บ้านโสภณวิชญ์คงหาได้ไม่ยาก อีกสองวันหนูจะไปพบคุณนะคะ สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้พร้อมกล่าวลา เธอลาแค่นางศรีสุรางค์แล้วเดินจากมา อย่างน้อยๆ การเข้ามาพบเจอพวกโสภณวิชญ์ตัวเป็นๆ ก็ทำให้เธอมีคำตอบให้กับคนที่เฝ้ารอ
___________
เทียนหยดกลับมาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่บิดาเลี้ยงพักรักษาตัวอยู่ อาการของ รุ่งรดิศ นั้นร่อแร่เต็มที อุบัติเหตุที่เกิดเมื่อครึ่งปีก่อน ทำให้สุขภาพท่านย่ำแย่ มันไม่ได้มีผลแค่เพียงภายนอก แต่มันแย่ที่ภายใน อวัยวะของท่านหลายส่วนติดเชื้อจากการที่รถไถลลงไปในคลองข้างทาง มีการเฉี่ยวกันก่อนหน้านั้นระหว่างรถเก๋งสองคัน รถพังและถูกน้ำคลองท่วมมิดหลังคา นั่นทำให้นางศมล มารดาของสมัตถ์เสียชีวิต ส่วนบิดาเลี้ยงของเธออาการทรุดลงทุกวัน
ภายในห้องพักฟื้นที่ไม่ใช่ห้องปลอดเชื้ออย่างเช่นเมื่อวาน เทียนหยดใจหายวาบ รุ่งรดิศถูกย้ายออกมาแล้ว หมอย้ายออกมาทำไมกันเล่า แล้วนั่น...น้องชายวัยสิบขวบของเธอ เขายังอยู่ในชุดนักเรียน แล้วเขามาที่นี่ทำไม
แพทย์สูงวัยท่าทางใจดีเดินผ่านหน้าเธอออกไปพร้อมพยาบาลนางหนึ่ง บรรยากาศในห้องแปลกๆ ชอบกล แล้ววินาทีต่อมา มารดาผู้ยังงดงามของเธอก็หันมามอง
“ลุงเขารออยู่ มาสิ” ผกากรอง เตชะทัต เอ่ยบอกบุตรสาวของตัวเอง น้ำตากบทั่วใบหน้าซีดเซียว พวงผมที่ดัดเป็นลอนสวยถูกรวบไว้อย่างไม่ใยดี มีบุตรชายวัยสิบขวบยืนอยู่ข้างๆ เด็กน้อยสะอื้นฮักๆ มือข้างหนึ่งจับแขนบิดาไม่ปล่อย
เทียนหยดน้ำตาคลอ หัวใจเต้นแรงอย่างไม่เป็นมาก่อน ครึ่งปีแล้วนะ ครึ่งปีที่เธอภาวนาไม่ให้วันนี้มาถึง แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว คุณลุงผู้แสนดีกำลังจะจากไปแล้ว ตลอดกาล...
“เทียนมาแล้วค่ะ เทียนมาแล้ว” บอกคนป่วยที่อาการร่อแร่เต็มที เธอนั่งลงด้วยสองเข่า สองมือกุมมือบิดาเลี้ยงเอาไว้แน่น
รุ่งรดิศ เตชะทัต ลืมตาขึ้นมองสาวน้อยของตัวเอง ท่านเลี้ยงเทียนหยดมาด้วยความรักและเอ็นดู และวันนี้ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของท่าน ก็คงต้องฝากไว้กับสาวน้อยผู้นี้
“เทียน...จำ...ที่เราคุยกัน...ได้ไหม”
“ค่ะ เทียนจำได้ เทียนไปหาคนพวกนั้นมาแล้ว อีกสองวันเทียนจะไปหาอีก เขายอมแน่ๆ ลุงทำใจให้สบายนะคะ” บอกท่านขณะพยายามมิให้น้ำตาไหล ความซูบโทรมบนหน้าของคุณลุงคนดีช่างบีบบี้หัวใจเธอเหลือเกิน ลุงกำลังจะไปแล้ว ทิ้งแม่ของเธอ ทิ้งน้องชาย และทิ้งเธอไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
รุ่งรดิศพยักหน้าช้าๆ “ฝากเทียน...ด้วย ช่วย...ดูแล...แม่...กับน้องแล้วก็...” มองมาทางศรีภรรยา ผกากรองเลยจับมืออีกข้างของสามีไว้ ทั้งสองจ้องตากันเป็นครั้งสุดท้าย ความบาดหมางใจเหมือนม่านบางๆ ที่กางกั้นความสุขอันน้อยนิดที่มี รุ่งรดิศเสียใจ แต่ท่านไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ “ผกา...ฉัน...ขอโทษ แต่ฉัน...ไม่ได้มีชู้จริงๆ ฉัน...รักเธอนะ รักเธอ คนเดียว...”
สิ้นคำบอกรักของชายสูงวัย เปลือกตาบางของท่านก็ปิดลงพร้อมๆ กับเสียงกรีดร้องของผกากรอง เด็กชายตัวน้อยปล่อยโฮลั่นห้องในขณะที่เทียนหยดต้องปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น หยดน้ำตาหลั่งมาราวฝนห่าใหญ่...ไปแล้ว...ที่พึ่งทางใจสุดท้ายของเธอ จากไปพร้อมกับภาระอันหนักอึ้งที่ท่านวางไว้บนบ่า ให้เธอแบกไว้นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
“เดี๋ยวก็เบื่อไปเองมั้งคะ”“ไม่...โอบว่าไม่เบื่อง่ายๆ หรอก พี่ต้องมีอีกสักโหลอ่า จริงๆ”“โอบ...” เทียนหยดครางเสียงต่ำ โหลหนึ่งเลยหรือ ไม่ไหวหรอก“แหะๆ โอบไปรอที่รถดีกว่า หิวแล้ว แม่ครับย่าครับ ไปขึ้นรถเร็วเข้า”โอบนิธิรีบเผ่นก่อนถูกพี่สาวเขกหัว มื้อค่ำวันนี้รอเขาอยู่ ก่อนที่สมาชิกทุกคนของบ้านจะทยอยกันไปขึ้นรถเพื่อไปฉลองงานวันเกิดให้กับเด็กหญิงตัวน้อยเด็กหญิงมัชฌาวี โสภณวิชญ์__________ทฤษฎีโลกกลมยังใช้ได้เสมอในทุกยุคทุกสมัย ในระหว่างที่ครอบครัวโสภณวิชญ์กำลังเลี้ยงฉลองอยู่นั้น ภายในร้านอาหารเดียวกันก็มีหนึ่งสตรีเฝ้ามองความอบอุ่นของพวกเขาด้วยสายตาแสนเสียดาย แม้ข้างกายมีหนุ่มใหญ่เคียงข้าง ทว่ามิใช่ในแบบปกตินานมากแล้วที่ราตรีมิได้เห็นสมัตถ์ มิได้เห็นคนที่อยู่ในหัวใจ มันทรมานยามเห็นพวกเขามีความสุข พอทนไม่ไหวก็รีบบอกให้คนข้างกายลุกกลับ เธอขอย้ายร้านด้วยไม่อยากทนมองความสุขของพวกเขาให้มันร้าวรานใจราตรีเดินออกจากร้านเงียบๆ พร้อมกับลูกค้าของตัวเอง ไม่ทันได้
-+- บทส่งท้าย -+-____________งานวิวาห์แสนหวานถูกจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ถัดมา งานเล็กๆ แต่อบอุ่น สองสามีภรรยาหมาดๆ เลือกทะเลที่ไม่ไกลจากเมืองกรุงฯ เป็นสถานที่ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ด้วยภาวะตั้งครรภ์ของเทียนหยดไม่ชวนให้สมัตถ์อยากนั่งเครื่องบินออกนอกประเทศ ทริปฮันนีมูนสั้นๆ ไม่กี่วันของทั้งสอง เลยสรุปที่ชายทะเลที่สมัตถ์เคยมาคราวก่อน คลื่นลมยังแรงด้วยเข้าสู่ฤดูฝนพรำ คู่สามีภรรยาเดินจับมือกันเดินไปตามชายหาดที่ทอดยาว กลุ่มนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาทั้งไทยและเทศ เดินกันขวักไขว่ ครึกครื้นไม่น้อย“ลมแรงจัง กลับโรงแรมดีไหม ฝนจะตกแล้วด้วย” สมัตถ์ว่าเทียนหยดส่ายหน้าดิก ซบศีรษะลงกับบ่าของสามี สองมือของทั้งสองจับกันไว้มั่น มีแหวนแต่งงานสวมไว้คนละวง“เดินต่ออีกนิดนะคะ สัก...ต้นมะพร้าวต้นนู้น...ค่อยกลับ” ว่าที่คุณแม่ชี้ไปข้างหน้า เจ้าเล่ห์น้อยๆ เพราะต้นมะพร้าวที่ว่าอยู่ไกลโข“ไม่เหนื่อยหรือไง เดินมาตั้งไกลแล้วนะ”“ไม่ค่ะ ถ้าเหนื่อย จะขึ้นหลังคุณแล้วกัน”“หึๆๆ
“ฉันรู้ และขอโทษที่มัวแต่ทำใจในเรื่องนี้จนละเลยสิ่งที่ควรปฏิบัติต่อเธอ ฉันเสียใจที่แม่ต้องตาย แต่มันเสียใจมากกว่าเดิมที่รู้ว่าคนที่ทำให้ท่านต้องตาย...คือเธอ” เขาเอ่ยด้วยเสียงเหมือนผิดหวังระคนน้อยใจ ทำไมต้องเป็นเทียนหยดด้วยเล่า ทำไม“ขอโทษ ฉันขอโทษนะคุณสมัตถ์ ขอโทษจริงๆ”“ชู่ว์...เราเลิกพูดเรื่องนี้เถอะนะ พูดไปก็มีแต่เจ็บปวด ฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ อุบัติเหตุน่ะ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดหรอก เราลืมเรื่องร้ายๆ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กันเถอะนะ ลืมมันให้หมด ลืมว่าเราเคยเกลียดกัน ลืมว่าเราเคยทุกข์ทรมานเพราะความสูญเสีย เรามาอยู่กับปัจจุบันดีกว่า ยังมีอีกหลายอย่างที่เราต้องทำไม่ใช่เหรอ เรามาทำมันไปพร้อมกันเถอะนะ”เทียนหยดน้ำตาซึม ถูกสมัตถ์ดึงตัวไปกอด และมันช่างอบอุ่นนัก นี่คืออ้อมกอดที่เธอโหยหา ช่างควรค่าแก่การเฝ้ารอเหลือเกิน“ฉันว่าเรากินมื้อค่ำดีกว่า ฉันมีอะไรอยากให้เธอดู”“อะไรคะ”“ไม่บอก เธอต้องรอดึกๆ และควรกินมื้อค่ำแล้วหลับสักงีบ ดึกๆ เดี๋ยวฉันปลุก”“แน่นะคะ&rd
[21]พรางรัก___________รุ่งเช้าเสียงกุกกักดังขึ้นที่ข้างเตียง เทียนหยดลืมตาขึ้นช้าๆ สมองหนักอึ้ง โพรงปากรสชาติฝืดเฝื่อน พอขยับลุกขึ้นนั่ง มืออุ่นๆ ของสมัตถ์ก็ช่วยพยุงให้เธอนั่งดีๆ“เป็นยังไงบ้าง อยากอ้วกไหม”หญิงสาวพยักหน้าเมื่อถูกถาม และพอเขาเอาถุงพลาสติกมารอใต้ปาก เธอก็โก่งคออาเจียน มันทรมานเมื่อไม่มีสิ่งใดออกมากับการสำรอกนอกจากน้ำลายเปรี้ยวๆ สมัตถ์ไม่ได้นึกรังเกียจ เขายังช่วยลูบหลัง ช่วยเก็บถุงอาเจียนไปทิ้ง“ฉันจะไปทำงานแล้วนะ เอารถเธอไป”“เอ้า แล้วฉันล่ะ” เธอท้วง ถ้าให้นั่งแท็กซี่ช่วงนี้มีหวังได้อ้วกบนรถแท็กซี่แน่ๆ“เธอไม่มีรถก็ไม่ต้องไปสิ”“ได้ไง ฉันจะไป”“ฮื่อ...พูดไม่รู้ฟัง แพ้ท้องแทบจะยืนไม่ขึ้น ยังจะหาเรื่องอีก แล้วถ้าไปทำงานเผลอไปพะอืดพะอมให้พนักงานเห็น เดี๋ยวลูกน้องก็ได้นินทาพอดี” สมัตถ์หาทางเลี่ยงไม่ให้เทียนหยดไปทำงาน แต่เทียนหยดกลับคิดเป็นอื่น“ช่างสิ นินทาหรือ
สมัตถ์อมยิ้ม ยักไหล่ใส่คนที่ร้องขอ “ทำไมล่ะ”“กลัวลูกได้ยินมั้ง ฉันนี่ร้ายกาจจริงๆ”“ถึงร้ายก็รักนะ”“คะ?” ประโยคที่ออกจากปากสมัตถ์ทำเอาเทียนหยดตื่นตะลึง นี่เธอหูฝาดหรือเปล่า “อะไร ฉันไม่ได้ยิน”“เธอได้ยิน ฉันรู้”“ก็มันไม่แน่ใจนี่นา พูดอีกทีซิ”“ไม่”“น่านะ พูดอีกที” คนสวยร้องขอสมัตถ์เบะปากน้อยๆ ตั้งหน้าตั้งตาขับรถแต่ก็แอบมองเทียนหยดเป็นครั้งคราว เรียวปากคลี่ยิ้มบางๆ บางเสียจนเทียนหยดไม่ทันสังเกต“คุณจะพาฉันไปไหน” เธอถาม“ก็หาอะไรกิน แล้วพากลับบ้าน”“ไม่กลับ ฉันจะกลับคอนโดฯ ถ้าไม่ไปส่งฉันที่นั่น ก็เชิญคุณลงไปโบกแท็กซี่กลับเอง” เธอยืนยัน แล้วสมัตถ์จะทำอะไรได้ นอกจากทำตามที่แม่ของลูกบัญชา_________เวลา 21:30 นาฬิกากลิ่นนมหอมๆ ลอยอวลทั่วห้อง เทียนหยดผลักประตูเข้าไปแล้วสูดกลิ่นนั้นจนเต็มปอด ผู้ช่วยคนเก่งของเธอยืนยิ้มแป้นอยู่หน้าเตา เจ้า
เธอพยักหน้า จีรวัฒน์เคลื่อนกายออกจากโต๊ะตัวสูงมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามีหยาดน้ำตารื้นอยู่ในนั้น“โชคดีนะจี ขอโทษสำหรับทุกอย่าง”จีรวัฒน์มองเทียนหยดอย่างอาลัยอาวรณ์“ขอกอดสักทีได้ไหม ครั้งสุดท้าย...”เทียนหยดยิ้มน้อยๆ ดวงตามีหยาดน้ำใสไม่แพ้จีรวัฒน์ การจากกันด้วยดีย่อมน่าพิศสมัยกว่าการลาจากแบบโกรธเคือง อ้อมกอดของจีรวัฒน์อบอุ่นเสมอ ทว่าเธอไม่ต้องการมันอีกแล้ว หากมิได้อ้อมกอดของสมัตถ์มาครอบครอง เธอก็ขอแค่กอดตัวเองตลอดไปหวืด! โครม!ความโกลาหลเกิดขึ้นชั่วขณะ อะไรสักอย่างพุ่งมาทางด้านหลังเทียนหยดแล้วจับแยกหญิงสาวกับจีรวัฒน์ออกจากกัน จีรวัฒน์ถูกผลักจนล้มหงายหลัง ชนเข้ากับโต๊ะเก้าอี้โครมคราม แต่คนต้นเหตุยังไม่สาแก่ใจ ตามไปประเคนหมัดใส่จีรวัฒน์อีกสามทีซ้อนพลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!“คุณสมัตถ์!? หยุดนะ! คุณสมัตถ์ฉันบอกให้หยุด!”พลั่ก!หมัดสุดท้ายกระแทกใบหน้าจีรวัฒน์จนเลือดกบปาก ด้วยว่าไม่นิยมออกกำลังกาย ร่างกายจึงมิใช่หุ่นนักกีฬา ไม่มีลวดลายพอจะต่อกรกับหมัดแกร่งของอีกฝ่ายสมัตถ์ลุกจ
Komen